เมืองเซียวหุนชื่อเดิมไม่ได้ชื่อว่าเซียวหุน แต่มีชื่อว่าเมืองอิ๋นเยว่ นับตั้งพันปีก่อนยอดหญิงแห่งยุคนามว่าเยว่โห้วได้เหยียบย่างเข้ามาภายในเมืองแห่งนี้ เมืองแห่งนี้จึงกลายมาเป็เมืองของตระกูลเยว่ และได้ชื่อว่าเมืองอิ๋นเยว่
ต่อมาถูกเรียกว่าเมืองเซียวหุนเนื่องจากคำพูดล้อเล่นของจ้าวแห่งเขตปกครองท่านหนึ่ง ท่านผู้นั้นแต่ก่อนหลีกเร้นเก็บตัวฝึกยุทธ์อยู่เป็เวลาสิบกว่าปี แต่ในศึกประลองชิงตำแหน่งจ้าวแห่งเขตปกครองในปีนั้นเขาได้เอาชนะจ้าวแห่งเขตปกครองคนก่อน เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งจึงถูกทั้งห้าตระกูลส่งเทียบเชิญให้ไปเยี่ยมชมแต่ละตระกูลเพื่อพักผ่อนเป็ระยะเวลาสั้นๆ หลายวัน เมื่อได้รับเทียบเชิญและหลังจากที่จัดการเื่ราวทุกอย่างเข้าที่จึงได้ออกท่องเที่ยวไปตามตระกูลต่างๆ
เมื่อเขามาพักอยู่ที่เมืองอิ๋นเยว่ได้ห้าวันจึงอำลาหัวหน้าตระกูลเยว่ ในวันนั้นหลังจากที่ออกจากเมืองอิ๋นเยว่ได้มองดูป้ายชื่อเมืองบนประตูใหญ่ “เมืองอิ๋นเยว่” อยู่เนิ่นนาน ครั้นจึงพูดออกมาประโยคหนึ่ง “เมืองนี้ไม่น่าจะถูกเรียกว่าเมืองอิ๋นเยว่ น่าจะเรียกว่าเมืองเซียวหุน เพราะเมืองนี้ทำให้จิตใจผู้คนเคลิบเคลิ้มราวกับิญญาจะหลุดออกจากร่าง...”
ดังนั้น ต่อมาผู้คนในเขตปกครองเทพาล้วนเริ่มเรียกขานเมืองแห่งนี้ว่าเมืองเซียวหุน เพราะว่าเมืองแห่งนี้มีสิ่งที่ทำให้จิตใจผู้คนเคลิบเคลิ้มราวกับิญญาจะหลุดออกจากร่างสมดั่งชื่อที่ได้รับ หากพูดว่านครแห่งเทพคือดินแดน์ที่ทุกเผ่าพันธุ์ต่างปรารถนาที่จะไปเยือนละก็ เมืองเซียวหุนก็เปรียบได้กับแดน์ของเหล่าชายหนุ่มในเขตปกครองเทพาที่ปรารถนาจะเข้าไปััให้ได้เช่นเดียวกัน
เมืองเซียวหุน...ของดีอย่างอื่นที่มีชื่อนั้นหามีไม่ จะมีก็แค่เพียงสาวงาม สาวงามประเภทต่างๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายหลากหลาย
.................................
“นี่ก็คือเมืองเซียวหุนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง? ก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลยนี่นา”
เย่ชิงหานนั่งอยู่ด้านหน้าของรถม้า สายตามองดูผู้คนที่เดินอยู่บางตาบนท้องถนนใหญ่ด้านหน้าและร้านค้าสองข้างทางด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เขากลับไม่ได้รู้สึกว่าเมืองนี้มีอะไรที่พิเศษ ยิ้มแล้วพูดกับเย่สือชีที่นั่งอยู่ข้างๆ
“หากดูจากภายนอกเมืองแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรที่พิเศษไปกว่าเมืองอื่นๆ” เย่สือชีหัวเราะแหะๆ คล้ายกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตามีแสงประกายวาบผ่านเลียริมฝีปากแล้วพูดขึ้นต่อ “สิ่งที่พิเศษของเมืองนี้อยู่ด้านหน้าภายในหอสูงเ่าั้ รวมถึงหอจันทราที่พวกเรากำลังจะเข้าไปพัก”
“อืม!”
เย่ชิงหานพยักหน้าตอบรับไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ รอจนกระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ราวสองสามกิโลเมตรเลี้ยวอีกสองสามครั้งทะลุออกไปยังถนนอีกเส้น เขาถึงได้รู้ว่าเมืองนี้มีอะไรที่พิเศษไม่เหมือนเมืองอื่น และได้รู้ว่าทำไมถึงถูกเรียกว่าเมืองที่ทำให้จิตใจผู้คนเคลิบเคลิ้มจนิญญาจะหลุดออกจากร่าง
ถนนที่อยู่ด้านหน้ากว้างใหญ่ ใหญ่ว่าถนนหนิวหลันของเมืองชางถึงเกือบสองเท่า ใหญ่โตถึงขนาดว่าสามารถนำรถม้าที่เขานั่งอยู่เรียงหน้ากระดานพร้อมกันได้ถึงห้าคัน ช่างที่ทำถนนของเมืองจะต้องเป็อัจฉริยะอย่างแน่นอน เพราะตามหลักเหตุผลแล้วเมืองๆ หนึ่งไม่จำเป็ต้องทำถนนกว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่ถนนใหญ่โตเช่นนี้กลับคราคร่ำไปด้วยรถม้าและผู้คนอย่างไม่น่าเชื่อ
“ที่นี่คือที่ไหน? ทำไมถึงคึกคักเช่นนี้?”
เพียงแค่เดินหน้ามาไม่กี่กิโลเมตรและเลี้ยวอีกไม่กี่ทีเย่ชิงหานรู้สึกราวกับว่าได้หลุดเข้ามายังอีกโลกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เบื้องหน้าทั้งรถและผู้คนมากมายราวกับฝูงมดเดินเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่เต็มทั้งถนนน ภาพที่ได้เห็นทำให้เขารู้สึกสะดุ้งใเป็อย่างมาก ถนนหลายสายก่อนหน้าเมื่อสักครู่ที่ไม่ค่อยมีคน แท้จริงแล้วต่างมารวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้นี่เอง
“ถนนเส้นนี้เรียกว่า...ถนนอวิ๋นอวี่ ถนนที่คึกคักเช่นนี้ในเมืองเซียวหุนมีอยู่ถึงสิบสามสาย และที่ท่านมองเห็นอยู่นี้ก็ไม่ใช่ถนนที่คึกคักที่สุดด้วย อีกสักพักท่านจะได้เห็นว่าอะไรที่เรียกว่าคึกคักอย่างแท้จริง” เย่สือชีพยักหน้าอย่างพอใจที่เห็นสีหน้าอาการของเย่ชิงหาน เพราะตอนที่เขามาที่นี่ครั้งแรกสีหน้าอาการก็ไม่ต่างจากเย่ชิงหานในตอนนี้เลย
“แล้ว...แล้วผู้หญิงพวกนั้น อ๊าาา...ตึกทั้งหลายที่นี่ทั้งหมดล้วนเป็หอนางโลม? คนพวกนี้ล้วนมา...เที่ยวผู้หญิง?” ยังไม่ต้องรอให้เย่สือชีพูดจบ เย่ชิงหานพลันร้องขึ้นมาทันที เพราะเขาเห็นปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดใจอย่างหนึ่ง มันทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมถนนเส้นนี้ถึงได้สร้างอย่างใหญ่โตนัก ทำไมผู้คนและรถราบนถนนถึงมากมายเช่นนี้ และทำไมเมืองแห่งนี้ถึงได้ถูกเรียกว่าเมืองที่ทำให้จิตใจผู้คนเคลิบเคลิ้มจนิญญาจะหลุดออกจากร่าง
เบื้องหน้าสองข้างทางล้วนเรียงรายไปด้วยหอนางโลมมากมายอย่างเป็ระเบียบ ด้านหน้าประตูหอนางโลมเ่าั้ยืนเรียงรายไปด้วยสาวงามมากมายที่แต่งหน้าทาปากร้องเรียกผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาด้วยน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน บ้างก็เขย่าเนินอกที่อวบอิ่มและขาอ่อนที่ขาวเนียนโปรยเสน่ห์ออกมาอยู่ไม่ขาด หากมีลูกค้าคนใดหยุดชะงักลงยังหน้าประตูหอนางโลมเ่าั้ พวกนางก็จะรีบห้อมล้อมกันเข้ามาใช้หน้าอกที่อวบอิ่มและน้ำเสียงที่อ่อนหวานทำให้ลูกค้าคนนั้นเคลิบเคลิ้มตาม จากนั้นก็จะเดินเข้าไปในหอนางโลมอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เย่สือซานหัวเราะขึ้นพยักหน้าแล้วพูดอธิบายขึ้น “เหอะๆ นายน้อยหาน ดูท่าท่านจะไม่รู้ข้อมูลของเมืองเซียวหุนและตระกูลเยว่สักเท่าไร วิชาที่เลื่องชื่อของตระกูลเยว่คือ วิชาสะกดจิต สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองเซียวหุนก็คือหอนางโลมและสาวงาม หอนางโลมที่ลงบันทึกไว้มีทั้งหมดสามพันหกร้อยกว่าแห่ง ที่นี่เป็ที่รวมตัวกันของทุกเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่มีภายในทวีปแห่งนี้ มีสาวงามทุกรูปแบบจนได้ชื่อว่าเมืองแห่งหมื่นสาวงาม และคำขวัญของพวกนางคือ มีเพียงสิ่งที่ลูกค้าคาดไม่ถึง ไม่มีสิ่งที่ทำไม่ได้...เหอะๆ ไปกันเถอะ อีกสักพักก็จะถึงหอจันทราแล้ว เดี๋ยวท่านจะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเคลิบเคลิ้มจนิญญาจะหลุดออกจากร่าง!”
“อืม...ข้ารู้จักวิชาสะกดจิตที่มีชื่อของตระกูลเยว่ มีชื่อเสียงเทียบได้กับสัตว์อสูรของตระกูลเย่...แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะนำวิชาสะกดจิตมาใช้กับหอนางโลมเพื่อทำให้ผู้ชายลุ่มหลง แถมยังทำให้กลายเป็สถานที่ที่พิเศษจนรุ่งเรืองเช่นนี้อีก” เย่ชิงหานขมวดคิ้วพูดออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ผิดแล้วนายน้อยหาน! วิชาสะกดจิตของตระกูลเยว่ไม่ใช่แค่อะไรผิวเผินที่พวกนางคณิกาพวกนี้ที่ใช้อยู่อย่างแน่นอน ความจริงแล้วหอนางโลมในเมืองเซียวหุนที่เป็ของตระกูลเยว่มีเพียงแค่แห่งเดียวซึ่งก็คือหอจันทราที่พวกเรากำลังจะไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาสะกดจิตของตระกูลเยว่ย่อมอยู่คนละระดับกับพวกนางคณิกาเหล่านี้อย่างแน่นอน อีกสักพักไปถึงหอจันทราท่านก็จะรู้เอง” เย่สือซานหวนรำลึกถึงรสชาติที่เคยลิ้มลอง พูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“อ้อ! อย่างนั้นรึ?” เย่ชิงหานยิ้มออกมาด้วยความสนใจ วิชาสะกดจิตของตระกูลเยว่ที่มีชื่อเสียงเทียบเท่าสัตว์อสูรของตระกูลเย่ เขาปรารถนาอยากที่จะััดูสักครั้ง
ไม่นานนักหลังจากที่รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและเลี้ยวออกไปยังถนนอีกเส้นหนึ่งจนถึงลานกว้าง ที่แห่งนี้เองที่ทำให้เย่ชิงหานได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าสั่นะเืไปทั้งจิตใจ อะไรที่เรียกว่าความยิ่งใหญ่
ลานที่อยู่เบื้องหน้ากว้างใหญ่เป็อย่างมาก มีขนาดเท่าสนามฟุตบอลในโลกเก่าที่เย่ชิงหานจากมาถึงสองสนามรวบกัน ข้างหน้าลานกว้างเรียงรายไปด้วยหมู่ตึกที่ถูกโอบล้อมด้วยกำแพงสีชมพู ตรงกลางมีประตูขนาดใหญ่สามบาน ้าประตูมีตัวอักษรขนาดใหญ่สลักไว้ “หอจันทรา” ประตูทั้งสามที่อยู่ตรงกลางล้วนใหญ่โตกว่าประตูใหญ่ของตระกูลเย่ถึงสองเท่า สิ่งเหล่านี้ยังไม่พอที่จะทำให้เย่ชิงหานตกตะลึงได้ สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงกว่านั้นคือรถม้าที่หรูหราโอ่อ่าจำนวนับไม่ถ้วนที่อยู่ในลานแห่งนี้ และยังมีอีกจำนวนมากที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ
“น่า...น่าจะประมาณพันคันได้กระมัง!” เย่ชิงหานอ้าปากค้างชี้นิ้วไปที่รถม้าที่หรูหราโอ่อ่าเ่าั้ ถูกภาพที่อยู่เบื้องหน้าทำให้สั่นะเืไปทั้งจิตใจ
“สายอีกหน่อยยังจะมีเยอะกว่านี้อีก! เอ่อ...นายน้อยหาน ท่านเป็นายน้อยของตระกูลเย่น่ะ!” เย่สือชีพูดเตือนออกไปด้วยความขัดเขิน นายน้อยของตระกูลตนเองทำไมทำตัวอย่างกับคนบ้านนอกเข้าเมืองอย่างไรอย่างนั้น หรือว่านายน้อยคนนี้ตอนเด็กๆ มีชีวิตที่ทุกข์ยากลำบากมากจริงๆ?
แน่นอนว่าเย่ชิงหานชีวิตในวัยเด็กนั้นอยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก แม้จะเป็นายน้อยของตระกูลก็ตาม อย่าพูดถึงว่ามีโอกาสมาเที่ยวเล่นในที่เช่นนี้เลย แม้กระทั่งนั่งรถม้าที่หรูหราเช่นนี้ครั้งนี้ก็เพิ่งเป็เพียงครั้งที่สอง ตอนนี้แม้ตำแหน่งฐานะจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม แต่ภายในใจก็ยังคิดว่าตนเองเป็ลูกหลานคนที่เจ็ดไม่ใช่นายน้อยลำดับเจ็ด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็คนของตระกูลเย่และเคยมีชีวิตมาแล้วถึงสองโลก ผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงต่างๆ มามากมาย เพียงชั่วครู่ก็สงบจิตใจลงได้จึงพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
รถม้าวิ่งมาหยุดอยู่ที่แสงไฟสว่างจ้าหน้าหอจันทรา สิ่งที่ทำให้เย่ชิงหานรู้สึกประหลาดใจก็คือประตูใหญ่ด้านหน้าหอจันทรากลับไม่มีสาวสวยมายืนเรียงรายอย่างที่คิดไว้ จะมีก็แค่เพียงหญิงวัยกลางคนที่เข้าแถวยืนเรียงรายในชุดสีเทาที่กำลังก้มตัวลงทำท่าโค้งคำนับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อมองเห็นมีรถม้าหรูหราโอ่อ่านับสิบคันวิ่งเข้ามาหยุดอยู่หน้าหอจันทรา รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงวัยกลางคนในชุดสีเทาเ่าั้ยิ่งดูจริงใจมากยิ่งขึ้น และเมื่อมองเห็นตัวอักษร “เย่” ที่ดูมีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงทรงพลังที่สลักอยู่บนธงที่กำลังโบกสะบัดอยู่บนรถม้า รอยยิ้มที่จริงใจบนใบหน้าของพวกนางปรากฏแววของความเคารพนอบน้อมเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
สามคนที่อยู่ในกลุ่มคนเสื้อสีเทาเดินออกมาอย่างรวดเร็วมาหยุดยืนที่หน้ารถ มองดูคนของตระกูลเย่ที่เดินลงมาจากรถด้วยรอยยิ้ม สุดท้ายสายตามาหยุดอยู่ที่เย่ชิงหานที่ถูกเย่สือซานกับเย่สือชีเดินอารักขาขนาบข้างมา คนเสื้อสีเทาทั้งสามประสานมือทำความเคารพพร้อมกันจากนั้นผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เยว่ผิงคารวะนายน้อยแห่งตระกูลเย่ คารวะนายท่านทั้งสอง เชิญท่านทั้งสามด้านใน หัวหน้าผู้ดูแลหอจันทรารอคอยนายน้อยเย่นานแล้ว”
“อืม!” เย่ชิงหานพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วเดินเข้าไปข้างใน เย่สือซาน เย่สือชีและเยว่ผิงเดินตามหลังไปติดๆ ส่วนกองกำลังเทพแห่งความตายที่อยู่ด้านหลังเย่ชิงหานไม่ได้เป็ห่วง เพราะตระกูลเยว่รู้ว่าเขาคือนายน้อยแห่งตระกูลเย่ก็น่าจะรู้จุดประสงค์ในการมาของพวกเขาในครั้งนี้ และคงจะจัดเตรียมที่พักให้ทั้งสองร้อยคนไว้แล้ว
เมื่อเดินเข้าไปภายในหอจันทรา ภายใต้การนำของเยว่ผิง เย่ชิงหานไม่ได้เข้าไปในห้องโถงใหญ่โดยตรง แต่เลี้ยวออกไปยังทางเดินที่ตกแต่งอย่างหรูหราเส้นหนึ่งที่ไม่ค่อยกว้างเท่าใดนัก ประตูทางเดินมีองครักษ์เฝ้าอยู่สองคนซึ่งดูก็รู้ว่าทางเดินเส้นนี้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถผ่านเข้ามาได้ เดินอยู่ไม่นานก็ทะลุออกมาเจอกับหอที่สงบเงียบหลังหนึ่ง
หอแห่งนี้มีอยู่สองชั้นการตกแต่งธรรมดาไม่หรูหราอะไรมากมาย หน้าประตูมีอักษรโบราณ “หอสี่ทิศ” ที่แผ่กลิ่นอายเก่าแก่โบราณออกมา ข้างหน้าหอมีคนอยู่สี่คน ทั้งหมดล้วนเป็ผู้หญิง เป็หญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามทั่วร่างแผ่เสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหลออกมาไม่ขาด
“หัวหน้าผู้ดูแลหอจันทราเยว่เหนียงคารวะนายน้อยเย่ คารวะนายท่านทั้งสอง” ผู้ที่เอ่ยปากพูดขึ้นคือหญิงมีอายุที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด น้ำเสียงน่าฟังชวนให้เคลิบเคลิ้ม ใบหน้าที่สละสลวยดุจดั่งลูกท้อสีแดงที่สุกเต็มที่ ให้ความรู้สึกแก่ผู้ที่พบเห็นอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปกัดลิ้มชิมรสดูสักครั้ง รูปร่างของนางพอๆ กับเถ้าแก่เนี้ยแสนสวยของเขาที่เมืองหมัน แต่เสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหลบนใบหน้าของนางดูเด่นชัดมากว่าอั้นเยว่อยู่หลายส่วน ราวกับว่านางเกิดมาก็มีเสน่ห์น่าหลงใหลติดตัวมาแล้ว ไม่จำเป็ต้องแสดงสิ่งใดๆ ออกมาเพิ่มเติม ทำเพียงแค่เอ่ยปากถามขึ้นมาเพียงคำเดียวและยิ้มออกมา กลับทำให้บรรยากาศในที่แห่งนี้เปลี่ยนเป็น่าหลงใหลเคลิบเคลิ้มขึ้นมาได้
‘วิชาสะกดจิตของตระกูลเยว่สุดยอดสมคำร่ำลือจริงๆ ผู้หญิงมีอายุคนนี้แม้ไม่ได้ใช้วิชาสะกดจิตแต่กลับทำให้จิตใจของข้ามีอาการหวั่นไหวได้ ถ้าหากนางใช้วิชาสะกดจิตละก็ ข้าคงจะเผลอสติไปหลายวินาทีเป็แน่ ไม่รู้ว่าวิชาต่อสู้ร่างอสูรของข้ากับวิชาสะกดจิตของตระกูลเยว่ใช้สู้กันใครจะเผลอสติหน้ามืดไปก่อนกัน?’
เย่ชิงหานอึ้งไปชั่วครู่ลอบครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความเกรงใจ “ท่านหัวหน้าผู้ดูแลเกรงใจเกินไปแล้ว เป็ชิงหานที่ต้องขอบคุณในการต้อนรับและขออภัยในการมารบกวน”
“เยว่เหนียง ไม่เจอปีหนึ่งยังคงงดงามน่าหลงใหลเช่นเดิม” เย่สือซานพยักหน้าตอบรับอย่างราบเรียบ แต่เย่สือชีกลับหน้าระรื่นกล่าวสานสัมพันธ์ออกมา
“คิกๆ นายท่านสือชียังคงปากหวานเช่นเคย” เยว่เหนียงกลอกตาขาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่อ่อนหวาน “นายน้อยเย่เชิญด้านใน สามตระกูลใหญ่ที่เหลือต่างมากันพร้อมแล้ว รอแค่เพียงพวกท่านเพียงเท่านั้น”
“อืม!” เย่ชิงหานเดินเข้าไปด้านในหอก่อนเป็คนแรก แต่ไม่คาดคิดว่าเพิ่งจะก้าวผ่านประตูเข้าไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็ดำคล้ำขึ้นมาในทันที แววตาหรี่ลงจนกลายเป็เส้นบางๆ ที่ดูแหลมคม รังสีสังหารพวยพุ่งออกมาจากร่องเล็กของแววตานั้น ทำให้เย่สือซาน เย่สือชี และเยว่เหนียงที่เดินติดตามมาด้านหลังรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทั้งกาย ราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านมาในเหมันตฤดู
เย่สือซานกับเย่สือชีตื่นตัวขึ้นในทันทีเตรียมพร้อมทำการสู้รบ สายตาราวกับกระบี่ของพวกเขามองตามสายตาของเย่ชิงหานไป สิ่งที่เห็นคือใบหน้าที่หล่อเหลาไร้ที่ติของคนผู้หนึ่งกับดวงตาคู่ที่ข้างหนึ่งใหญ่ข้างหนึ่งเล็กที่กำลังแผ่กลิ่นอายเสน่ห์ลึกลับแปลกประหลายดพวยพุ่งออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้