"เกวียนเทียมวัวนั่งได้ไม่เยอะขนาดนั้นหรอกขอรับ ผู้าุโพามู่เซิงกับอาต้าไปแค่สองคน" หนุ่มน้อยหน้าเหมือนตุ๊กตายิ้มกว้าง ใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์
"นั่งเกวียนเข้าเมืองใช้เวลานานเท่าไร" เซวียเสี่ยวหรั่นเดินไปถึงประตูให้เปิดออก
"นั่งเกวียนไปก็หนึ่งชั่วยามครึ่ง" ซีหย่วนยิ้มพลางให้คำตอบ
หนึ่งชั่วยามครึ่งนี่มันนานแค่ไหน? หนึ่งชั่วยามดูเหมือนจะเท่ากับสองชั่วโมง หนึ่งชั่วยามครึ่งก็เป็สามชั่วโมง?
เซวียเสี่ยวหรั่นเบิกตาค้างอย่างตกตะลึง "ไกลขนาดนั้นเชียว?"
"ก็ไม่ไกลมาก เดินทางั้แ่ฟ้ายังไม่สาง ไปถึงในเมือง ก็เพิ่งยามยามซื่อ [1] เท่านั้นเอง ยังเช้าอยู่มาก" ซีหย่วนหัวเราะพลางตอบคำถาม
เซวียเสี่ยวหรั่นฟังแล้วปวดฟันแทน ตอนแรกยังคิดอยู่ว่ารอให้คุ้นเคยกับแถวนี้อีกนิด จะลองไปสืบราคาเห็ดหลิงจือกับเขากวางเสียหน่อย
ตอนนี้พอได้ยินว่าเข้าเมืองต้องใช้เวลาถึงสามชั่วโมง เซวียเสี่ยวหรั่นก็ห่อเหี่ยวทันที แค่เดินอย่างเร่งรีบสองวันบนูเา อาการปวดเมื่อยไปทั้งตัวทำให้เธอนึกขยาดกับการเดินทางไกล
"เหตุใดต้าเหนียงจื่อถึงใช้เตาหินทำกับข้าวล่ะขอรับ" ซีหย่วนเห็นเตาหินตั้งอยู่หน้าห้องครัวก็อึ้งงันไปชั่วขณะ ก่อนที่จะทำท่านึกได้
"เมื่อก่อนบ้านข้าอยู่กันแปดคน ครอบครัวคนเยอะ เลยต้องใช้เตาใหญ่หน่อย พวกท่านแค่สองคนใช้ก็ใหญ่เกินไปจริงๆ"
"แปดคน อยู่ด้วยกันทั้งหมดเลย?" เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งงัน ห้องแค่สองห้อง แล้วอยู่กันอย่างไร
"เดิมทีมีห้องมุงจากอีกห้องด้านหลังแต่ตอนมาก็พังไปแล้ว
นั่นก็ไม่พออยู่ดี หนึ่งห้องตั้งเตียงได้แค่สามเตียงเท่านั้น เซวียเสี่ยวหรั่นทอดถอนใจ
"ครอบครัวของเ้าย้ายไปบ้านใหม่ คงจะกว้างกว่าอยู่กระมัง"
แท้จริงแล้วพี่ชายคนโตของซีหย่วนเป็สมุห์บัญชีของตระกูลใหญ่ครอบครัวหนึ่งในเมือง หาเงินได้ไม่น้อย ดังนั้นจึงสามารถสร้างบ้านหลังใหม่ในหมู่บ้าน
"พี่ชายคนโตของเ้ามีความสามารถจริงๆ"
โจ๊กในหม้อเดือดแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นรีบชักฟืนออกมา ใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวต่อ
"พี่ชายข้าเรียนหนังสืออยู่สองปี ต่อมาที่บ้านไม่มีเงินส่งให้เขาเรียนต่อ เขาก็ศึกษาด้วยตนเองอีกหลายปี ต่อมาเข้าไปในเมืองหางานทำ อาศัยความรู้ที่ร่ำเรียนมาหลายปีก็เลยไปได้ดี"
ซีหย่วนท่าทางภาคภูมิใจ
มองออกว่าความสัมพันธ์สองพี่น้องน่าจะดีมาก ยามซีหย่วนเอ่ยถึงพี่ชายสีหน้าของเขามีแต่ความภาคภูมิใจ
ซีหย่วนนำผักดอง ผักกาดหอม ถั่วฝักยาวและกระเทียมมาให้ ล้วนแต่เป็พืชผักทั้งสิ้น เซวียเสี่ยวหรั่นกล่าวขอบคุณ ไม่นึกเกรงใจ ที่นี่ขาดแคลนไปเสียทุกอย่าง เกรงใจอาจไม่มีกินได้ รอให้เธอตั้งหลักได้ก่อน จะต้องส่งของขวัญกลับไปอย่างแน่นอน
เซวียเสี่ยวหรั่นนำผักกาดดองมาสับละเอียดใส่ลงไปในโจ๊ก ตุ๋นเป็โจ๊กผักกาดดอง
อาเหลยได้กลิ่นหอมก็มาเดินวนเวียนอยู่ข้างเตา
เซวียเสี่ยวหรั่นสนทนากับซีหย่วน ให้เขาเล่าเื่ราวเกี่ยวกับหมู่บ้านขู่หลิ่งถุนอย่างคร่าวๆ ให้ฟังหนึ่งรอบ
ขู่หลิ่งถุนมีประชากรร้อยกว่าครัวเรือน ทั้งหมู่บ้านมีคนประมาณแปดร้อยคน คนส่วนใหญ่เป็ของสองสกุลหลักคือ สกุลซี กับสกุลอู ที่เหลือก็เป็แซ่อื่นๆ ประปราย
แม้จะมีสองตระกูลแต่ก็เป็ชนเผ่าเดียวกัน ดังนั้นหมู่บ้านของพวกเขาจึงนับว่าสมัครสมานปรองดอง ร่วมแรงร่วมใจผ่านวันเวลาที่เกิดความวุ่นวายภายในมาหลายต่อหลายครั้ง
เพราะด้านหลังอยู่ติดกับูเาสูงใหญ่ มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นแม้ว่าหมู่บ้านของพวกเขาจะไม่ร่ำรวยมาก แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ไม่ลำบาก
กล่าวได้ว่าแม้จะตั้งอยู่ในแคว้นหลีซึ่งมักเกิดาภายในอยู่บ่อยครั้ง ก็ยังนับว่าสงบเรียบร้อยอย่างหาได้ยาก
"ข้างนอกวุ่นวายมากเลยหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นใจหายวาบ
ถ้ามาอยู่ในยุคสมัยที่เกิดาก็เลวร้ายมาก เธอเป็ผู้หญิงอ่อนแอ ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะอยู่รอดในโลกที่วุ่นวายได้
"สองปีมานี้ค่อยดีขึ้นหน่อย หลายปีก่อนนี่สู้รบกันรุนแรงทีเดียว คนหนุ่มอายุน้อยมากมายล้วนตายในา เหลือแต่สตรี เด็กและคนชรา ไม่เหลือใครออกไปรบแล้ว ดังนั้น่สองปีมานี้าระหว่างชนเผ่าถึงน้อยลงมาก คนใกล้จะตายกันหมดแล้ว ทุกฝ่ายถึงยอมหยุดา"
หากไม่ใช่ว่าขู่หลิงถุนตั้งอยู่ในเขตห่างไกล อีกทั้งเหล่าชาวบ้านทุกคนต่างสมัครสมานสามัคคี ก็ไม่รู้ว่าจะถูกคลื่นถาโถมไปกี่หนแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นหดคอ ปัดโธ่เอ๊ย! ทำไมพวกเธอต้องแล่นมายังสถานที่ที่เต็มไปด้วยาอย่างนี้ด้วย
เดิมทียังคิดว่าทางใต้อากาศดี พืชผลอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การอยู่อาศัยระยะยาว แต่ความจริงก็คือสภาพแวดล้อมเหมาะสม แต่สถานการณ์โดยรวมกลับไม่ไหว
ชีวิตสำคัญที่สุด สภาพอากาศ ทรัพยากร สภาพแวดล้อมล้วนมาทีหลัง
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงแคว้นฉีที่อยู่ของเหลียนเซวียน สถานการณ์บ้านเมืองของแคว้นนั้นไม่รู้เป็อย่างไรบ้าง
เธอลองสอบถามสถานการณ์ของแคว้นฉีกับซีหย่วน
"แคว้นฉีหรือ ใหญ่กว่าแคว้นหลีของพวกเราเยอะเลย าก็น้อยกว่า แต่พวกเขาก็รบกับซีฉีมาหลายปี ชายแดนดูเหมือนจะวุ่นวายอยู่บ้าง ส่วนอย่างอื่นข้าไม่แน่ใจนัก"
ซีหย่วนเคยไปไกลสุดก็แค่ในเมือง เื่ของแคว้นอื่นก็รู้อยู่ในวงจำกัด
ดูท่าไปถามเหลียนเซวียนน่าจะได้เื่กว่า เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นในใจ
เหลียนเซวียนซึ่งอยู่ในห้องฟังพวกเขาสองคนคุยกันมาตลอดทางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ยามได้ยินเซวียเสี่ยวหรั่นถามถึงสถานการณ์แคว้นหลีกับแคว้นฉี เบื้องลึกแววตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจ
นางไม่ใช่คนแคว้นหลี และไม่ใช่คนแคว้นฉี ยิ่งไม่คล้ายเป็คนซีฉี นางเคยพูดถึงต้าเทียนเฉา แท้จริงแล้วมันตั้งอยู่แห่งหนใดกันแน่
หรือจะอยู่แดนโพ้นทะเล ไม่ก็นอกกำแพง [2]
"หมู่บ้านของพวกเ้ามีช่างไม้ด้วยหรือ เยี่ยมไปเลย อีกประเดี๋ยวเ้าช่วยพาช่างไม้มาดูได้หรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นยังสอบถามซีหย่วนต่อ พอรู้ว่าในหมู่บ้านมีช่างไม้ก็ดีใจมาก
เธอตั้งใจไว้ว่าจะทำไม้เท้าให้เหลียนเซวียนสักอัน จะได้ไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น
"ได้ขอรับ บ้านของท่านลุงเจ็ดอูอยู่ไม่ไกล" ซีหย่วนรับปาก
เซวียเสี่ยวหรั่นเคี่ยวโจ๊กเสร็จตักออกมา เชิญเขากินมื้อเช้าด้วยกัน
ซีหย่วนรีบโบกมือ บอกว่าตนเองเพิ่งกินมา
เขาเห็นน้ำในโอ่งในครัวเหลือไม่มากแล้ว ก็หิ้วถังไปลำธารหลังเขาช่วยตักน้ำกลับมา
เซวียเสี่ยวหรั่นทอยิ้ม ช่างเป็เด็กหนุ่มที่มีมารยาทและรู้ความจริงๆ
เธอวางโจ๊กบนเตาให้เย็นก่อน "อาเหลย รออีกหน่อยค่อยกิน โจ๊กร้อนอยู่ ร้อนมากด้วย เข้าใจไหม? รอเย็นอีกหน่อยค่อยกิน อย่าเพิ่งเอามือไปแตะล่ะ"
ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องเตาตาปริบๆ เซวียเสี่ยวหรั่นพยายามกลั้นหัวเราะ ตักน้ำจากโอ่งยกไปให้เหลียนเซวียนล้างหน้า
"หมู่บ้านของเขามีช่างไม้ เดี๋ยวข้าจะไปคุยกับช่างให้ทำไม้เท้าค้ำยันสักอัน" เซวียเสี่ยวหรั่นบิดผ้าเช็ดหน้ายัดใส่มือเขา
เหลียนเซวียนหน้านิ่งราวกับน้ำก้นบ่อ เช็ดหน้าเช็ดตาไปเงียบๆ
เป็อะไรอีกล่ะ? ท่าทางเหมือนจะไม่พอใจ เซวียนเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ รับผ้าเช็ดหน้ามาจากมือเขา
"ท่านไม่ไปปลดทุกข์หรือ ให้ข้าไปตามซีหย่วนมาพยุงท่านไปห้องสุขาดีหรือไม่ โอ๊ย พูดถึงห้องสุขาข้ายังไม่ได้ไปดูเลย ไม่รู้ว่าเป็อย่างไรบ้าง"
นึกถึงเื่นี้เซวียเสี่ยวหรั่นก็เหยียดมุมปาก ห้องสุขาแบบโบราณค่อนข้างย่ำแย่ ตอนเด็กๆ เธอเคยััมาแล้ว
ห้องสุขามีอะไรน่าดู เหลียนเซวียนกลอกตา
คิดดูก็รู้ เรือนไม่มีคนอยู่มาปีกว่า ห้องสุขาไม่รู้จะทรุดโทรมเพียงไหน
แต่อย่างน้อยก็ไม่มีกลิ่นเหม็นเกินไป
เหลียนเซวียนเคยเดินทางมาไม่น้อยย่อมสามารถเผชิญหน้าอย่างสงบนิ่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นยกน้ำออกไป อาศัย่ที่ซีหย่วนยังไม่กลับมา วิ่งไปหลังห้องครัว
เป็อย่างที่เหลียนเซวียนคาดไว้ สุขายังพอใช้ได้อยู่ แม้จะผุพังไปบ้าง แต่ไม่มีกลิ่นเหม็น
เซวียเสี่ยวหรั่นถอนหายใจโล่งอก
...
[1] ยามซื่อ คือเวลา่ 9.00-10.59
[2] หมายถึงพื้นที่ทางตอนเหนือสุดของกำแพงเมืองจีน เป็ที่รกร้างและหนาวเย็นด้อยพัฒนา
