ความคิดชั่ววูบคือบ่อเกิดของความวอดวาย ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็มักมีให้เห็นกันอยู่เนืองๆ จางจื่ออี๋ปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไปไกลแสนไกล ในหูคล้ายมีเสียงดังหึ่งๆ ไม่จางหาย ระบบประมวลผลของสมองเหมือนจะหยุดทำงานไปชั่วคราว ความสับสนวุ่นวายในจิตใจ ถูกระบบป้องกันตนเองของสมองที่ได้รับการปรับแต่งด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงสั่งให้หยุดชะงัก ตัวเธอกำลังเข้าสู่ระบบประมวลความคิดเมื่อพบเจอสถานการณ์ที่อาจจะเป็ภัยถึงชีวิต
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาหลังจากสมองประมวลกระบวนการคิด และสามารถรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นที่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ นี่คือการเดินทางข้ามเวลาของกลุ่มพลังงานที่ส่งออกจากสมองของมนุษย์ เรียกภาษาชาวบ้านคือดวงจิตของคนๆ หนึ่ง นี่เป็ความผิดพลาดที่ไม่สมควรเกิดขึ้น โครงการลับของกองทัพที่สร้างเครื่องข้ามเวลา ณ ตอนนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ถ้ามันถูกเปิดขึ้นก่อนที่จะเสร็จสมบูรณ์มันจะส่งผลกระทบเป็วงกว้าง ไม่มีอะไรมากแค่ทำให้ทั้งเมืองไฟดับ แต่ช่างเื่พวกนี้เพราะว่าการกระทำที่ไม่มีการแจ้งล่วงหน้านี้ ทำให้มนุษย์หนึ่งเดียวอย่างจางจื่ออี๋ที่สมองได้รับการปรับแต่งจากเทคโนโลยีขั้นสูง ได้รับผลกระทบจากการเปิดใช้เครื่องเวรนี่เต็มๆ
สมองเป็ส่วนที่ซับซ้อน หากไม่จัดการมันให้ดีความบรรลัยก็จะเกิดเหมือนอย่างตัวเธอในตอนนี้นี่ไง เมื่อครู่เธอยังอาลัยอาวรณ์กับนิยายเื่โปรดอยู่เลย ทว่าอึดใจต่อมาเธอก็ค้นพบว่าตัวเองดันเข้ามาอยู่ในนิยายเื่นี้ไปแล้ว จะเรียกว่าดวงจิต ดวงวิญาณ เคลื่อนกระแสจิต หรืออะไรก็แล้วแต่...
ตัวประกอบที่รับบทร้ายที่จัดอยู่ในลำดับที่สาม ผู้ที่ถูกบอสกำจัดให้ตายอย่างอนาถในตอนที่150 จางจื่ออี๋ บุตรสาวคนโตบ้านสามตระกูลจาง อายุ 15 ปี มีน้องชายหนึ่งคน จางจื่อเหยา อายุ 9 ปี และน้องสาวคนเล็กอายุ 1 เดือน จางจื่อหนิง มารดาสกุลหยวนเสียชีวิตเพราะตกเืหลังคลอด บิดาเสียชีวิตเพราะถูกโจรป่าดักปล้นขณะเดินทางไปซื้อโสมมารักษาชีวิตของภรรยา
ชีวิตเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ถึงจางจื้อหลินผู้เป็บิดาจะเป็ถึงบัณฑิตซิ่วไฉหนึ่งเดียวของหมู่บ้าน แต่ชีวิตความเป็อยู่ภายในครอบครัวสกุลจางกลับไม่ได้สุขสบายอะไร แน่นอนเื่นี้ไม่ใช่ความลับ เพราะจางจื้อหลินเป็บุตรของสตรีไร้หัวนอนปลายเท้าที่ท่านผู้เฒ่าจางไปมีตอนออกไปค้าขายที่ต่างเมือง นี่จึงเป็เหตุให้จางซื่อผู้ที่มีบุตรชายอยู่ก่อนแล้วถึงสองคนโกธรแค้นจางจื้อหลิน หากว่าดื่มเืเคี้ยวกระดูกเด็กทารกในห่อผ้าในยามนั้นได้ย่าจางคงทำไปแล้ว ทว่าติดที่ยามนั้นผู้เฒ่าจางมีอำนาจในบ้าน หากท่านบอกว่าเด็กน้อยจางจื้อหลินต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เขาตาย
แม้จะอยู่ในโคลนตม ถูกกดไว้ใต้ฝ่าเท้าั้แ่ยังเล็กทว่าจางจื้อหลินกลับเปล่งประกายโดดเด่นเหนือบรรดาพี่น้อง วันที่เขาสอบได้เป็ซิ่วไฉเป็หน้าเป็ตาให้สกุลจาง ชีวิตครอบครัวบ้านสามจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย ที่จางจื่ออี๋บอกว่าเล็กน้อยก็คือเล็กน้อยจริงๆ คำพูดของย่าจางในยามนั้นบอกว่า เป็ซิ่วไฉแล้วไม่ต้องกินข้าวรึ ไร่นา เพาะปลูก งานใดๆ ในครอบครัวก็ต้องทำเช่นเดิม อย่าคิดว่าเป็ซิ่วไฉแล้วจะบินขึ้นฟ้าไปได้
ชีวิตบัดซบ
คำพูดนี้ไม่เกินจริงสักนิด พอจางจื้อหลินและหยวนซื่อจากไปพร้อมกัน ครอบครัวสกุลจางก็ถีบหัวส่งเด็กกำพร้าทั้งสามออกมาอย่างเืเย็น เป็การแยกบ้านที่โหดร้ายทารุณ บ้านหนึ่งหลังราคาไม่ถึงสิบตำลึงที่ปู่จางซื้อต่อมาจากบ้านสกุลฉี พร้อมกับเงินสิบตำลึง ข้าวฟ่างอีกหนึ่งตั้น มันเทศอีกหนึ่งเกวียน นี่คงเป็ความเมตตาสุดท้ายของเฒ่าจางแล้ว เพราะหากให้ย่าจางเป็ผู้จัดการ อย่าว่าแต่บ้านเลยข้าวสักหนึ่งถ้วยจะได้มาหรือไม่ก็ไม่รู้ โชคยังดีที่ข้าวของส่วนตัวของบ้านสามเ้าของร่างเดิมต่อสู้แย่งชิงเอามาจนได้ อาจจะเป็ความจริงที่ว่าการตายของคนในครอบครัวที่มาพร้อมกันถึงสองคน ถือเป็โชคร้ายที่ต้องกำจัดโดยเร็ว การแยกบ้านของเด็กกำพร้าทั้งสามจึงถูกจัดการอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้นำหมู่บ้านเป็พยานพร้อมออกหนังสือรับรอง ผู้เฒ่าในตระกูลจางก็ได้ทำการแยกผังตระกูลอย่างเป็ทางการ
หนึ่งเดือนผ่านไปชีวิตเด็กบ้านสามผ่านไปได้อย่างลุ่มๆ ดอนๆ คนในหมู่บ้านไม่กล้าเข้าใกล้พวกนางมากนักเพราะเกรงจะนำพาโชคร้ายมาสู่ตัว ส่วนตัวเธอนั้นได้มาถึง ณ ที่แห่งนี้ เมื่อห้านาทีที่แล้ว และในอีกห้านาทีถัดมาสมองของเธอจึงสามารถประมวลผลได้อย่างสมบูรณ์
เสียงรองครางเล็กๆ ราวกับแมวป่วยดังเข้ามาในโสต จางจื่ออี๋พลันรับรู้ว่าในอ้อมแขนของตนกำลังมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจ้อยนอนอยู่อย่างเชื่อฟัง หญิงสาวกะน้ำหนักของร่างเล็กคาดว่าราวสองพันกรัมนิดๆ นี่เป็ภาวะวิกฤติของทารกแรกเกิด อายุหนึ่งเดือนน้ำหนักสมควรเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ แต่จะทำอย่างไรได้ก่อนหน้าที่เธอจะมา ทางออกเดียวที่เ้าของร่างเดิมทำได้คือป้อนน้ำข้าวให้น้องสาวที่น่าสงสารผู้นี้เท่านั้น
“พี่ใหญ่อาหนิงหิวแล้วขอรับ”เสียงเล็กๆ ของเด็กชายร่างผอมบางที่ไม่รู้มายืนอยู่ข้างเตียงเตาั้แ่เมื่อไหร่
หากกล่าวถึงบ้านราคาสิบตำลึงในหมู่บ้านชนบท ถือว่ามีสภาพปานกลางกึ่งทรุดโทรมเพราะไม่มีผู้อยู่อาศัยเป็เวลานาน บ้านดินขนาดหนึ่งห้องมีเตียงเตาหลังใหญ่กินพื้นที่สองในสาม มีโต๊ะกินข้าวขนาดสี่ที่นั่ง ที่ด้านนอกมีห้องครัวพร้อมห้องเก็บฟืน ด้านหลังมีที่ดินเปล่ารวมๆ พื้นที่คงสักหนึ่งหมู่ พื้นที่อยู่อาศัยหนึ่งหมู่ถือว่าไม่เล็ก แต่ทำเลที่ตั้งของบ้านเก่าสกุลฉีนับว่าห่างไกลผู้คน ที่ด้านหลังเรือนห่างไปราวห้าร้อยเมตรเป็ูเา เขาอู่หลิง ูเารกร้างที่ไม่มีชาวบ้านคนใดย่างกลายเข้าไปเกินห้าลี้ แม้แต่นายพรานที่เก่งที่สุดในหมู่บ้านก็มิกล้าฝ่าฝืนข้อห้ามนี้ แม้มีคนคิดอยากลองดีก็ไม่ได้กลับมาอีกตลอดกาล
“อาเหยา ออกไปด้านนอกกับพี่กันเถิด”จางจื่ออี๋ลูบไล้ใบหน้าเล็กจ้อยของน้องชายอย่างแ่เบา นางมองเห็นความเศร้าหมองภายในดวงตา มองเห็นความทดท้อ แม้จะเป็เช่นนั้นเด็กชายผู้นี้ก็เลือกที่จะดิ้นรนมีชีวิตต่อไปด้วยไม่คิดที่จะยอมแพ้ให้กับโชคชะตาอันโหดร้าย
“ขอรับ”ด้วยเป็เด็กที่ไม่ช่างพูดจาเพราะเติบโตมาจากสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย แม้จะสงสัยใคร่รู้แต่เ้าตัวก็เลือกที่จะเดินตามหลังผู้เป็พี่สาวออกไปอย่างเงียบเชียบ
การออกจากบ้านเพื่อเดินไปถึงจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ใช้เวลาถึงสองเค่อ เพราะที่หมู่บ้านพึ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตกันเสร็จไปไม่กี่วันก่อนบรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่น พืชผลอุดมสมบูรณ์หน้าหนาวปีนี้คงไม่ต้องอดมื้อกินมื้อเพื่อให้ผ่านพ้นไปได้ เมื่อจิตใจเบิกบานความเมตตาก็จะเกิดขึ้นในจิตใจ เดิมทีชาวบ้านในหมู่บ้านจางเจี่ยก็ไม่ได้เลวร้าย ตลอดทางที่จางจื่ออี๋เดินผ่านก็มีผู้เฒ่าผู้แก่ถามไถ่ไม่ขาด แม้จะเป็เพียงการถามไถ่ตามมารยาท หรือด้วยใจเมตตาตัวนางก็ตอบรับด้วยมารยาทอันพึงมี
ร่างเล็กของสตรีที่อุ้มเด็กทารกและเด็กชายต่างตั้งตรงหลังไม่งองุ้ม สีหน้าสงบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายของผู้มีการศึกษา นั่นจึงเป็เหตุให้ไม่มีผู้ใดกล้าส่งสายตาดูถูกหรือคิดเอาเปรียบเด็กกำพร้าสกุลจาง
“ย่าเหลียงท่านอยู่หรือไม่เ้าคะ”สิ้นเสียงเรียกไม่กี่อึดใจร่างของผู้ที่นางเรียกขานว่าย่าเหลียงก็เดินออกมาจากด้านหลังเรือนด้วนฝีเท้าที่กระฉับกระเฉง ผู้ใดใช้ให้การแต่งงานของคนโบราณมีั้แ่สิบสองสิบสามกันล่ะ ดังนั้นย่าเหลียงที่จางจื่ออี๋เรียกขานก็เป็เพียงหญิงวัยกลางคนที่อายุสามสิบปลายเท่านั้น
“เด็กน้อยสกุลจางเดินมาถึงนี่มีเื่อันใดรึ มาเข้ามานั่งด้านในก่อน”ย่าเหลียงผู้นี้มีชื่อเสียงว่าเป็คนเปิดเผยจริงใจ ในด้านความสัมพันธ์กับบ้านสามสกุลจางก็มีอยู่ ในยามนั้นที่ท่านปู่เหลียงเกิดข้อพิพาทต้องขึ้นโรงขึ้นศาล หากไม่ได้บิดาของนางช่วยเขียนคำร้องแก้ต่างไม่แคล้วสกุลเหลียงคงขาดเสาหลักไปแล้ว บุญคุณนี้เดิมทีจางจื้อหลินไม่คิดเรียกร้องสิ่งใด แต่นั่นไม่ใช่กับจางจื่ออี๋ผู้นี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้