ฮูหยินผู้เฒ่าพลันประหลาดใจ หลานชายของตนร่างกายอ่อนแอ ยามปกติล้วนนอนพักอยู่แต่ในห้อง เขาจะไปรู้จักสตรีได้อย่างไร? “หลิงเอ๋อร์ เป็คุณหนูของตระกูลไหนหรือ?”
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามทำเพียงแย้มยิ้ม “ท่านย่าจะมีโอกาสพบนางแน่นอนขอรับ”
เห็นท่าทางของเขา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งแปลกใจ หลานชายคนนี้ของนางนิ่งเฉยกับทุกสิ่งทุกอย่างมาตลอด ทว่าครั้งนี้ถึงกับแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน เป็คุณหนูบ้านไหนกันแน่? น้ำเสียงที่ได้ยินก็ดูเหมือนว่าไม่อยากให้ตนสอดมือเข้าไปยุ่ง
นางถอนหายใจ “เอาเถิด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือร่างกายของเ้า หากไม่ชอบคุณหนูรองจวนชางหรงโหวผู้นั้น ย่าก็จะไปคุยกับบิดาของเ้าให้”
เฟิ่งหลิงตอบรับครั้งหนึ่ง แล้วจึงนอนลงไปเงียบๆ มองฮูหยินผู้เฒ่าที่หันมามองครู่หนึ่งแล้วเดินจากไปอย่างเชื่องช้า
...
ณ สนามฝึกม้าของราชวงศ์ วันนี้ท้องฟ้าครึ้มบรรยากาศอึมครึม สายลมหนาวพัดมาเอื่อยเฉื่อย หลิ่วอวิ๋นเฟิงใช้มือกุมกระบี่ยาวที่เอว มองเส้นทางวิ่งม้าอันคดเคี้ยวเบื้องหน้า
อุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้สนามฝึกม้ามีองครักษ์เพิ่มขึ้นจำนวนไม่น้อยทั้งยังเข้มงวดมากกว่าแต่ก่อน แต่ถึงจะเป็แบบนั้นก็ยังไม่พบเบาะแสร่องรอยใดๆ เป็เพราะอีกฝ่ายกระทำการรัดกุม หรือเพราะมีไส้ศึกอยู่ในสนามฝึกม้าก็ไม่อาจทราบได้??
ไม่ว่าจะเป็อย่างไร หลิ่วอวิ๋นเฟิงล้วนรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก หากอีกฝ่ายกระทำการได้ละเอียดรอบคอบไม่ทิ้งร่องรอยไว้เช่นนี้ พวกเขายิ่งต้องเพิ่มการป้องกันให้แ่าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่หากเป็อย่างหลัง พวกเขาก็ต้องรีบหาหนอนบ่อนไส้ออกมา มิฉะนั้นการเลี้ยงเสือไว้ในบ้านเช่นนี้อาจส่งผลร้ายต่อการประลองกับแคว้นอี้อย่างมหันต์
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็มีฝ่ามือพุ่งมาจากข้างหลัง หลิ่วอวิ๋นเฟิงใเบี่ยงกายหลบการโจมตีของคนผู้นั้น เสียงชักกระบี่ทั้งสองดังขึ้นพร้อมๆ กัน คมกระบี่ปะทะกันจนเกิดเสียงเสียดสีทิ่มแทงหู
อีกฝ่ายคือบุรุษผู้ปิดบังใบหน้า ดวงตาคมกริบ จิตสังหารที่แผ่ออกมาทั่วทั้งร่างทำให้หลิ่วอวิ๋นเฟิงรู้สึกคุ้นเคย คล้ายเคยพบที่ไหนมาก่อน
ทุกกระบวนท่าล้วนดุดัน โจมตีจุดตายอย่างแม่นยำ ทั้งสองฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยง สายตาของหลิ่วอวิ๋นเฟิงเหลือบมองไปยังองครักษ์ที่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่บริเวณไม่ไกล ในใจเริ่มกระจ่างขึ้นหลายส่วน
เขาถีบไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย ตวัดกระบี่ในมือออกไป มีอะไรบางอย่างตกลงสู่พื้นโดยพลัน หลิ่วอวิ๋นเฟิงยื่นขาออกไปเตะของสิ่งนั้นด้วยความรวดเร็ว แล้วใช้กระบี่ตวัดเข้ามา ตราคำสั่งนั้นก็ปลิวมาอยู่บนมือเขา
“ฝีมือของญาติผู้พี่ช่างปราดเปรียวขึ้นทุกวัน!”
บุรุษผู้ปกปิดใบหน้าหัวเราะออกมา ดึงผ้าสีดำที่ใช้คลุมใบหน้าออก ปรากฏใบหน้าอันเด็ดเดี่ยวแข็งกร้าวออกมาให้เห็น
“นิสัยของญาติผู้น้องไม่เปลี่ยนไปเลย” ในคำพูดของหลิ่วอวิ๋นเฟิงแฝงไปด้วยอะไรหลายอย่าง อีกฝ่ายไม่สนใจ เก็บกระบี่เข้าฝักอย่างคล่องแคล่ว “พี่อวิ๋นฮั่นยังไม่กลับมาหรือ เหตุใดจึงไม่เห็นเขาเล่า?”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงยิ้มบาง “เ้ากลับเมืองมาพร้อมเขาหรือ?”
บุรุษตรงหน้าก็คือหลานชายของแม่ทัพเวยหย่วน นามเหลยเจิ้น ถูกแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งไปขัดเกลาที่ค่ายทหารชายแดน เนื่องด้วยความสัมพันธ์ลูกพี่ลูกน้อง เขากับหลิ่วอวิ๋นฮั่นจึงเป็สหายที่ดีต่อกันในกองทัพ นิสัยของทั้งสองคล้ายคลึงกัน และด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีความสัมพันธ์สนิทสนมกันมาก แน่นอนว่ามนุษยสัมพันธ์กับคนในกองทัพของพวกเขาก็เป็เช่นเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะมีเื้ัอันยิ่งใหญ่ ในส่วนลึกของจิตใจคนจำนวนไม่น้อยคงไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
“ใช่แล้ว กองทัพที่ชายแดนน่าเบื่อมาก ในเมืองหลวงยังสบายเสียกว่า”
หากชางหรงโหวได้ยินคำพูดเช่นนี้ เหลยเจิ้นคงจะถูกทำโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เขารู้ว่าหลิ่วอวิ๋นเฟิงไม่รายงานเื่เล็กน้อยเช่นนี้จึงกล้าพูดจาตามใจ
“ใช่แล้วท่านพี่ เมื่อครู่ท่านเห็นอะไรหรือไม่?” เหลยเจิ้นยื่นมือไปจับไหล่หลิ่วอวิ๋นเฟิงอย่างร่าเริง จับเขาหันกายให้มองไปยังทิศทางเมื่อครู่
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
เื่ที่รัชทายาทเกิดอุบัติเหตุอันตรายเ่าั้ ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี สำหรับญาติผู้น้องคนนี้ หลิ่วอวิ๋นเฟิงทราบดีว่าไม่อาจให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาไม่ทราบได้ว่าจะเกิดความวุ่นวายใดๆ ตามขึ้นมาอีกบ้าง
“อวิ๋นเฟิง เ้ามาเช้าขนาดนี้เชียวหรือ?”
บริเวณไม่ไกล ตงฟางซวี่และเฟิ่งอวี่เดินมาด้วยกัน ดวงตาของเหลยเจิ้นสว่างวาบ ละทิ้งหลิ่วอวิ๋นเฟิงโดยพลัน ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า “เกล้ากระหม่อมถวายพระพรรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงของเขาดังกังวานไปทั่วทั้งสนามฝึกม้า
“ที่แท้ก็เป็หลานชายของท่านแม่ทัพเวยหย่วนนี่เอง มีชีวิตชีวายิ่งนัก!” ตงฟางซวี่จำชุดทหารบนร่างของเหลยเจิ้นได้ ในแคว้นเฉิน แม่ทัพทุกคนล้วนมีสัญลักษณ์ตระกูลเป็ของตนเอง ซึ่งจะสลักไว้ที่ชายแขนเสื้อชุดทหาร เพียงแต่มีคนไม่มากที่ทราบเื่นี้ หากไม่ศึกษาอย่างละเอียดก็จะคิดว่าเป็เพียงลวดลายของชุดเท่านั้น
“กระหม่อมมิกล้า ฝ่าาทรงมีกิจธุระมากมาย ทุกวันต้องลำบากตรากตรำ กระหม่อมเป็กังวลต่อฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งอวี่และหลิ่วอวิ๋นเฟิงสบตากัน ทั้งสองหัวเราะแห้งๆ ในใจ เหตุใดลูกหลานตระกูลเหลยจึงได้เหมือนกันขนาดนี้ นิสัยมุทะลุเถรตรง พูดจาไม่รื่นหู แข็งแรงห้าวหาญ อีกทั้งเหลยเจิ้นผู้นี้ไม่คิดปกปิดจิตใจที่้าเป็ใหญ่ของตนเองเลยแม้แต่น้อย คนเช่นนี้จะใช้งานได้จริงหรือ
ตงฟางซวี่ไม่เปลี่ยนสีหน้า “มีขุนนางดีเช่นนี้ เชื่อว่าวันหน้าแคว้นเฉินจะต้องรุ่งโรจน์เป็แน่” ความหมายในคำพูดของเขาไม่ชัดเจน เหลยเจิ้นรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง หรือรัชทายาททรงไม่ทราบถึงความสามารถของตน? เช่นนั้นตนเองจะต้องแสดงออกมาให้ดีเสียหน่อย
ในเมื่อญาติผู้พี่ได้รับความไว้วางใจจากรัชทายาทได้ ตนเองก็ต้องทำได้เช่นกัน เหลยเจิ้นคิดว่าความสามารถของตนเองพอจะเทียบเท่ากับญาติผู้พี่อยู่บ้าง เมื่อเทียบกับเหล่าพี่ชายน้องชายในจวนโหวแล้ว ตนก็ยอดเยี่ยมกว่าในทุกด้าน การเลื่อนตำแหน่งนั้นเป็เื่ที่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดขึ้น ถึงตอนนั้น ดูสิว่าผู้ใดจะกล้าเรียกเขาว่าหลานอนุของแม่ทัพเวยหย่วนอีก! เขาเกลียดคำว่าอนุเป็ที่สุด และเพราะคำคำนี้ เขาจึงอัดผู้อื่นในค่ายทหารจนฟันร่วงไปไม่น้อย
“กระหม่อมจะทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถจนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
ท่าทางเช่นนี้ของเหลยเจิ้นราวกับจะออกไปรบก็มิปาน
ตงฟางซวี่พยักหน้าอย่างชมเชย “เหตุใดวันนี้ท่านอาจารย์อวิ๋นจึงยังไม่มา?”
เหลยเจิ้นตกตะลึง ท่านอาจารย์อวิ๋นเป็ใคร ฟังจากน้ำเสียงของรัชทายาทแล้ว ดูเหมือนท่านอาจารย์อวิ๋นผู้นี้จะเป็บุคคลที่มิอาจดูเบาได้
ภายในป่าไม่ไกล เฟิ่งฉีขมวดคิ้ว “ทำไมเ้าทึ่มนั่นถึงได้กลับมาแล้ว?”
เ้าทึ่มที่ว่าย่อมหมายถึงเหลยเจิ้น
เฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ ทำเพียงยกยิ้มบาง ความจริงนั้นเป็ที่ทราบกันดีว่าเหลยเจิ้นผู้นี้ไม่ได้เป็ที่ต้อนรับจากลูกหลานขุนนางในราชสำนัก เพราะนิสัยเืร้อนพาลหาเื่ของเขา พูดจาได้ไม่กี่คำก็ลงไม้ลงมือแล้ว
“เฮ้อ ข้าได้แต่หวังว่าวันหน้าเขาจะไม่ก้าวร้าวกับคุณหนูหก” คำพูดที่แฝงความหมายของเฟิ่งฉี ในที่สุดก็ทำให้เฟิ่งหลิงมองเขาครู่หนึ่ง
“ดูสิ! นั่นคุณหนูหก!”
เฟิ่งฉีชี้บุรุษสวมชุดขาวราวปุยเมฆที่เดินอยู่อีกทาง ดวงตาของเฟิ่งหลิงอดไม่ได้ที่จะมองตามไป อวิ๋นซูในวันนี้ใสสะอาดดุจหยก ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใส ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกครั้งนางจะนำพาความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปมาสู่เขา เช่นนี้ดีกว่าจิตใจที่คาดเดาได้ยากของนางมากนัก ความรู้สึกเช่นนี้ล้วนทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากเข้าใกล้นางมากขึ้นมากกว่าเดิม
“ท่านอาจารย์อวิ๋น!” ทุกคนเองก็เห็นบุคคลที่จูงลูกม้าตัวน้อยเดินใกล้เข้ามาเช่นกัน อวิ๋นซูในวันนี้ยังคงแต่งกายด้วยชุดบุรุษ เหลยเจิ้นเริ่มใช้สายตาประเมินบุคคลที่ถูกรัชทายาทเรียกอย่างเคารพว่าท่านอาจารย์อวิ๋น
อะไรกัน คนผู้นี้ผอมแห้งเหมือนพวกแม่นางทั้งหลาย จูงลูกม้าตัวเล็กนั่นมาเล่นพ่อแม่ลูกหรือไร? เขามีความสามารถเก่งกาจอะไร รัชทายาทถึงให้ความสำคัญถึงเพียงนี้?
อวิ๋นซูยิ้มบาง นางสังเกตเห็นสายตาไม่พอใจนั้นจึงลอบประเมินเหลยเจิ้นอย่างแเี นางทราบว่าคนผู้นี้มีฐานะเป็ขุนพล เพราะกลิ่นอายความโเี้ที่แผ่ออกมาทั่วร่างนั้นปิดอย่างไรก็ไม่มิด ทั้งยังมีความเผด็จการบ้าอำนาจเจืออยู่ในสายตาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม นี่ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับนาง
“ฝ่าาเลือกตัวแทนที่จะลงแข่งหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”
หลายคนสบตากับ ดวงตาเหลยเจิ้นสว่างวาบ “ฝ่าา แม้จะไร้ความสามารถ แต่กระหม่อมขออาสาพ่ะย่ะค่ะ!”
“...”
แม่ทัพเวยหย่วนสร้างผลงานให้แคว้นเฉินไม่น้อย เหลยเจิ้นเองก็เป็ขุนพลที่แสดงความสามารถออกมามากมาย เพียงแต่เหลยเจิ้น...สิ่งที่ทุกคนกังวลไม่ใช่อะไร แต่เป็นิสัยของเขา
“เื่นี้ ข้ายกให้ท่านอาจารย์อวิ๋นเป็ผู้ตัดสินใจ” ตงฟางซวี่กล่าว นอกจากเหลยเจิ้นแล้วคนอื่นๆ ก็ไม่มีความคิดเห็นอื่นใด เนื่องจากพวกเขาเห็นฝีมือของอวิ๋นซูมาแล้ว อีกทั้งดูเหมือนว่านางจะเข้าใจเื่การแข่งม้ากับแคว้นอี้มากกว่าพวกเขาเสียอีก ให้นางเป็คนเลือกตัวแทนที่เหมาะสมก็เป็สิ่งสมควรที่สุดแล้ว
เหลยเจิ้นขมวดคิ้ว เหตุใดจึงให้คนผอมแห้งราวกับผู้หญิงปลอมตัวมาเป็ผู้เลือกกัน?
อวิ๋นซูเงียบไปครู่หนึ่ง “ฝ่าาสามารถเลือกคนที่ถูกใจออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ แล้วให้ผู้น้อยประเมินดูอีกครั้ง”
“แข่งเดี่ยวสามคน ข้าคิดว่าข้า เฟิ่งอวี่และหลิ่วอวิ๋นเฟิงจะลงแข่ง แต่การแข่งข้ามสิ่งกีดขวางยัง้าอีกสองคน...” ตงฟางซวี่มองเหลยเจิ้น ดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความคาดหวัง
การแข่งฝ่าสิ่งกีดขวางเป็การประลองของคนสี่คน แคว้นอี้สองคน แคว้นเฉินสองคน สิ่งที่สำคัญคือความร่วมมือกันในกลุ่ม หากมีคนใดคนหนึ่งเกิดผิดพลาดจะต้องแพ้การประลองนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่นิสัยของเหลยเจิ้นดูเหมือนจะไม่เหมาะ?
ความจริงพวกเขาต่างก็รู้ว่าทางที่ดีไม่ควรให้เขาเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ดูเหมือนเหลยเจิ้นจะ้าคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างยิ่ง เห็นแก่หน้าแม่ทัพเวยหย่วน หากปฏิเสธไปตรงๆ คงไม่ค่อยดีนัก
“เฟิ่งอวี่ น้องสี่ของเ้าเล่า?”
“ฮึ ข้าไม่ยอมทำงานร่วมกับเ้าทึ่มนั่นเด็ดขาด ตีให้ตายก็ไม่ยอม!” เฟิ่งฉีที่อยู่ไม่ไกลดูท่าทางและอ่านปากของพวกเขาอยู่ จึงพอจะคาดเดาได้ว่าพวกเขากำลังพูดเื่อะไร ร่วมมือกับเ้าทึ่มนั่นหรือ? หากชนะผลงานก็เป็ของอีกฝ่าย หากแพ้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเหลยเจิ้นจะต้องผลักความผิดมาให้เขาโดยไม่มีเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้น เฟิ่งฉีก็ไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเหลยเจิ้น
เหลยเจิ้นคิดอยากจะกล่าวว่า ตนมีสหายที่มีฝีมือการขี่ม้าไม่เลวอยู่หลายคน ทว่าเมื่อคิดอีกที ต้องรอให้ตนได้รับเลือกก่อนค่อยพูด มิฉะนั้นหากตนเองไม่ได้รับเลือก เื่ดีๆ คงตกไปอยู่กับสหายเ่าั้จนหมด เขาไม่อยากเป็คนที่ทำดีแล้วไม่ได้ดี!
“พี่สาม พวกเราไปด้วยกันเถิด!” เฟิ่งฉีเปลี่ยนความคิด จับแขนของเฟิ่งหลิง “ข้าทนดูเ้าเหลยเจิ้นนั่นไม่ได้แล้ว เื่สำคัญเช่นการแข่งม้าระหว่างสองแคว้น จะให้กลายเป็การแข่งขันโอ้อวดของเขาคนเดียวได้อย่างไร? ไป! พวกเราพี่น้องสองคนร่วมมือกัน ทำให้เขารู้เสียหน่อยว่าเื่ราวใต้หล้าหาได้ง่ายดายเช่นนั้น!”
ทว่า...
“น้องสี่ เ้ามาแล้ว?!” น้ำเสียงของเฟิ่งอวี่มีความยินดีปะปนอยู่ วันนี้ตอนเช้าเฟิ่งฉีพูดอยู่ชัดๆ ว่าเขามีธุระมาไม่ได้
เฟิ่งฉีที่้าจะกล่าวอะไรบางอย่างพลันรู้สึกถึงสายตาที่ไม่พอใจ จริงดังคาด เหลยเจิ้นในตอนนี้กำลังมองมาด้วยสายตาราวกับมองศัตรูคู่แค้น