อวิ๋นซูสะบัดแส้ วันนี้นางต้องใช้ความจริงมาทลายความเข้าใจในเื่การแข่งม้าที่ผ่านมาของพวกเขาให้ได้
“เช่นนั้นใครไปถึงจุดหมายก่อน คือผู้ชนะในวันนี้ ระหว่างทางสามารถเปลี่ยนม้าเองได้”
การแข่งม้าเป็หนึ่งในความบันเทิงที่เหล่าราชนิกุลชื่นชอบที่สุด ั้แ่จุดเริ่มต้นจนถึงเส้นชัย ล้วนมีเส้นทางและอุปสรรคไม่เหมือนกัน อวิ๋นซูในชาติที่แล้วมีฝีมือการขี่ม้าสูงส่ง เคยช่วยเซียวอี้เชินฝ่าฟันไปถึงสามคูเมืองในการแข่งม้า นางคุ้นเคยกับเคล็ดลับในการแข่งม้าเป็อย่างดี ครั้งนี้นางมีแผนจะทำให้เซียวอี้เชินลิ้มรสความพ่ายแพ้และอัปยศบนหลังม้าศึกที่ภูมิใจหนักหนาของแคว้นอี้
ที่จุดเริ่มต้น ท่าทางของบุรุษทั้งสี่ต่างแปลกประหลาด หลิ่วอวิ๋นเฟิงมักจะรู้สึกว่าอาจารย์อวิ๋นผู้นี้ดูคุ้นตามาก แต่เมื่อมองท่าทางที่คุ้นเคยกับการควบคุมม้านั้นอีกที ก็ถูกฝีมือในการขี่ม้าที่เผยออกมาให้เห็นดึงดูดความสนใจไปหมด
เพียงพริบตา ม้าเร็วสี่ตัวต่างก็พุ่งทะยานออกไป ม้าศึกของตงฟางซวี่นำอยู่หนึ่งร้อยลี้เป็อันดับแรก ตามมาด้วยเฟิ่งอวี่และหลิ่วอวิ๋นเฟิง
เฟิ่งฉีตามหลังอวิ๋นซูอยู่ตลอด เขาพบว่าสตรีผู้นี้ไม่มีความตระหนกใ กระทั่งแส้ก็ไม่สะบัด จึงรู้สึกแปลกใจว่านางควบคุมม้าอย่างไร มองกวาดสายตาไปมาจึงพบว่าบังเหียนของนางค่อนข้างพิเศษ
กำลังคิดจะมองให้ชัดๆ ฝุ่นดินก็ปลิวขึ้นมา อวิ๋นซูทะยานขึ้นไปเบื้องหน้าเขาในพริบตา
“ฮ่าๆ น้องสี่ เ้าอยู่ท้ายสุดแล้ว!” เฟิ่งอวี่ที่อยู่ห่างไปข้างหน้าหัวเราะ เฟิ่งฉีกัดฟันกรอด ขอเถอะ เขายังไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่เลย!
“ย่ะ!”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงหันมายิ้ม ทว่าชั่วพริบตาเดียว เงาร่างที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป
เพียงพริบตา อวิ๋นซูก็บุกทะยานมาถึงข้างกายเขาแล้ว
“ท่านอาจารย์อวิ๋น?!”
แปลกมาก ม้าผอมแห้งแรงน้อยของนาง เหตุใดจึงวิ่งได้เร็วเช่นนี้?
บนกิ่งไม้ไม่ไกล เฟิ่งหลิงมองม้าควบผ่านหน้าเขาไปอย่างสนอกสนใจ เขาเก็บทุกการเคลื่อนไหวของอวิ๋นซูไว้ในสายตา ม้าของนางมองไปก็เหมือนจะไม่มีอะไรผิดแปลก แต่เขากลับพบว่าความเร็วบนทางตรงของอวิ๋นซูดูไม่เปลี่ยนไปเลย แม้แต่ทางโค้งก็ยังสามารถรักษาความเร็วระดับเดียวกันไล่ตามไปข้างหน้าได้ นั่นก็เพราะการควบคุมทิศทางและการลดความเร็วของม้า
เบื้องหน้ามีรั้วอยู่สิบอัน รัชทายาทผ่านไปถึงตรงกลางแล้ว ตอนนี้อวิ๋นซูสะบัดเฟิ่งอวี่ทิ้งไปแล้ว อีกหนึ่งก้าวก็จะะโเข้าสู่อุปสรรครั้ว
ม้าผอมแห้งตัวนั้นช่างประหลาดมาก ถึงกับใช้การก้าวเท้าสบาย ข้ามผ่านรั้วทุกรั้วไปได้
“อา”
ด้านหลังมีเสียงดังแว่วขึ้น ที่แท้เป็ม้าของเฟิ่งฉีที่ไม่อาจผ่านรั้วไปได้ จึงขะมักเขม้นอยู่กับเขาตรงนั้น
“อย่าก่อเื่สิ เ้าจะทำให้ข้าแพ้แล้ว!”
อย่างไรก็ตามตอนที่กำลังหยุดชะงักกับเ้าม้า เฟิ่งฉีก็พบว่าอวิ๋นซูะโลงจากม้าที่ทางโค้งข้างหน้า แล้วขึ้นขี่ม้าอีกตัวอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวนั้นไม่อืดอาดเลยสักนิด ราวกับได้เห็นทหารที่ผ่านศึกเป็ตายมาอย่างยาวนานซ้อนทับบนร่างของนาง ราวกับว่าทุกชั่วขณะล้วนเกี่ยวพันถึงชีวิต
เขาถึงกับลืมเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ บุตรีอนุภรรยาแห่งจวนโหวผู้นี้ช่างห้าวหาญแกร่งกล้า
อวิ๋นซูที่เปลี่ยนม้าแล้วนั้นไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ นางทิ้งเฟิ่งอวี่และหลิ่วอวิ๋นเฟิงไว้เื้ัไกลลิบ
ตงฟางซวี่ได้ยินเสียงควบม้าดังมาจากข้างหลังจึงหันไปมอง พบเข้ากับใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
อวิ๋นซูในตอนนี้เปลี่ยนม้าไปสามตัวแล้ว
อุปสรรคที่ไม่เหมือนกัน นางจึงใช้ม้าต่างกันหรือ? ตงฟางซวี่ไม่เข้าใจ การเปลี่ยนม้าก็ต้องเสียเวลา หากคู่ต่อสู้ใช้เวลาที่เสียไปนี้ให้เป็ประโยชน์ ตนจะไม่เสียเปรียบหรอกหรือ?
ทว่าพริบตาต่อมา ในสายตาของเขาก็ปรากฏความตกตะลึง
อวิ๋นซูเป่านกหวีด พลันนั้นบริเวณทางโค้งข้างหน้า ม้าหลายตัวที่รออยู่ก็เงยหน้าขึ้น แล้วพากันสับเท้าทั้งสี่
ตงฟางซวี่เห็นการเคลื่อนไหวที่ไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดีของนางอย่างชัดเจน มีม้าตัวหนึ่งวิ่งทะยานออกมา วิ่งตีคู่มากับพวกเขา อวิ๋นซูค่อยๆ ยืนบนหลังม้าโดยที่ความเร็วไม่ลดลงเลย จากนั้นนางก็ะโจากม้าตัวนี้ไปยังม้าตัวใหม่อย่างน่าหวาดเสียว
“ถึงกับ...ทำเช่นนี้ได้?!”
การเคลื่อนไหวที่อันตรายเช่นนี้ สตรีที่ยังไม่ออกเรือนอย่างนางยังทำได้โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ตอนที่ตงฟางซวี่ยังไม่ได้สติกลับมา อวิ๋นซูก็ยิ้มให้ “ยอมรับเสียเถิดเพคะ”
บุรุษด้านหลังทั้งสองมองไปยังรัชทายาทที่ถูกแซงขึ้นไปอย่างตกตะลึง คนที่เสียเปรียบมาตลอดถึงกับแซงหน้าพวกเขาในสถานการณ์ที่ยากจะจินตนาการได้
อย่างไรก็ตาม ตงฟางซวี่ยังไม่ยอมแพ้ เขาคิดว่าม้าของตนไม่อาจแพ้ได้ สะบัดแส้ครั้งหนึ่ง ม้าที่ได้รับความเ็ปพลันเร่งความเร็วบึ่งทะยานไป
ข้างหน้ามองเห็นจุดหมาย อวิ๋นซูหันกลับมามอง พบเข้ากับรอยยิ้มหยิ่งทะนงของบุรุษเื้ั “เ้าชนะข้าไม่ได้”
ตอนนี้ราวกับมีอะไรบางอย่างสั่นะเือยู่ในใจ ตงฟางซวี่ไม่เคยคิดเลยว่า สตรีผู้หนึ่งจะสามารถโผทะยานได้ถึงเพียงนี้
ม้าสะบัดกีบเท้าจนฝุ่นทรายปลิวขึ้นมา เบื้องหน้ามีใบไม้กองอยู่ อวิ๋นซูพลันหน้าเปลี่ยนสี เนื่องจากดูเหมือนว่าม้าใต้ร่างนางนั้นขาหลังจะเหยียบลงไปในความว่างเปล่า นางพลันหันกลับไปมองยังกองใบไม้ที่วิ่งผ่านมาแล้ว
ลมพัดปลิวไปหลายใบ ปรากฏบ่อหลุมให้เห็นอย่างรางเลือน ทว่ารัชทายาทควบม้ามาแล้ว
“ฝ่าา ระวัง!”
อวิ๋นซูตัดสินใจดึงบังเหียนขึ้น ม้าพลันเปลี่ยนทิศทาง ส่วนตงฟางซวี่นั้นไม่ทราบชัดเจนว่านางะโอะไร เหตุใดจึงได้เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน พริบตานั้น กีบเท้าของม้าได้เหยียบลงสู่กับดักที่ถูกปิดซ่อนไว้ด้วยใบไม้ ได้ยินเสียงร้องอย่างเ็ปขึ้น ร่างกายของตงฟางซวี่ตกลงไปในกับดักพร้อมกับม้า
“ฝ่าา จับไว้!”
อวิ๋นซูสะบัดแส้ม้าในมือออกไป ขดตัวรัดข้อมือของตงฟางซวี่ไว้ได้ใน่เวลาเป็ตาย เขาใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งในการถีบตัวะโออกจากหลังม้า ลอยตัวขึ้นไปตกลงบนหลังม้าของอวิ๋นซู
หมอกเืพุ่งกระจายออกมาจากขาหน้าของม้า ทั้งสองมองม้าที่ห่างออกไปถูกกับดักหนีบขาจนขาดและตายไปด้วยความเ็ป
“ฝ่าา!” เฟิ่งอวี่และหลิ่วอวิ๋นเฟิงที่ไล่ตามมาข้างหลังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ตงฟางซวี่ใจเต้นรัว อีกเพียงนิดเดียว ตนเองอาจจะต้องตายไปพร้อมกับม้าตัวนั้นแล้ว
เขาก้มหน้าลง เห็นใบหน้าด้านข้างของอวิ๋นซูที่กำลังจ้องกับดักนั่นอยู่ บนผมของนางมีกลิ่นหอมของสมุนไพรอ่อนๆ ทำให้ตงฟางซวี่นึกถึงคนที่รักษาตนเองที่วัดเทียนฝู
ตอนนี้เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ตนเองถึงกับกอดแม่นางของบ้านอื่นไว้ในอ้อมอก มือหนึ่งยังจับแขนอันบอบบางของนางอยู่
พริบตานั้น ใบหน้าที่ซีดขาวพลันขึ้นสีแดงเรื่ออย่างน่าสงสัย ความรู้สึกตื่นเต้นอันไม่เป็ธรรมชาติไหลเข้าสู่หัวใจแทนที่ความหวาดผวาเมื่อครู่
“เหตุใดบนทางวิ่งม้าจึงมีกับดักได้?” เฟิ่งอวี่ลงจากม้า หลุมบ่อนั้นถูกปกคลุมด้วยใบไม้ ข้างในมีกับดักสัตว์อันใหญ่วางอยู่ ม้าดิ้นรนเป็เฮือกสุดท้าย
ใบหน้าของทุกคนอึมครึม นี่เป็อุบัติเหตุหรือฝีมือคนกันแน่?
บริเวณไม่ไกล เฟิ่งหลิงเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในสายตา ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ได้ อารมณ์ของเขาพลันซับซ้อน
“ฝ่าาได้รับาเ็หรือไม่?” อวิ๋นซูหันกลับมา ไม่ได้สนใจท่าทางแข็งทื่อของบุรุษที่อยู่ด้านหลัง
“ไม่ ไม่มี ครั้งนี้ลำบากคุณห...ลำบากอาจารย์อวิ๋นแล้ว”
“สั่งคนให้ค้นหาทางออกทั้งหมด สอบถามองครักษ์ว่าหลายวันนี้มีคนน่าสงสัยหรือไม่” หลิ่วอวิ๋นเฟิงกล่าวสั่งองครักษ์ที่อยู่บริเวณเส้นชัย
หัวใจของเฟิ่งหลิงเป็กังวลอย่างมาก นางไม่รู้หรือว่าเมื่อครู่นี้การกระทำของนางอันตรายเพียงใด หากตกลงไปในกับดักกับรัชทายาท ผลลัพธ์ที่ตามมามิอาจคาดเดาได้
ขณะที่กำลังกังวลอยู่นั้น เฟิ่งหลิงพบว่ารัชทายาทกำลังใช้สายตาลึกล้ำมองไปยังอวิ๋นซู ทว่าสตรีน้อยนางนั้นสนใจเพียงตรวจสอบกับดักจึงไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกคนหนึ่งที่สังเกตเห็น
เฟิ่งฉีจูงม้าที่ไม่ค่อยเชื่อฟังเดินมาจากเส้นชัย เขามองรัชทายาทบนหลังม้า ที่กำลังมองไปยังอวิ๋นซูอย่างตกตะลึง ในใจส่งเสียงดังโครมคราม คงจะไม่ใช่ว่า...
เขาบอกตั้งนานแล้วว่าให้พี่สามมาด้วยกัน แต่แบบนี้ก็ดี หากรัชทายาทมีใจให้คุณหนูหกเข้าจริงๆ ก็ต้องมาดูกันว่าใครเร็วกว่า
อุบัติเหตุในครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับต่อความประหลาดใจที่อวิ๋นซูนำพามาสู่พวกเขา เพราะเื่ในวันนี้สนามฝึกม้าของราชวงศ์จึงต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดทั้งวัน
ระหว่างทางกลับจวน หลิ่วอวิ๋นเฟิงติดตามอยู่ข้างกายรัชทายาทตงฟางซวี่ ดูเหมือนรัชทายาทจะตกอยู่ในห้วงความคิด
“ฝ่าา กำลังคิดถึงเื่กับดักวันนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เสียงนี้ทำให้รัชทายาทได้สติกลับมา ความจริงเมื่อครู่เขาย้อนนึกถึงรสชาติในตอนที่ถูกอวิ๋นซูควบม้านำ ความรู้สึกอันน่าตื่นเต้นสั่นสะท้าน
“...ใช่”
“พันธมิตรสองแคว้น เชื่อว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีไม่น้อยคอยจ้องตะครุบเหยื่อ หลายวันนี้ขอพระองค์ระมัดระวังให้มาก หากเื่นี้เป็เพราะฝีมือคน ครั้งนี้ล้มเหลว ไม่แน่ว่าพวกมันคงหาโอกาสครั้งต่อไปได้อีกแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
เมื่อเห็นใบหน้าของรัชทายาทที่ราวกับมีเื่ที่ยังคิดไม่ตก เดิมทีหลิ่วอวิ๋นเฟิงยังอยากจะพูดเื่อวิ๋นฮว๋า ทว่าวันนี้ดูเหมือนจะไม่เหมาะ
ภายในจวนชางติ้งโหว
“คุณชายสามเล่า? ไม่อยู่ในห้องหรือ?”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองข้ารับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู เหลือบมองไปตามช่องอย่างสงสัย
แย่แล้ว คุณชายออกไปยังไม่กลับมา หน้าผากของข้ารับใช้ผู้นั้นมีเหงื่อเย็นซึมออกมา ทว่าใบหน้ากลับดูสงบเยือกเย็น “ตอบฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ คุณชายสามนอนพักแล้วขอรับ คงจะยังไม่ตื่น”
นางเงยหน้ามองสีท้องฟ้า นอนนานถึงเพียงนี้เชียว? “คุณชายสามไม่สบายหรือ?” หลายวันนั้นที่วัดเทียนฝู นางสังเกตได้ว่าหลานชายของตนมีชีวิตชีวาขึ้นมากแล้วแท้ๆ
“...ไม่ ไม่ขอรับ” หากกล่าวว่าใช่ ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องบุกเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรเป็แน่ ถึงตอนนั้นเมื่อเห็นว่าห้องอันว่างเปล่า ตนเองจะต้องถูกตำหนิอย่างแน่นอน
“เ้าหลบไปเถิด ข้ามีเื่จะคุยกับคุณชายสาม” ฮูหยินผู้เฒ่าปรับอารมณ์ให้อ่อนลง ข้ารับใช้ผู้นั้นลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงทำได้เพียงเบี่ยงกายออกอย่างจนใจ
นางผลักประตูเดินเข้าไปเสียงเบา ข้ารับใช้ตามหลังไปติดๆ การก้าวเดินของฮูหยินผู้เฒ่ามีความระมัดระวังอยู่ในที ได้ยินเสียงไออันอ่อนแรงดังแว่วมาจากข้างหน้า “แค่กๆๆ ...”
“หลิงเอ๋อร์ เ้าตื่นแล้ว?”
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบเดินเข้าไป บุรุษบนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ขยับตัวคล้ายจะลุกขึ้นนั่ง “ท่านย่าขอรับ”
ข้ารับใช้พลันโล่งอก หันไปมองยังหน้าตาที่เปิดทิ้งไว้ อันตรายจริง คุณชายสามกลับมาทันเฉียดฉิวเกินไปแล้ว!
“อย่าลุกเลย เ้านอนเถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลานชายสุดที่รักของตนบนเตียงอย่างเ็ปใจ นางช่วยเขาขยับผ้าห่มเล็กน้อย
หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเชิญหมอมามากเพียงไร อาการป่วยของหลิงเอ๋อร์ก็ไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้นเลย ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหดหู่ใจ ยังดีที่อาการไม่แย่ลง เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้มาโดยตลอด
“รอพ่อของเ้ากลับมาก่อน ย่าจะจัดงานแต่งงานให้เ้า คุณหนูรองจวนชางหรงโหวเ้าเคยพบแล้วกระมัง เ้าคิดว่านางเป็อย่างไรบ้าง?”
“...” ในสมองของเฟิ่งหลิงย่อมปรากฏใบหน้าเล็กๆ ของหลิ่วอวิ๋นซูเท่านั้น เมื่อคิดถึงสายตาที่รัชทายาทมองนางวันนี้ ความรู้สึกร้อนรนปกคลุมไปทั่วทั้งใจ จึงเงียบไปชั่วขณะ
“ข้าคิดว่า คุณหนูรองผู้นั้นดีมากขอรับ ควรจะเป็แม่และภรรยาที่ดีได้” คำพูดนี้จริงกี่ส่วนเท็จกี่ส่วนไม่อาจรู้ได้ สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าสนใจก็คือ หลังจากผ่านพิธีชงสี่ไป อาการป่วยของหลายชายจะดีขึ้นหรือไม่
แม่และภรรยาที่ดี? ประโยคนี้หากให้หลิงเอ๋อร์มาได้ยินเกรงว่าจะมีเหตุการณ์คว่ำโต๊ะไล่คนเป็แน่ เฟิ่งหลิงแย้มยิ้มน้อยๆ ราวกับตัดสินใจได้แล้ว
“ท่านย่า หลาน...มีคนในใจแล้วขอรับ”