อวิ๋นซีจดจ้องชายหนุ่มเบื้องหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน “ในยามนี้ท่านก็ตรัสเช่นนี้ได้ แต่เมื่อใดที่ท่านกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว ก็คงจะไม่ตรัสเช่นนี้อีกแล้วล่ะเพคะ” หากสามารถเชื่อในคำหวานของบุรุษได้ เช่นนั้นโลกใบนี้ก็คงไม่มีสตรีที่ช้ำใจเพราะความรักอยู่มากมายถึงเพียงนี้หรอก
“คาดว่าชาตินี้ข้าคงไม่ได้กลับไปยังสถานที่ฟุ้งเฟ้อและมัวเมาเช่นนั้นอีกแล้ว” เขาพูดเรียบก่อนจะมองดูคนข้างกาย นี่ถือเป็ครั้งแรกที่จู่ๆ เขาก็นึกอยากเปิดอกพูดคุยถึงสิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมด
“บนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็ไปไม่ได้หรอกเพคะ เช่นว่า...การเปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้กลายเป็พื้นที่สีเขียว ขอเพียงตัดสินใจลงมือทำ หม่อมฉันเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดที่พระองค์จะทรงทำไม่สำเร็จหรอกเพคะ แล้วก็บางที...ไม่แน่ว่า อีกหลายพันปีให้หลังอาจมีคนขึ้นไปปรากฏอยู่บนดวงจันทร์ก็เป็ได้เช่นกันนะเพคะ” นางพอจะเดาได้ว่าเขากำลังกังวลเื่อะไรอยู่ ชีวิตนี้ของท่านอ๋องจะมีอะไรได้อีก ถ้าไม่ใช่กังวลว่าตนจะไม่สามารถเปลี่ยนดินแดนทุรกันดารอย่างหานโจวให้กลายเป็สถานที่อันหรูหราได้
“พื้นที่รกร้าง เปลี่ยนเป็พื้นที่สีเขียวหรือ? ” เขาพึมพำเสียงเบา เป็ไปได้หรือ? พื้นที่รกร้างก็คือพื้นที่รกร้างอยู่วันยังค่ำ
อวิ๋นซีพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปประชิดข้างกายเขา จากนั้นจึงพูดอย่างจริงจัง “ใช่แล้วเพคะ การจะเปลี่ยนหานโจวของเราที่ยากจนข้นแค้นอย่างในปัจจุบัน มิใช่ว่าจะเป็เื่ที่ทำไม่ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย รวมถึงกำลังคนและกำลังทรัพย์”
เมื่อจวินเหยียนได้ยิน เขาก็หันมองนางทันที แล้วจึงเลิกคิ้วถาม “เป็ไปได้จริงหรือ? ”
“เื่นั้นมันแน่นอนอยู่แล้วเพคะ ถึงแม้ว่าสภาพอากาศของหานโจวจะไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกทำเสบียงอาหาร ทว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นหรือเพคะว่าหานโจวเองก็มีสมุนไพรที่สถานที่อื่นหรือเขตอื่นยังไม่มี? หานโจวนี้มีพื้นที่กว้างขวาง สภาพอากาศที่เหมาะสม สภาพพื้นที่และผืนดินที่มีความซับซ้อนหลากหลาย ยิ่งกว่านั้น ที่นี่มีทั้งฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว เป็สี่ฤดูที่ถูกจัดแบ่งอย่างชัดเจน หากว่าเราสามารถอาศัยประโยชน์จากสภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศที่มีอยู่อย่างเหมาะสมก็จะช่วยเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ของหานโจวที่เป็อยู่ในตอนนี้ได้ และหากเราทำสำเร็จ ไม่แน่ว่าหลายปีต่อจากนี้ ที่นี่อาจกลายเป็เมืองที่ร่ำรวยที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงเหนือก็ได้เพคะ”
เมื่อจวินเหยียนฟังคำแนะของนางจนจบก็อดให้นางนั่งลงพูดต่อไม่ได้ แต่อวิ๋นซีกลับส่ายหน้า “พระองค์มีแผนที่ของหานโจวอยู่ที่นี่หรือไม่เพคะ? ”
“มี” ทันทีที่พูดจบ เขาก็เดินไปหยิบแผนที่ภูมิประเทศของหานโจวมาวางลงบนโต๊ะด้วยตัวเอง “นี่คือแผนที่ภูมิประเทศของหานโจวที่ละเอียดที่สุด”
สิ่งนี้นับเป็ผลงานชิ้นเอกที่เขาใช้เวลาร่วมสามปีถึงจะทำออกมาได้สำเร็จ แต่ว่าน่าเสียดาย เขาขบคิดมาแล้วหลากหลายวิธี ต่อให้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งได้ แต่จะให้หานโจวกลายเป็เมืองที่ร่ำรวยที่สุดนั้นยังถือเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้อยู่ดี
อวิ๋นซีก้าวไปด้านหน้าเพื่อพิจารณาแผนที่บนโต๊ะ จากนั้นก็เสมองมาที่ชายหนุ่มอีกครั้ง แผนที่ภูมิประเทศนี้ถูกวาดไว้อย่างละเอียดมาก ละเอียดถึงขนาดที่ยังมีปรากฏกระทั่งภาพวาดของหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งถือว่านำมาสู้กับแผนที่ในยุคปัจจุบันได้อย่างสูสีเลยทีเดียว
“พระองค์ลองทอดพระเนตรตรงนี้สิเพคะ” อวิ๋นซีชี้นิ้วลงไปบนสถานที่หนึ่งที่อยู่บนแผนที่ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นมีชื่อว่าเมืองอู้ จากนั้นจึงอธิบายเสริม “ดินของเมืองอู้มีความร่วนอยู่เล็กน้อย หากนำมาใช้เพาะปลูกข้าวสาลี ข้าวโพด รวมถึงข้าว แน่นอนว่าคงให้ผลผลิตได้ไม่มากนัก อีกทั้ง หากต้องเผชิญหน้ากับภัยแล้งก็ไม่แน่ว่า แม้แต่เสบียงสำหรับส่งส่วยก็ยังไม่เพียงพอ ทว่า พวกเราสามารถเปลี่ยนจากการปลูกข้าวและข้าวโพดมาเป็การปลูกมันเทศและมันฝรั่งแทนก็ได้นี่เพคะ”
จวินเหยียนได้ยินก็ชะโงกหน้าไปดู ชั่วขณะนั้นในสมองก็ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเมืองอู้ เมืองอู้เป็หนึ่งในเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของหานโจว ทว่าทุกปีผลผลิตจากที่นั่นหาได้มีมากมาย และหากจะให้หันมาปลูกมันเทศและมันฝรั่งทดแทนจริงๆ ...เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามต่อทันที “แต่ ตามกฎแล้วเราจะต้องส่งส่วยเป็ข้าวโพด ข้าวสาลี และข้าวเท่านั้น ส่วนมันเทศและมันฝรั่ง หากจะเก็บไว้กินเองก็คงพอได้”
“แล้วใครว่าหม่อมฉันจะเก็บไว้กินเองเล่าเพคะ หากเป็ตัวหม่อมฉัน สิ่งเ่าั้จะขายออกไปไม่ได้เชียวหรือ? ” อวิ๋นซีมองดูจวินเหยียน ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า ในสายตาของผู้คนมากมาย มันเทศกับมันฝรั่ง ของพื้นๆ เช่นนี้มีแต่ชาวบ้านชนชั้นล่างเท่านั้นที่จะกิน ส่วนพวกคนมีตระกูลโดยทั่วไปแล้วจะไม่เลือกกินมันเทศกับมันฝรั่ง มิน่าล่ะเขาถึงได้เป็กังวลว่า หากจะปลูกมันเทศและมันฝรั่งแล้ว ชาวบ้านชาวเมืองก็คงจะไม่มีพวกข้าวสาลีไว้สำหรับส่งส่วย
“ขายออกไปหรือ? ” ยิ่งนางอธิบาย เขายิ่งไม่เข้าใจ หรือว่านางไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันเทศและมันฝรั่งเป็อาหารที่มีแต่คนจนเท่านั้นที่จะกิน แล้วคนจนจะมีเงินสักเท่าไรเพื่อมาซื้อมันเทศกับมันฝรั่งนี้ เพราะหากพวกเขาอยากจะกินก็คงเลือกที่จะปลูกเองกินเองมากกว่าการซื้อมากิน
อวิ๋นซีแย้มยิ้ม “แน่นอนเพคะ คนทั่วไปมักคิดว่ามันเทศเป็เพียงอาหารพื้นๆ แต่กลับไม่รู้ว่าประโยชน์ของมันเทศนั้นมีมากมายยิ่งนัก ทั้งช่วยในเื่การขับพิษ ความดันโลหิต ชะลอวัย และปกป้องหัวใจ แท้จริงแล้วเ้ามันเทศนี้นับได้ว่าเป็ของล้ำค่าทีเดียว ทว่าจะมีก็แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์หรือนายหญิงคุณชายเยี่ยงพวกท่านนั่นแหละที่เห็นของล้ำค่าเหล่านี้เป็เพียงหญ้าที่ไร้ราคา”
“อีกทั้ง...มันเทศยังมีสารอาหารที่สูงมาก ท่านสามารถให้คนที่ห้องเครื่องไปซื้อมาต้มให้จวิ้นจู่น้อยเสวยได้ กรรมวิธีการทำมันเทศนั้นมีอยู่หลากหลาย และสามารถทำออกมาได้หลากหลายรูปแบบทั้งคาวหวาน เช่น ขนมปังแข็งมันเทศ โรตีมันเทศ บัวลอยมันเทศ หรือโจ๊กมันเทศ”
จวินเหยียนมองดูนางพูดจาอย่างออกรสออกชาติ ทั้งยังได้ฟังแล้วก็เกิดความกระตือรือร้นอยากจะลองชิมเสียเดี๋ยวนี้ ขณะเดียวกันอวิ๋นซีเองก็ได้มองดูท่าทางของเขาและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “วิธีการทำมันเทศที่หม่อมฉันพูดไปยังสามารถบอกแก่ชาวบ้านให้นำไปทำเป็อาหารเพื่อประทังชีพหรือจะนำไปขายต่อให้คนอื่นก็ดี ไม่ว่าใครที่ได้กินเข้าไปแล้วล้วนเป็ต้องชอบกันทั้งนั้น โดยเฉพาะนักสัญจรที่เดินทางผ่านไปมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชอบเป็แน่ เพราะวิธีทำนั้นง่ายมาก ทั้งยังนำติดตัวไปไหนมาไหนได้ง่ายๆ และเมื่อกินเข้าไปแล้วก็ยังช่วยให้อิ่มท้องอีก สิ่งนี้จะต้องเป็ตัวเลือกแรกสำหรับคนที่ต้องเร่งรีบเดินทางอย่างแน่นอน ดังนั้น ขอแค่มีที่ปล่อยสินค้า แล้วเราจะยังต้องกลัวว่าชาวบ้านจะส่งส่วยไม่ไหวอีกหรือ? เรายังจะต้องกังวลว่าชาวบ้านจะอดอยาก หรือคนเมืองอู้จะไม่รวยอยู่อีกหรือ? ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จวินเหยียนก็นับว่าเข้าใจแล้ว ปัญหาที่เคยวนเวียนอยู่ในหัวของเขามานาน ในยามนี้กลับถูกอวิ๋นซีช่วยคลี่คลายราวกับเป็เื่ง่ายที่จะแก้ไข และหากสิ่งที่นางพูดมานี้เป็ไปได้จริงๆ เช่นนั้นปัญหาของเมืองอู้ก็นับว่าได้แก้ไขไปแล้วครึ่งหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็พอมองเห็นความหวังแล้ว ไม่เหมือนดั่งกาลก่อน
“เสี่ยวซีซี ข้าเพิ่งค้นพบว่าตัวเ้าเป็ดั่งสมบัติล้ำค่าที่มีชีวิตจริงๆ ” จวินเหยียนจ้องมองนางด้วยสายตาที่ทอประกายมุ่งมั่นว่าต้องได้นางมาเป็สตรีของตน เพราะหากสตรีเช่นนี้ต้องกลายไปเป็ของผู้อื่น เขาคงต้องเสียใจจนตายแน่
“จริงๆ แล้ว การที่ท่านอ๋องคิดจะเปลี่ยนแปลงหานโจวนั้นไม่ใช่เื่ยาก” นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะใช้มือตนค้ำโต๊ะ จากนั้นก็พูดต่อ “พวกเราสามารถร่วมมือกันได้ หม่อมฉันจะช่วยพระองค์เปลี่ยนแปลงหานโจว”
จวินเหยียนได้ยินก็หัวเราะหึหึ เขามองดูนางก่อนจะถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เช่นนั้นตัวเ้าเล่า? เ้า้าสิ่งใด? ”
อวิ๋นซีได้ยินแล้วก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “หม่อมฉันเพียง้าไม่ให้มีผู้ใดมารังแก”
เขาคิดไม่ถึงว่า นางจะพูดจาอะไรเช่นนี้ออกมา แท้จริงแล้วนางเพียง้าไม่ให้มีใครมารังแกงั้นหรือ ทว่าในตอนนั้นเองเขาก็คลับคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จู่ๆ จึงได้หัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน “แน่นอนว่าย่อมได้ อีกทั้งเ้ายังเป็ผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตข้าไว้ พูดมาตามตรงเลยเถิด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังต้องตอบแทนเ้า ว่ามาเถิด นอกจากจะไม่้าให้ใครมารังแกแล้ว เ้ายัง้าสิ่งใดอีก? ”
“ถ้าเช่นนั้น หากหม่อมฉันจะบอกว่า ้าเป็สตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในหานโจวเล่า? ” เช่นว่า นาง้าทำให้ลู่เหวินเจิ้นตาย จากนั้นก็กลายเป็นายอำเภอหญิงของหานโจว ทว่าการนั้นจะสำเร็จได้ บุรุษตรงหน้าเพียงต้องยอมลืมตาข้างหนึ่ง ปิดตาข้างหนึ่ง หรือจะให้นางแต่งกายเป็บุรุษขึ้นรั้งตำแหน่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
สำหรับหานโจวนั้น เป็เพราะหานอ๋องทำให้ฮ่องเต้รังเกียจรังงอนอยู่นานแล้ว แต่หากเขายอมส่งฎีกาไปขอตำแหน่งนี้ให้นาง ความสำเร็จนี้ย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม
ทางด้านจวินเหยียนในยามนี้มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แม้อวิ๋นซีจะให้คำตอบไปแล้ว แต่เขากลับเอาแต่จ้องมองนาง แล้วถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า้าเป็สตรีที่มีอำนาจที่สุดในหานโจวจริงหรือไม่
อวิ๋นซีพยักหน้า “หากเป็ไปได้ แน่นอนว่านั่นจะเป็เื่ที่ดีมาก ใครบ้างเล่าจะไม่อยากเป็ผู้สูงส่งที่สามารถกุมชะตาชีวิตของผู้อื่นได้ หรือว่าท่านอ๋องไม่้า? ”
คำว่า ‘หรือว่าท่านอ๋องไม่้า’ ที่นางพูดนั้น หมายถึง การได้อยู่บนบัลลังก์ัในตำหนักทองคำในเมืองหลวงที่ห่างไกลออกไปนับหมื่นลี้
สำหรับเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย เมื่อเกิดมาแล้วก็ล้วนถูกกำหนดไว้ว่าต้องยึดบัลลังก์ันั่นเป็เป้าหมาย ดังนั้น นางจึงเชื่อว่าบุรุษตรงหน้านี้ก็คงคิดไม่ต่างกัน เพราะแค่ดูจากที่เขาปิดบังนิสัยที่แท้จริง ปิดบังฐานะ และแอบซุ่มทำเื่บางอย่างที่ไม่อาจให้ใครรับรู้ได้ นางก็พอจะเดาได้แล้ว