21
เป็คืนที่สองแล้วที่เจแปนกับพัตเตอร์มานอนค้างที่บ้านแม่ด้วยกัน...
หลังจัดการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จจนทั้งคู่อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว เจแปนที่เริ่มสร่างเมาก็หันหน้าเข้าหาพัตเตอร์ เมื่อเขามีคำถามมากมายที่อยากจะได้คำตอบจากอีกคน
“จะถามอะไรอีกล่ะ” ทันทีที่สบตากัน พัตเตอร์ก็เป็ฝ่ายถามขึ้นก่อนอย่างรู้ทัน
“รู้ทันกันอีกนะ” เจแปนว่า จากนั้นเขาก็เงียบไปพักหนึ่ง เพื่อเรียบเรียงคำพูดในใจแล้วค่อยพูดมันออกมา “เราอยากรู้จักนายมากกว่านี้”
“แล้วแปนยังอยากรู้อะไรอีก เพราะเราว่าเราก็บอกไปหมดแล้วนะ”
“ยังไม่หมดสักหน่อย” เจแปนพูดแย้งทันที และนั่นก็ทำให้พัตเตอร์เป็ฝ่ายเงียบไปบ้าง คล้ายกับเ้าตัวกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างถึงค่อยถามกลับมา
“ก็ได้ แต่เรามีข้อแลกเปลี่ยนนะ”
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไรล่ะ” เพียงแค่รู้ว่าอีกคนมีข้อแม้ เจแปนก็ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันโดยพลัน
“หนึ่งคำถามแลกกับเราลูบแก้มแปนหนึ่งที” พัตเตอร์บอกข้อแลกเปลี่ยนของตัวเอง ขณะที่เจแปนก็ยังคงนอนชักสีหน้าเช่นเดิม
“...”
“ว่ายังไงล่ะ ตกลงหรือเปล่า?” อีกฝ่ายถามต่อ เมื่อเห็นว่าเจแปนเสียเวลาคิดนานเกินไป
“ก็ได้ ถ้าแค่ลูบแก้มเท่านั้นงั้นก็เอาตามนี้แหละ แต่นายห้ามทำมากกว่านี้นะ” เพราะเห็นว่าการลูบแก้มมันไม่ใช่เื่ที่เสียหายอะไร เจแปนจึงพยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไร โดยเขาก็ไม่ลืมที่จะพูดย้ำข้อตกลงระหว่างทั้งคู่ด้วย
“อือ เราไม่ทำมากกว่านี้หรอก ถ้าแปนไม่ขอเอง” พัตเตอร์ยืนยันกลับมา “เอาล่ะ แปนอยากรู้อะไรอีกล่ะ”
“ข้อแรกเลยนะ นายเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย?”
“...”
“รายรับของมนุษย์น่ะมันมีที่มาที่ไปนะ แต่ดอพเพลแกงเกอร์อย่างนายมีรายรับมาจากไหนกัน ในเมื่อไม่ได้ทำงานเหมือนเ้าของร่าง ก็แค่ใช้ชีวิตเหมือนเ้าของร่างไม่ใช่เหรอ” เจแปนถามสิ่งที่คาใจออกไป เนื่องจากเขาสังเกตมาได้สักพักแล้วว่าพัตเตอร์มีเงินใช้จ่ายเหมือนคนทั่ว ๆ ไปเลย
“จะให้เราลูบแก้มก่อนตอบหรือจะให้ตอบก่อนลูบแก้ม” พัตเตอร์ถามกลับมา
“ตอบก่อนลูบแก้ม เผื่อนายเล่นตุกติกตอบไม่ตรงคำถามเรา” เจแปนบอกกลับไป
“ก็ได้” พัตเตอร์พยักหน้ารับและเงียบไปพักหนึ่ง ถึงค่อยให้คำตอบกลับมา “เงินที่เราใช้จ่ายน่ะ มันไม่มีอยู่จริงหรอก มันเป็เงินล่องหน”
“หมายความว่าไง”
“ก็เวลาที่เราใช้เงินนั้นแปนกับแม่ค้าจะเห็นว่ามันเป็เงินจริง ๆ แต่เมื่อไรก็ตามที่เราเดินออกมาจากบริเวณนั้น เงินส่วนที่ได้จากเรามันก็จะหายไปยังไงล่ะ” พัตเตอร์ขยายความต่อ ซึ่งมันก็ทำให้เจแปนเริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้นแล้ว
“แต่แบบนั้นมันไม่ดีเลยนะ มันไม่ต่างจากโกงเลย” เจแปนท้วง
“แล้วจะให้เราทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเรายังไม่ได้ทำงานนี่นา”
“...”
“ไว้ถ้าพอร์ตเรียนจบเมื่อไร ถึงคราวนั้น...เราเองก็จะมีเงินใช้จ่ายจริง ๆ เสียที” พูดจบ พัตเตอร์ก็ยื่นมือมาตรงหน้าเจแปน ทำเอาคนที่กำลังนอนคิดตามคำพูดอีกฝ่ายถึงกับผงะไปเล็กน้อย
“ก็ตามข้อตกลงไง” พัตเตอร์ว่า หลังเห็นเจแปนถอยหนีััของเ้าตัว
“อ—อ๋อ ลืมไป” เจแปนพูดแล้วค่อยขยับตัวกลับไปนอนเช่นเดิม ยอมปล่อยให้เงาของคนรักััแก้มของตัวเองอย่างแ่เบา ตามที่อีกฝ่ายปรารถนา
ระหว่างที่ปล่อยให้พัตเตอร์ััตรงบริเวณที่อนุญาต เจแปนก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเป็หนที่ร้อย ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงชอบจ้องมองดวงตาของพัตเตอร์นัก
อาจเพราะแววตาที่พัตเตอร์ใช้จ้องมองเขา มันเป็สิ่งเดียวที่แตกต่างจากพอร์ตแหละมั้ง มันจึงดึงดูดความสนใจของเขาได้มากกว่าส่วนอื่น
“จะว่าไปแล้ว เราเองก็มีเื่ที่อยากถามแปนเหมือนกันนะ” ท่ามกลางความเงียบระหว่างทั้งคู่ เสียงของพัตเตอร์ก็ดังขึ้น
“ถามมาสิ แต่ว่าเรามีข้อแลกเปลี่ยนเหมือนกันนะ” เจแปนบอกกลับไปเสียงนิ่ง และนั่นก็ทำให้พัตเตอร์หลุดยิ้มออกมาจาง ๆ แล้วค่อยถามกลับมา
“ได้สิ อยากแลกกับอะไรล่ะ” อีกฝ่ายถาม
“ก็แลกกับคำถามของเราไง แลกกันแบบที่ไม่ต้องมาจับแก้มน่ะ”
“ไม่ชอบให้เราจับแก้มเหรอ”
“ไม่ได้ไม่ชอบ แต่เราก็แค่คิดว่ามันคงดีกว่านี้ถ้าไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวกันน่ะ” เจแปนตอบกลับไป โดยเขาก็หวังเป็อย่างยิ่งว่าพัตเตอร์จะรู้เหตุผลว่าอะไรถึงทำให้เจแปนหลีกเลี่ยงการถูกััจากอีกฝ่าย
“โอเค งั้นเอาตามนั้นก็ได้” พัตเตอร์ตอบรับข้อเสนอนั้น ก่อนที่เ้าตัวจะเป็ฝ่ายถามเจแปน “แปนเคยคิดอยากเลิกกับพอร์ตบ้างไหม”
เมื่อได้รับคำถามจากอีกคน เจแปนก็เงียบไปครู่หนึ่ง หลังเขาไม่นึกว่าพัตเตอร์จะถามเื่นี้ แต่ในเวลาเดียวกันเจแปนก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจที่จะตอบเช่นกัน
“คิดสิ ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน เราก็คิดอยู่ตลอดนั่นแหละว่าควรเลิกดีไหม ปล่อยตัวให้เป็อิสระต่อกันมันอาจจะดีกว่าทนคบกันในฐานะคนรักก็ได้” เจแปนตอบด้วยความซื่อสัตย์ พลางหวนนึกไปถึง่ที่เขากับพอร์ตไม่เข้าใจกันมาก ๆ เจอหน้ากันทีไรก็ทะเลาะกันอยู่ทุกครั้งไป
“...”
“คนรอบตัวเราน่ะไม่มีใครชอบพอร์ตเลยสักคน ทุกคนต่างบอกเป็เสียงเดียวกันหมดว่าให้เราเลิกน่าจะดีกว่า แต่ที่ตอนนั้นเราไม่ยอมเลิกก็เพราะเราเสียดายเวลา คบกันมาตั้งหลายปีแน่ะ” เขาเอ่ย ขณะที่กำลังระบายยิ้มออกมาด้วย
“เพราะแค่เสียดายเวลางั้นเหรอ ก็เลยไม่เลิก”
“ไม่ นั่นมันเป็แค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น” เจแปนเอ่ยและพูดต่อ “่ที่คบกันแรก ๆ น่ะพอร์ตเป็คนเดียวที่ไม่เคยทำให้เราเสียความรู้สึก นายเองก็เคยบอกเราไม่ใช่เหรอว่านายรู้จักเราพร้อมกับพอร์ต งั้นก็น่าจะรู้นี่ว่า่ที่เรากับพอร์ตได้รู้จักกันแรก ๆ เราประทับใจพอร์ตมากแค่ไหนและพอร์ตก็ให้เกียรติเราแค่ไหน”
ย้อนกลับไป่ที่เจแปนย้ายเข้ามาเรียนชั้นมัธยมปลายที่กรุงเทพใหม่ ๆ แม้เขาจะได้ย้ายมาเรียนในเมืองหลวงที่เจริญกว่าต่างจังหวัดมากมาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้คนจะเจริญตามและชีวิตของเขาก็ใช่ว่าจะราบรื่นไปร้อยเปอร์เซ็นต์
อาจเพราะเจแปนแสดงความเป็ตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่ามีความสนใจทางด้านความสวยงาม เขาชอบเล่นหมากเก็บ และะโยางกับเพื่อนผู้หญิงเป็ประจำ นั่นจึงทำให้เขามักจะถูกเพื่อนผู้ชายกลั่นแกล้งทางวาจาและทางพละกำลังอยู่เสมอ เนื่องจากพวกนั้นรู้ดีว่าเจแปนไม่สู้คน
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เจแปนไม่สู้คนก็เพราะเขาไม่อยากให้แม่มาเหนื่อยกับเื่นี้อีก แค่เธอเหนื่อยกับพ่อมันก็เกินพอแล้ว เจแปนจึงเลือกที่จะกัดฟันเก็บเื่นี้มาโดยตลอด
เขาไม่อยากมีเื่กับใคร ไม่อยากให้แม่มารับรู้ปัญหาภายในโรงเรียนเพิ่ม ดังนั้นอะไรที่เจแปนพอจะหลีกเลี่ยงหรืออดทนได้ เขาก็พยายามทำมาตลอด ซึ่งก็มีบ้างที่เจแปนแอบไปร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ
ราวกับเขากำลังอยู่ในละครเื่หนึ่ง ทว่านี่มันคือเื่จริง
เจแปนเคยคิดด้วยซ้ำว่ามันคงจะดีกว่านี้หากเขาหายไปเลย แต่ท่ามกลางความคิดเ่าั้ พอร์ตที่ได้คุยกันบ้างตอนที่เกิดอุบัติเหตุคราวนั้นก็เข้ามาในชีวิตพอดี
ใน่ที่จิตใจของเจแปนมีแต่าแไม่สามารถระบายให้ใครฟังได้ ก็มีแค่พอร์ตเท่านั้นที่คอยรับฟัง พยายามอ้าแขนปกป้องเขาและปรามเพื่อนของตัวเองเสมอ ยามที่คนพวกนั้นจะมาหาเื่เจแปน
เพราะพอร์ตเคยแสนดีกับเขาถึงขนาดนั้น เจแปนจึงเกิดความลังเลทุกครั้งเวลาที่เขาคิดจะปล่อยมืออีกฝ่าย แม้ว่าพอร์ตคนปัจจุบันจะแตกต่างจากพอร์ต่มัธยมมากก็ตาม แถมเจแปนก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรถึงทำให้คนรักของเขาเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้
“ถ้าพอร์ตไม่เข้าหาเราตอนนั้น บางทีเราอาจจะมีชีวิตถึงแค่ตอนอายุสิบเจ็ดก็ได้นะ” เจแปนพูดแล้วรีบเปลี่ยนเื่ เมื่อเขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้พัตเตอร์เห็นนานกว่านี้ ประกอบกับเหตุการณ์พวกนั้นมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว ฉะนั้นมันคงเป็เื่ดี ถ้าเจแปนไม่ขุดคุ้ยมันขึ้นมาจนทำให้ตัวเองเศร้าอีก
“เอาล่ะ ได้เวลาที่เราจะถามนายกลับบ้างแล้ว”
“อือ ถามมาสิ”
“นายมองภาพสุดท้ายของตัวเองไว้ว่ายังไง”
“...”
“นายเคยบอกว่าจะไม่มีทางกลับไปเป็เงาของพอร์ตแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นนายมองภาพสุดท้ายของตัวเองไว้แบบไหนเหรอ จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือจะทำยังไงต่อ”
“ถามยากจังแฮะ”
“ยากตรงไหนกัน เราว่านายน่าจะคิดอะไร ๆ ไว้อยู่แล้วนะ” เจแปนเอ่ย เนื่องจากเท่าที่เขาได้รู้จักตัวตนของพัตเตอร์เท่าที่อีกฝ่ายอยากให้รู้ เจแปนก็รู้สึกว่าพัตเตอร์เป็จอมวางแผนอยู่พอสมควร เพราะงั้นมันจึงเป็ไปไม่ได้อยู่แล้วหากอีกฝ่ายจะไม่วางแผนชีวิตของตัวเองเอาไว้ หลังจากที่เ้าตัวตัดสินใจก้าวออกมาจากการเป็เงาพอร์ต
พัตเตอร์ต้องตอบคำถามเขาได้อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากตอบ
“ถ้านายไม่สะดวกตอบเื่นี้ก็ไม่เป็ไรนะ เดี๋ยวเปลี่ยนคำถามใหม่ก็ได้” เพราะเห็นพัตเตอร์เงียบนานเกินไป เจแปนจึงพูดอย่างนั้น อีกทั้งเขาเองก็กลัวว่าคำถามรอบถัดไป อีกฝ่ายจะถามอะไรยาก ๆ ที่เจแปนไม่สามารถตอบได้ เพื่อเป็การเอาคืน
“ตอบได้ แต่เราขอเวลาเรียบเรียงคำพูดก่อน” พัตเตอร์เอ่ยแล้วเงียบไปอีกครั้ง จากนั้นอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจแปนพร้อมบอกคำตอบของตัวเอง “อนาคตเราขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแปน”
“แล้วทำไมมันถึงมาขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราล่ะ มันหมายความว่ายังไง” เจแปนถามต่อทันที
“อันนี้นับเป็คำถามรอบใหม่แล้วนะ”
“ไม่สิ ในเมื่อคำถามนี้นายยังตอบไม่เคลียร์เลย” เขาแย้งอย่างไม่ยอม “นายอธิบายเพิ่มเติมมาเลย อย่ามาเอาเปรียบกัน”
“แล้วจะให้เราอธิบายยังไงล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “เอาเป็ว่าทุกครั้งที่ดอพเพลแกงเกอร์คิดจะเดินออกมาจากการเป็เงา มันหมายความว่าไม่ดอพเพลแกงเกอร์ก็เ้าของร่างนั่นแหละที่ต้องหายไป ไม่มีทางอยู่บนโลกนี้ด้วยกันทั้งสองคน”
หลังได้รับการอธิบายกลับมาเช่นนั้น ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งคู่ทันที เจแปนนอนจ้องพัตเตอร์ตาเขม็ง ระหว่างที่เขากำลังคิดตามคำพูดของอีกฝ่ายและพยายามหาจุดเชื่อมโยงว่าตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเื่นี้ยังไง
จู่ ๆ ความฝันประหลาดที่เจแปนเคยฝันเมื่อนานมาแล้วก็ผุดขึ้นในหัวเป็ฉาก ๆ
“ดูเหมือนแปนจะเริ่มนึกอะไร ๆ ได้แล้วนะ” พัตเตอร์ที่เห็นสายตาของเจแปนพูดขึ้นอย่างรู้ทัน
“ไม่... เรานึกอะไรไม่ออกทั้งนั้น” เจแปนส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปโดยพลัน
“แปนหลอกตัวเองก็พอเถอะ แต่อย่ามาหลอกเราเลย” อีกฝ่ายบอกกลับมาพร้อมยื่นมือมาลูบแก้มของเจแปน ทั้งที่เขายังไม่ทันถามอะไรด้วยซ้ำ ซึ่งพอข้างแก้มเจแปนถูกััเขาก็รีบปัดมือของพัตเตอร์ออกอย่างไม่ไยดี
“แหม ซื่อสัตย์จังเลยนะ” พัตเตอร์ว่า ทว่านั่นไม่ใช่คำชมแต่เป็คำพูดประชดประชันเสียมากกว่า
“แน่สิ ก็มันเป็สิ่งที่เราควรทำอยู่แล้วนี่”
“เหรอ แต่ถ้าจะเล่นบทนี้จริง ๆ แปนก็ไม่ควรเอาเรามาต่างจังหวัดด้วยั้แ่แรกนะ”
“...”
“บางทีก็ทำเหมือนรู้สึกผิดต่อไอ้พอร์ต แต่ในบางครั้งก็ดูไม่ได้รู้สึกผิดขนาดนั้น ดูโดยรวมแล้วแปนก็เป็คนที่มีความย้อนแย้งในตัวเองอยู่พอสมควรเลยนะ” พัตเตอร์พูดต่อ คล้ายเ้าตัวกำลังพิจารณาว่าแท้ที่จริงแล้วเจแปนเป็คนยังไงกันแน่
“ที่เราเอานายมาด้วย ก็เพราะเรากลัวว่านายจะสร้างเื่ระหว่างที่เราไม่อยู่ต่างหาก” เขาเอ่ยเสียงแข็ง
“พอได้ยินเหตุผลที่แท้จริงแบบนี้แล้วเจ็บชะมัด” พัตเตอร์ไม่พูดเปล่า แต่ยังทำท่าจับบริเวณเหนืออกข้างซ้ายของตัวเองไปด้วยเหมือนเ้าตัวเ็ปเกินทน ทำเอาเจแปนเห็นแล้วก็อดใจไม่ไหวต้องตีเข้าที่ต้นแขนของอีกฝ่ายจนเกิดเสียง
“ปลอม” เขาบอก
“ก็แสร้งทำ จะดูไม่ปลอมได้ยังไง” พัตเตอร์ว่ากลับมาทั้งยิ้มระรื่น โดยคราวนี้เจแปนก็เลือกที่จะไม่ใช้กำลังกับอีกฝ่ายแล้ว แต่เขาเลือกที่จะถอนหายใจใส่อย่างนึกระอาแทน
“อย่าทำหน้าหงุดหงิดบ่อยนักเลย เพราะเวลาที่แปนทำแล้วมันดูเซ็กซี่มากเลยนะ ไม่รู้ตัวเหรอ” อีกฝ่ายพูดขึ้นอีกหน ขณะที่เจแปนยังคงชักสีหน้าใส่เ้าตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากที่เจแปนได้ยินเช่นนั้นเขาก็เปลี่ยนจากการชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายมาเป็ทำหน้าไร้อารมณ์แทน
“ทีนี้ยังมีอารมณ์อยู่ไหม?” เจแปนถามกลับไป
“แปนจะทำหน้าไหนใส่เรา เราก็มีอารมณ์หมดนั่นแหละแต่แค่เวลาที่แปนทำหน้าหงุดหงิดใส่เรา มันดูเซ็กซี่กว่าปกติเฉย ๆ” อีกฝ่ายให้คำตอบกลับมา โดยคำพูดจาของพัตเตอร์ในครั้งนี้ก็ทำให้เจแปนเปลี่ยนมาทำหน้าบูดบึ้งแทน
“เอาล่ะ... กลับมาที่คำถามก่อน เพราะไหน ๆ นายก็จับแก้มเราไปแล้ว งั้นเราจะถามอีกสักคำถามก็แล้วกัน” เขาว่า ยังคงไม่ลืมเื่คำถามที่ค้างกันเอาไว้ “ทำไมนายถึงเลือกที่จะให้เรารับรู้ถึงการมีอยู่ของนายล่ะ?”
“อืม คำถามนี้ไม่ค่อยยากเท่าไรแฮะ”
“...”
“นั่นก็เพราะแปนเป็เหตุผลสำคัญที่ทำให้เราอยากเดินออกมาจากการเป็เงาของพอร์ตไง” พัตเตอร์ให้คำตอบพร้อมอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เจแปนกระจ่างมากกว่านี้ “อย่างที่เราเคยบอกไง เมื่อไรก็ตามที่ดอพเพลแกงเกอร์กับเ้าของร่างมีความคิดแตกต่างกัน เมื่อนั้นพวกดอพเพลแกงเกอร์จะเริ่มมีความคิดอยากออกมาใช้ชีวิตเอง”
“งั้นนายกำลังหมายความว่า...”
“ใช่ เื่ของแปนมันทำให้พวกเรามีความคิดขัดแย้งกันอยู่บ่อย ๆ สุดท้ายเราก็เลยเลือกที่จะเดินออกมาใช้ชีวิตเอง และที่เราตัดสินใจแสดงตัวกับแปน นั่นก็เพราะเราอยากให้เจแปนรับรู้ถึงการมีอยู่ของเรายังไงล่ะ”
“...”
“เราอยากให้แปนรู้ว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่ไอ้พอร์ต มันเคยทำดีกับแปนมากเท่าไรเราทำดีได้มากกว่านั้นอีกนะ ถึงแม้เรากับมันจะหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะก็เถอะ” พัตเตอร์เอ่ยทั้งเสียงติดตลก ทว่าเจแปนกลับไม่ได้รู้สึกขำด้วยเลยสักนิด
“แล้ว... แล้วเราต้องทำยังไงต่อ” นานเกือบนาทีกว่าที่เจแปนจะถามกลับไป
“แปนไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ พอถึงเวลาจริง ๆ เดี๋ยวสถานการณ์มันจะบอกเองว่าแปนต้องทำอะไรบ้าง” อีกฝ่ายบอกคล้ายเ้าตัวเป็ผู้หยั่งรู้อนาคต ขณะที่เจแปนกลับยังคงนอนทำหน้างงอยู่ เขาพยายามทำความเข้าใจกับทุกคำพูดที่พัตเตอร์เอ่ย แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะโง่เขลาเกินไป
“หน้าแบบนี้ก็ห้ามทำ เพราะมันทำให้เราอยากจูบแปน” เวลาต่อมา ระหว่างที่เจแปนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เนื่องจากเขากำลังทำความเข้าใจและหาจุดเชื่อมโยงของทุกเื่ที่รับรู้มาในวันนี้ จู่ ๆ เสียงของพัตเตอร์ก็ดังขึ้นอีกหน
ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดเปล่า แต่ยังขยับกายเข้ามาใกล้จงใจทำให้ช่องว่างระหว่างทั้งคู่ลดลง พร้อมใช้มือแตะที่ปลายคางของแจแปนเบา ๆ เพื่อให้เชิดขึ้นเล็กน้อย
“นี่มันใกล้เกินไปหรือเปล่า” เจแปนพูดตามที่รู้สึก และเวลาเดียวกันนั้นเขาก็นอนสบตากับพัตเตอร์ตาไม่กะพริบ
“ก็เราจงใจขยับเข้ามาใกล้”
“...”
“แม่ของแปนสวยนะ” พัตเตอร์เอ่ยทั้งหน้าตายซึ่งตอนแรกเจแปนก็งงอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงกล่าวถึงแม่เขา ทว่าต่อมาความสงสัยนั้นก็ถูกคลี่คลาย เมื่อพัตเตอร์ได้พูดบางอย่างต่อ “และแปนก็หน้าเหมือนแม่มาก ๆ ด้วย”
“ให้ตายเถอะ จะบอกว่าเราหน้าตาดีก็ไม่เห็นต้องลีลาขนาดนี้เลยนี่” เจแปนว่าพลางกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ หลังเขาไม่คิดว่าร่างดอพเพลแกงเกอร์อย่างพัตเตอร์จะรู้จักการพูดจาทำนองนี้ด้วย
ดูมีทักษะความเป็มนุษย์สูงอยู่พอสมควร
“แล้วแปนโอเคหรือเปล่าล่ะ ถ้าต่อจากนี้เราจะชมว่าแปนสวย” อีกฝ่ายถามต่อ
“โอเคสิ และก็พอใจมาก ๆ ด้วยที่เราจะถูกชมแบบนั้น” เจแปนตอบกลับไป โดยเขาก็เข้าใจเหตุผลของพัตเตอร์ดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่กล้าชมเขาว่าสวยแบบตรงไปตรงมาในคราวแรก
“ครับ งั้นเราก็จะบอกว่าแปนสวย แล้วเราก็ชอบมาก ๆ เลยเวลาที่แปนยิ้มแบบนี้ เพราะมันมีเสน่ห์มากเลยรู้ไหม” เป็อีกครั้งที่พัตเตอร์ไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว แต่อีกฝ่ายยังยื่นมือมาััที่แก้มของเจแปนด้วย แถมยังลูบไล้มันเบา ๆ ด้วยท่าทีทะนุถนอม ทำเอาคนที่ได้รับััและใบหน้าก็กำลังมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง
ทว่าครั้งนี้เจแปนกลับไม่ได้ปัดมือของพัตเตอร์ออกอีกต่อไป
อาจเพราะคำสรรเสริญเยินยอ ดวงตาที่กำลังสบประสานกัน ความมึนเมาที่ยังคงหลงเหลืออยู่หรือไม่ก็บรรยากาศที่ก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งสองในเวลานี้แหละมั้ง มันถึงทำให้เจแปนเกิดความหวั่นไหวกับพัตเตอร์มากกว่าทุกครั้ง และตอนนี้เขาก็ไม่ได้มองว่าพัตเตอร์เป็ภาพทับซ้อนของใครด้วย
พัตเตอร์ก็คือพัตเตอร์ อีกฝ่ายก็แค่มีหน้าคล้ายคลึงกับพอร์ตเท่านั้นแต่ไม่ใช่เงาของพอร์ต
“เราขอจูบนะ” พัตเตอร์เอ่ยขอเสียงแ่ เมื่อใบหน้าของอีกฝ่ายได้ขยับเข้ามาใกล้กัน จนทั้งสองแทบจะแลกลมหายใจของกันและกันอยู่รอมร่อ ซึ่งหลังจากที่ถูกขอเช่นนั้นเจแปนก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาเลือกที่จะปิดเปลือกตาลงเท่านั้น ส่วนพัตเตอร์จะทำอะไรต่อก็แล้วแต่อีกฝ่าย
หากตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกครั้งที่เจแปนมีอะไรกับคนรัก เขาเข้าใจว่านั่นคือพอร์ตและนอกใจแฟนหนุ่มของตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ งั้นครั้งนี้มันก็จะเป็ครั้งแรกที่เจแปนตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ทั้งที่เขาเองก็รู้อยู่ว่านี่ไม่ใช่พอร์ตและก็ไม่ใช่มนุษย์เหมือนอย่างเขาด้วย
ทันทีที่ริมฝีปากของทั้งคู่ัักัน เจแปนก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็ััที่แปลกใหม่เลย ร่างกายของเขาไม่มีอาการตื่นกลัวเหมือนอย่างที่กังวล มิหนำซ้ำเจแปนยังรู้สึกว่าตัวเองคุ้นชินกับจูบนี้ด้วย
เจแปนจะโทษว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเกิดจากแอลกอฮอล์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างเขาก็แล้วกัน เพื่อที่เจแปนจะได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำอยู่น้อยลง
ต่อมาเมื่อพัตเตอร์เห็นว่าเจแปนไม่ได้ผลักไสััของอีกฝ่าย แถมยังมีการจูบตอบด้วย พัตเตอร์ก็เริ่มกล้าที่จะััเขามากขึ้น อีกฝ่ายกล้าที่จะกดริมฝีปากลงมาซ้ำ ๆ อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ขณะเดียวกันฝ่ามือหนาก็คอยลูบไล้ไปตามส่วนเว้าโค้งของเจแปน คล้าย้าปลุกเร้าอารมณ์เขาให้ลุกโชนขึ้นมา
“เรา... เราว่าเรารู้สึกผิดกับพอร์ตว่ะ” หลังพยายามสนใจแค่ความ้าของตัวเองอยู่นานพักใหญ่ ในที่สุดเจแปนก็เป็ฝ่ายที่ต้องผละริมฝีปากออกไปก่อนและพูดขึ้นอย่างยอมแพ้ เมื่อภาพของพอร์ต่เวลาที่พวกเขามีความสุขด้วยกันมันได้ผุดขึ้นมาในหัว ประกอบกับตัวเขาเองก็ชัดเจนมาตลอดว่าเกลียดการนอกใจเป็ที่สุด
ดังนั้นเจแปนจึงไม่ควรทำสิ่งที่ตัวเองเกลียด
“แปนไม่เห็นต้องไปรู้สึกผิดกับมันเลย เพราะมันเองก็ยังไม่เคยรู้สึกผิดกับแปนด้วยซ้ำ” พัตเตอร์ไม่พูดเปล่า แต่อีกฝ่ายยังพลิกตัวลุกขึ้นมาคร่อมร่างกันเอาไว้ด้วย
“หมายความว่ายังไง”
“หยุดแสร้งทำเป็คนโง่สักทีเถอะ”
“...”
“เราว่าแปนน่าจะรู้มานานแล้วนะว่าเรา้าจะสื่ออะไร เพราะงั้นหยุดหลอกตัวเองได้แล้ว” คราวนี้พัตเตอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยเหมือน้าดึงสติกัน
“เราไม่ได้หลอกตัวเองสักหน่อย” นานเกือบนาทีกว่าที่เจแปนจะพูดอะไรกลับไป โดยมันก็ไม่ได้มีบ่อยครั้งนักที่พัตเตอร์จะยอมพูดเื่นี้กับเขา เนื่องจากทุกครั้งที่เจแปนถามเื่นี้อีกฝ่ายก็มักจะบ่ายเบี่ยงตลอด และเอาแต่พูดว่ากาลเวลาจะทำให้เขาได้รู้ทุกอย่างเอง
พัตเตอร์มักจะพูดจาทำนองนี้เสมอ ทว่าพอเวลานี้อีกฝ่ายกำลังพูดถึงพอร์ตเหมือนความอดทนของเ้าตัวได้สิ้นสุดลงแล้ว นั่นก็ทำให้เจแปนทำตัวไม่ถูกนัก
“ไม่ได้หลอกตัวเอง? งั้นแสดงว่าต้องรอให้จับได้แบบคาหนังคาเขาก่อนใช่ไหม ถึงจะยอมรับความจริงว่ามันมีคนอื่น”
“เราว่าให้มันเป็เื่ของเรากับพอร์ตดีกว่า”
“...”
“เราไม่รู้นะว่าทำไมเราถึงเป็เหตุผลที่ทำให้นายตัดสินใจเดินออกมาจากการเป็เงาพอร์ต เราไม่รู้ว่านายหวังดีกับเราแค่ไหนหรือ้าอะไรจากเรากันแน่ แต่ว่าเราขอจัดการทุกอย่างเองได้ไหม”
“แล้วไม่อยากจะใช้ประโยชน์จากเราบ้างเหรอ” อีกฝ่ายถามต่อ
“อยาก แต่ทุกครั้งเราก็ไม่เคยได้ใช้ประโยชน์จากนายฟรี ๆ เลยนี่ ถ้างั้นเราขอจัดการเื่นี้เองดีกว่า” เพราะการใช้ประโยชน์จากพัตเตอร์มันมักจะตามมาด้วยข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เจแปนจึงเลือกที่จะจัดการเื่นี้เองน่าจะดีกว่า เนื่องจากเขากลัวว่าหากคิดจะใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายอีก สิ่งที่พัตเตอร์้ามันอาจเป็สิ่งที่เขาไม่สามารถให้ได้
“ตามใจแล้วกัน ถ้าคิดว่าจัดการคนเดียวไหวเราก็จะไม่ยุ่ง” พูดจบ พัตเตอร์ก็ลุกลงจากร่างของเจแปน หลังตอนแรกอีกฝ่ายได้ขึ้นคร่อมกันเอาไว้ ตั้งท่าจะทำอะไรที่มากกว่าจูบ แต่พอบทสนทนาของทั้งสองมาถึงเื่นี้ ต่างฝ่ายก็ต่างไม่มีอารมณ์เสียอย่างนั้น