22
“อยากเอาอะไรกลับไปด้วยไหมล่ะแปน จะเอาหมูยอไหม? เดี๋ยวแม่ซื้อให้”
“ไม่เอาครับ เพราะที่กรุงเทพก็มีขาย”
“ถ้างั้นเอาเส้นก๋วยจั๊บไหมล่ะ เราชอบกินไม่ใช่เหรอ”
“อันนี้ก็ไม่เอาเหมือนกันครับ” ระหว่างที่กำลังขนของขึ้นรถ เจแปนก็หันไปปฏิเสธแม่ของตัวเองไปด้วย เมื่อเธอเดินมาถามเขาว่าเจแปน้าซื้ออะไรกลับกรุงเทพหรือเปล่า หลังวันนี้เขาจะต้องเดินทางกลับไปเรียนแล้ว
“แต่พวกหมูยอพวกเส้นก๋วยจั๊บที่กรุงเทพมันก็ไม่อร่อยเท่าของบ้านเราหรอกนะ” แม่เอ่ย พยายามคะยั้นคะยอให้เจแปนยอมใจอ่อนกับเธอเสียให้ได้
“ไม่เอาครับแม่ ต่อให้แปนเอาไปแปนก็ไม่ได้กินอยู่ดี เพราะแปนถนัดไปกินตามร้านมากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นพอร์ตอยากได้ไหมลูก พวกเส้นก๋วยจั๊บกับหมูยอน่ะ”
“แม่ครับ” คราวนี้เจแปนเรียกแม่ตัวเองเสียงเข้ม เมื่อเธอหันไปถามพัตเตอร์แทน
“เฮ้อ ไอ้ลูกคนนี้นี่ แม่ก็แค่กลัวว่าพวกเราจะอด ๆ อยาก ๆ เอง” เธอเริ่มบ่นพลางถอนหายใจใส่เจแปนหนึ่งหน
“ผมไม่มีทางอดอยากอยู่แล้วครับ ถ้าแม่ให้ค่าขนมไม่ขาดน่ะ” เจแปนบอกกลับไป พร้อมหันหน้าไปทางพัตเตอร์ “ตอนนี้นายเอาของออกมาครบแล้วใช่ไหม”
“อืม” พัตเตอร์พยักหน้ารับกลับมา ซึ่งพอทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว มันก็ถึงคราวที่เจแปนจะได้ร่ำลาแม่ของตัวเองเสียที
“ผมไปแล้วนะ ไว้เจอกันใหม่่ปิดเทอม หรือไม่...ถ้าแม่คิดถึงกันมาก ๆ แม่ก็ไปหาผมที่กรุงเทพเลยนะ”
“จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะลูก พอร์ตด้วยนะ” แม่เอ่ย ไม่มีท่าทีงอแงอย่างที่เจแปนกังวล เพราะปกติแล้วเวลาที่ถึงคราวต้องแยกจาก แม่ของเขาก็มักจะมีท่าทีอิดออดไม่อยากให้เขากลับกรุงเทพเสมอ แต่ที่หนนี้เธอแตกต่างจากปกติ นั่นก็อาจเป็เพราะว่ามีพอร์ตอยู่ด้วย เธอคงอายหากจะแสดงท่าทีเหมือนเด็กให้คนนอกเห็น
ต่อมา หลังทั้งสองขึ้นมานั่งบนรถเตรียมตัวขับกลับกรุงเทพแล้ว เจแปนกับพัตเตอร์ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ทั้งสองเอาแต่นั่งเงียบตลอดทั้งทางประหนึ่งว่ากำลังทะเลาะกันอยู่ ทั้งที่ั้แ่มาต่างจังหวัดพวกเขายังไม่เคยมีปากเสียงกันด้วยซ้ำ หากจะมีก็คงมีแค่ความไม่เข้าใจกัน
“นายหยุดมองมาที่เราได้แล้ว เพราะมันทำให้เราเสียสมาธิ” เจแปนตัดสินใจพูดขึ้น เมื่อสายตาของพัตเตอร์ที่กำลังมองมาทางเขา มันทำให้เจแปนเสียสมาธิขณะขับรถ
“โทษที เราก็แค่กำลังคิดน่ะว่าหลังจากที่ไปถึงกรุงเทพแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“...”
“ตลอดสามสี่วันที่ผ่านมานี้ ไอ้พอร์ตมันเคยโทรหาแปนบ้างหรือเปล่า? มันรู้หรือยังว่าตอนนี้แปนอยู่ต่างจังหวัดจนกำลังจะกลับอยู่แล้วเนี่ย”
“คราวนี้นายจะปั่นอะไรอีกล่ะ” เจแปนถามกลับไปเสียงเรียบ แสดงท่าทีเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของพัตเตอร์ ทั้งที่แท้ที่จริงแล้วคำพูดของอีกฝ่ายกำลังทำให้เจแปนฉุกคิดอะไรบางอย่างได้
“ไม่ได้ปั่น เราก็แค่ถามเอง” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยท่าทีคล้ายกับว่าเ้าตัวก็แค่หวังดีต่อกันเท่านั้น
“...”
“แต่ก็แปลกนะ แฟนตัวเองหายไปตั้งสามสี่วันแน่ะ ทำไมมันถึงไม่คิดจะโทรถามข่าวคราวกันบ้าง มันไม่คิดถึงแฟนตัวเองบ้างหรือไง” พัตเตอร์ว่าต่อ ทำเหมือนพึมพำกับตัวเองแต่จงใจจะให้เจแปนได้ยินทุกประโยค ก่อนที่ต่อมาอีกฝ่ายจะพูดบางอย่างขึ้นหลังเ้าตัวเพิ่งนึกอะไรได้
“ลืมไปเลยแฮะ ก่อนมาที่นี่แปนทะเลาะกับพอร์ตใช่ไหมนะ”
“นายหยุดยุ่งเื่ชาวบ้านสักที!”
“...”
“ขอร้องล่ะ หยุดยุ่งเื่ของเราสักทีเถอะและก็ขอบคุณมากสำหรับความใส่ใจของนาย แต่ทีหลังไม่ต้องนะ เพราะเราไม่้า” เจแปนบอกกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ เมื่อความอดทนของเขาได้ขาดสะบั้นลงแล้ว
โดยหลังจากที่เจแปนพูดอย่างนั้น มีการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่้าให้พัตเตอร์กล่าวถึงคนรักเขาอีกต่อไป ทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนกระทั่งมาถึงกรุงเทพ
เพราะก่อนกลับบ้านเจแปนได้ส่งแช็ตบอกเพื่อนของตัวเองไว้แล้วว่าเขาจะไปที่ไหน นั่นจึงทำให้เพื่อนในกลุ่มต่างรู้ดีว่า่สามสี่วันที่เจแปนกลับต่างจังหวัด เขาจะขาดการติดต่อจากทุกคน เนื่องจากอยากใช้เวลาอยู่กับแม่ ซึ่งถ้าใครมีธุระอยากติดต่ออะไรกับเขาก็ให้ติดต่อมา หลังจากที่เขากลับมาถึงกรุงเทพเท่านั้น
พอเขากลับมากรุงเทพและมีการส่งข้อความไปบอกเพื่อนเรียบร้อยแล้ว คนแรกที่โทรมาหาเจแปนก็ไม่ใช่คนที่เหนือความคาดคิดของเขาเท่าไรนัก
[เป็ยังไงบ้าง กลับต่างจังหวัดคราวนี้]
“ก็เหมือนเดิมอะ ที่กลับบ้านก็เพราะแม่คิดถึงเฉย ๆ” เจแปนบอกคนปลายสาย เมื่อบัวโทรมาถามไถ่กัน
[กูกะแล้วเชียว ปกติถ้าไม่ใช่่ปิดเทอม มึงกลับบ้านซะที่ไหนกัน] เธอว่า โดยเจแปนก็ไม่คิดจะโต้แย้งอะไรทั้งนั้น เนื่องจากมันคือความจริง
[แล้วนี่มึงรู้ยังว่างานหนังสือ อาจารย์เขานัดวันนำเสนอมาแล้วนะ]
“ยัง ในกลุ่มรวมกูก็ไม่เห็นเขาแจ้งอะไรเอาไว้นะ”
[เขาฝากเด็กมาบอกอ่ะดิ ไม่ได้มาพิมพ์แจ้งเองในกลุ่ม] บัวเอ่ย ซึ่งพอเขาได้ยินอย่างนั้นเจแปนก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง รู้สึกเบื่อหน่ายอาจารย์คนนี้อย่างบอกไม่ถูก
“อาจารย์คนนี้นี่ยังไงนะ เื่สำคัญไม่เคยมาพิมพ์ลงกลุ่มเลยมีแต่อะไรก็ไม่รู้ ว่าแต่ว่าเขานัดวันไหนเหรอ?” เจแปนถามกลับไป
[สัปดาห์หน้าจ้า มึงเตรียมตัวเอาไว้ด้วย คะแนนนำเสนอห้าคะแนน] บัวตอบ ซึ่งในระหว่างที่เธอกำลังคุยสายกับเขานั้น พัตเตอร์ที่อยู่ในห้องด้วยกันก็ะโเรียกกัน เมื่ออีกฝ่าย้าถามอะไรบางอย่าง
[นี่มึงอยู่กับพอร์ตเหรอ] เพราะบัวได้ยินเสียงแทรกเข้าไปในสาย เธอจึงถามขึ้น
“อือ พอดีคืนนี้มันมานอนด้วยน่ะ” เจแปนบอกคนปลายสายเสียงแ่พลางหันไปถลึงตาใส่พัตเตอร์ เพราะเขารู้ว่าเมื่อครู่นี้อีกฝ่ายจงใจจะให้คนในสายได้ยินเสียงเ้าตัว
[โอเค ๆ งั้นกูไม่กวนแล้วก็ได้ ที่โทรมาหาเพราะเื่นี้นี่แหละ งั้นเจอกันที่มหาลัยนะมึง]
“อืม แล้วเจอกัน” หลังวางสายจากเพื่อนเรียบร้อยแล้ว สิ่งต่อมาที่เจแปนทำก็คือการหันไปจัดการอีกคน
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย” นั่นเป็ประโยคแรกที่เจแปนหันไปพูดกับอีกฝ่าย ซึ่งพอเขาเห็นสีหน้ายิ้มระรื่นของพัตเตอร์เหมือนไม่ได้รู้สึกผิดอะไร มันก็ทำให้เจแปนออกอาการหัวเสียเข้าไปใหญ่
“อะไรกัน ที่เราเรียกก็เพราะเราจะถามว่าให้เราเอาเสื้อผ้าแปนออกจากกระเป๋าให้เลยไหม?” พัตเตอร์เอ่ยพร้อมยกกระเป๋าเสื้อผ้าของเจแปนขึ้นมาให้ดู
“ไม่ต้อง เดี๋ยวเราจัดการเอง” เจแปนบอกกลับไปทั้งเสียงประชดประชัน จากนั้นเขาถึงค่อยดันตัวเองขึ้นจากเตียงแล้วลุกไปจัดการเสื้อผ้าในกระเป๋า เพื่อที่จะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จ ต่อมาเจแปนกับพัตเตอร์ก็มานั่งอยู่ที่หน้าโทรทัศน์พร้อมกับอาหารมื้อเย็น โดยระหว่างที่ทั้งสองกำลังนั่งกินข้าวพร้อมดูละครหลังข่าวไปด้วย เจแปนก็มีการส่งข้อความไปถามไถ่คนรักว่าอีกฝ่ายเป็ยังไงบ้าง หลังพวกเขาขาดการติดต่อกันมานานหลายวัน
“แล้วนี่เราจะนับวันต่อเลยหรือเปล่า” เมื่อวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวแล้ว พัตเตอร์ที่นั่งอยู่ข้างกันและเห็นั้แ่วินาทีที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์หาแฟนหนุ่มก็ถามขึ้น
“อืม เดี๋ยวนับวันต่อเลย เริ่มั้แ่วันพรุ่งนี้” เจแปนตอบกลับเสียงเรียบ ทำทีเหมือนให้ความสนใจกับหน้าจอโทรทัศน์ทั้งที่เขากำลังพะวงอยู่กับโทรศัพท์ตัวเองมากกว่า เนื่องจากรอคอยข้อความตอบกลับมาของพอร์ต
“โอเค งั้นเหลืออีกห้าวันนะ นับต่อจากวันนั้น” พัตเตอร์เอ่ย ซึ่งคราวนี้เจแปนก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น ไม่คิดจะพูดขัดอะไรตามประสาคนที่ไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่ายั้แ่แรกอยู่แล้ว
เพราะเจแปนเอาแต่เมินเฉยพัตเตอร์แหละมั้ง นั่นจึงทำให้ต่อมาร่างดอพเพลแกงเกอร์อย่างอีกฝ่ายจึงมีท่าทีหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด...
ยิ่งได้ใช้เวลาคลุกคลีอยู่ด้วยกันนานมากเท่าไร เจแปนก็ยิ่งรู้สึกว่านอกจากหน้าตาแล้ว พัตเตอร์ก็ไม่มีอะไรที่คล้ายกับพอร์ตจริง ๆ อีกฝ่ายเป็เสมือนแฝดของคนรักเขาที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ แต่นิสัยต่างกันคนละขั้ว
เนื่องจากปกติแล้วพอร์ตมักจะโปรดปรานเสมอยามที่เจแปนไม่ใส่ใจ แฟนหนุ่มของเขาสามารถใช้ชีวิตเพียงลำพังได้ดี แทบไม่มีการถามหากันก่อนด้วยซ้ำเวลาที่เจแปนหายไป และก็ต้องเป็เขาอยู่ทุกครั้งไปที่เป็ฝ่ายติดต่อกลับไปหาพอร์ตก่อนรวมไปถึงครั้งนี้ด้วย
“่ที่เราไม่ได้คุยกัน เป็ยังไงบ้าง?”
[ก็เรื่อย ๆ อะ ใช้ชีวิตของตัวเองไป อ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหรือไม่ก็ออกไปหาเพื่อน] พอร์ตตอบกลับมาเสียงเรียบ เมื่อเจแปนเป็คนโทรหาอีกฝ่ายก่อน
“อ๋อ ก็ดูใช้ชีวิตได้ดีนะ แล้วพอร์ตไม่คิดจะโทรมาหากันบ้างหรือไง” เขาถามกลับไป โดยนั่นก็ทำให้พอร์ตเงียบไปพักหนึ่ง อีกฝ่ายถึงค่อยพูดอะไรกลับมา
[ที่เป็ฝ่ายโทรมาหาก่อน เพราะแปนจะชวนทะเลาะเหรอ]
“เปล่าสักหน่อย แต่ที่เราถาม... ก็เพราะเราอยากรู้ต่างหากว่าพอร์ตเคยคิดจะโทรหาเราบ้างไหม หรือว่าจะปล่อยให้เื่ของเราเป็แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องคุยกัน”
[...]
“หรือว่าจนถึงตอนนี้พอร์ตยังมองว่าตัวเองไม่ผิดอะ นี่พอร์ตลืมไปแล้วเหรอว่าตอนนั้นพอร์ตกล่าวหาเราทั้งที่ไม่มีหลักฐานด้วยซ้ำ”
เนื่องจากคนรักของเจแปนเลือกที่จะใช้ความเงียบเพียงอย่างเดียว นั่นจึงทำให้เขายิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก ซึ่งพอเจแปนนึกไปถึงบทสนทนาในคราวนั้น เขาก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ใช้อารมณ์กับพอร์ต เพราะปัญหาระหว่างทั้งคู่มันจะบานปลายมากกว่าเดิม
[โอเค ตอนนั้นเราผิดเองแหละ] นานเกือบนาทีกว่าที่พอร์ตจะบอกกลับมา และก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็แค่พูดไปส่ง ๆ เพื่อให้เื่ทุกอย่างมันจบ
“แล้วพอร์ตผิดยังไงบ้าง รู้ตัวเองหรือเปล่า?” เจแปนถามต่อ ขณะที่สายตาของเขาก็คอยทอดมองทัศนียภาพยามค่ำคืนไปด้วย หลังเจแปนเลือกที่จะใช้ริมระเบียงห้องมายืนคุยโทรศัพท์กับคนรัก ส่วนพัตเตอร์ก็ยังคงนั่งดูโทรทัศน์อยู่ข้างใน
[เราก็อุตส่าห์ขอโทษไปแล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมจบสักทีวะ พอได้คืบก็จะเอาศอกหรือไง] คราวนี้พอร์ตถามกลับมาอย่างมีน้ำโห อารมณ์ร้อนไม่ต่างจากเจแปน
“ก็ถ้าขอโทษแต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีความผิดอะไร แล้วจะขอโทษไปทำไมอะ” เจแปนถามกลับไปอย่างมีอารมณ์เช่นกัน “เดี๋ยวก็กลับมาทำดีด้วยเดี๋ยวก็กลับมาทำนิสัยเสีย ๆ แบบนี้ใส่กันอีก ทำไมถึงไม่เลิกกันไปเลยอะ เพราะพอร์ตเองก็ดูเหมือนจะใช้ชีวิตคนเดียวได้ดีนี่”
[...]
“หรือว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้ใช้ชีวิตคนเดียว แต่ระหว่างที่เรามีปัญหากัน พอร์ตเองก็เอาเวลานั้นแหละไปทำดีกับคนอื่น” เจแปนถามต่อ เมื่อจู่ ๆ ใบหน้าของเพื่อนร่วมคณะอีกฝ่ายก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา ทั้งที่คราวนั้นที่เจแปนตามไปถึงโรงหนัง เขาจะจับไม่ได้ก็ตาม
[อันนี้แปนกำลังหาเื่เราอยู่นะ มีหลักฐานเหรอถึงได้กล้าพูดแบบนี้] อีกฝ่ายถามกลับมา
“ก็เหมือนที่พอร์ตเคยทำกับเราไง คราวนี้เข้าใจความรู้สึกของเราหรือยัง?”
[...]
“ยิ่งคบกันนานเข้าเราสองคนก็ยิ่งมีปัญหากันมากขึ้น ทำไมมันเป็แบบนี้อะพอร์ต เรายังรักกันไม่ใช่เหรอ?” เจแปนถามต่อ ซึ่งในระหว่างที่เขากำลังถามคนปลายสาย เจแปนก็พยายามนึกไปด้วยว่าเขาบกพร่องตรงไหนหรือเปล่า มันถึงได้ทำให้เื่ของเขากับคนรักดำเนินมาถึงจุดนี้
“ทำไมเดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกถึงความสุขเลย ระหว่างเรามันเกิดอะไรขึ้นกันนะ”
[อาจเป็เพราะความเคยชินก็ได้]
“ถ้าอย่างนั้นเราลองห่างกันดูไหมล่ะ”
[ห่างกันอีกแล้วเหรอ]
“หรือจะเลิกกันดี”
[ไม่มีทาง]
“ถ้าอย่างนั้นพอร์ตจะเอายังไงอะ” เจแปนถามต่อ เพราะไม่ว่าเขาจะเสนอทางเลือกไหน คนปลายสายก็ไม่มีท่าทีว่าจะเห็นด้วยเลยสักอย่าง
[ก็คบกันต่อไปแบบนี้นี่แหละ]
“ว่าไงนะ” เขาเอ่ยอย่างไม่เชื่อหูและก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมพอร์ตถึงยังคิดจะดันทุรังต่อไป ทั้งที่ปลายทางของพวกเขาเริ่มจะชัดเจนมากขึ้นแล้วว่ามันจะเป็ยังไงต่อไป
[ถ้าแปนคิดว่าจะให้เรายอมเลิกกับแปน งั้นเราก็ขอบอกเลยนะว่าไม่มีทาง]
“เราขอเหตุผล” เจแปนถามทันที โดยการสนทนาในตอนนี้เขาก็เริ่มอารมณ์เย็นมากขึ้นแล้ว เนื่องจากเจแปนอยากคุยกับคนรักด้วยเหตุผลจริง ๆ
[ก็เราไม่อยากเสียแปนไป]
“ไม่อยากเสียเราไปแต่เวลาเดียวกันพอร์ตก็ไม่พยายามรักษาเอาไว้เนี่ยนะ ตลกใหญ่แล้วนะ” เจแปนเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ไม่นึกว่าเหตุผลของพอร์ตมันจะออกมาในรูปแบบนี้
[อืม แปนจะคิดยังไงก็แล้วแต่เถอะ] คนปลายสายว่า แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเ้าตัวไม่คิดสนใจความคิดของเจแปนอยู่แล้วไม่ว่าเขาจะคิดยังไงก็ตาม
“เหลือเชื่อเลยว่ะ” เจแปนพึมพำกับตัวเอง
[ไว้รอเราเรียนจบค่อยว่ากันดีกว่า พอดีเราไม่อยากให้รักมันมามีปัญหา่นี้]
“แต่กว่าที่พอร์ตจะเรียนจบ มันก็เหลือเวลาอีกตั้งหลายปีนะ ไม่คิดว่ามันจะเสียเวลาไปเฉย ๆ เหรอ”
[ไม่อะ เราว่าเรายังได้ประโยชน์จากการที่เราสองคนคบกันอยู่]
“หมายความว่ายังไง” เจแปนถามคนปลายสายทั้งคิ้วขมวด ซึ่งคำพูดนี้ก็กลายเป็คำพูดติดปากของเขาไปเสียแล้ว
[เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ พอดีเราต้องออกไปติวหนังสือกับเพื่อนแล้ว] พอร์ตว่า อีกฝ่ายเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของเจแปน แต่กลับตัดบทสนทนาไปเสียดื้อ ๆ ด้วยข้ออ้างเดิม ๆ
“อืม งั้นเดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่ก็ได้” แม้ใจจริงจะอยากคุยกันให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยวางสาย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างนั่นจึงทำให้เจแปนต้องบอกกลับไปแบบนั้นอย่างจำยอม โดยหลังจากที่คนรักของเขาตัดสายกันไปแล้ว เจแปนก็ยังคงยืนรับลมอยู่ที่ริมระเบียงต่อ เมื่อเขา้าที่สงบ ๆ เพื่อคิดอะไรบางอย่างอีกสักพักถึงค่อยกลับเข้าไป
“ไหนบอกว่าจัดการคนเดียวได้ไง แต่ฟังจากการคุยโทรศัพท์แล้ว ดูเหมือนมันจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ”
“ไม่มีมารยาท มาแอบฟังคนอื่นคุยกันได้ยังไง” เจแปนหันไปติเตียนพัตเตอร์ทั้งคิ้วขมวด เมื่ออีกฝ่ายเดินออกมาหาเขาที่ริมระเบียงห้อง แถมเจแปนก็ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายมายืนฟังเขาคุยโทรศัพท์ั้แ่ตอนไหน
“โทษที... พอดีเราจะเข้ามานอนน่ะ แล้วห้องนอนมันเชื่อมกับระเบียงห้อง เราก็เลยพลอยได้ยินไปด้วย” พัตเตอร์ตอบกลับมาพลางยักไหล่ให้กันหนึ่งหน ทำประหนึ่งว่าเ้าตัวไม่ได้ตั้งใจเดินเข้ามาฟังบทสนทนาของเจแปนจริง ๆ
“นายเอาเหตุผลนี้ไปหลอกเด็กเถอะ เพราะมันฟังไม่ขึ้น” พูดจบ เจแปนก็มองค้อนให้พัตเตอร์ไปหนึ่งหน ก่อนที่เขาจะหันกลับไปให้ความสนใจกับทัศนียภาพยามค่ำคืนอีกครั้ง และเลือกที่จะปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองเอาไว้อย่างนั้น
“ได้คุยกับมันแล้ว เป็ยังไงบ้างล่ะ? รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” ท่ามกลางความเงียบ พัตเตอร์ที่ออกมายืนรับลมอยู่ข้างกันก็ถามขึ้น
“คงต้องคุยกันแบบต่อหน้าแหละ อะไร ๆ มันถึงดีกว่านี้” เจแปนตอบกลับเสียงเรียบ ซึ่งในเวลาต่อมาเขาก็หันไปมองพัตเตอร์อย่างใช้ความคิด
“้าความช่วยเหลือแล้วเหรอ” เพียงแค่สบตากัน อีกฝ่ายก็ถามทันที
“คิดว่ายังนะ แต่เราก็แค่อยากถามอะไรเฉย ๆ”
“หนึ่งคำถามแลกกับจูบหนึ่งที” พัตเตอร์ตอบกลับมาทั้งหน้านิ่ง ทำเอาเจแปนได้ยินแล้วก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง เพราะดูเหมือนเดี๋ยวนี้อีกฝ่ายจะไม่ยอมตอบอะไรเลย หากปราศจากข้อแลกเปลี่ยน
“แต่ตอนอยู่ต่างจังหวัด นายขอแค่จับแก้มเองนะ” เจแปนท้วงกลับไป
“ใช่ เราเคยขอแค่เท่านั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าข้อแลกเปลี่ยนของเรามันจะตายตัวตลอดไปนี่”
“...”
“อย่าเพิ่งคิดว่ามันไม่คุ้ม เพราะหนึ่งจูบของเรา แปนจะสามารถถามอะไรก็ได้นะ สามารถถามได้ทุกเื่เลยและจะถามลึกยิ่งกว่าที่เคยถามก็ได้ ถ้าแปน้าอย่างนั้น” พัตเตอร์เอ่ย พยายามโน้มน้าวกันคล้ายกับกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ
“แหม ทำตัวเป็พ่อค้าเลยนะ” เจแปนพูดตามที่คิดพร้อมระบายยิ้มออกมาจาง ๆ จากนั้นเขาก็ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อคิดคำถามที่มันจะทำให้เขารู้สึกว่าคุ้มค่ากับการถูกจูบ
“พอร์ต้าอะไรจากเราเหรอ เมื่อกี้ตอนที่คุยโทรศัพท์หมอนั่นบอกว่าที่ไม่ยอมเลิก เพราะเรายังมีประโยชน์กับเขาอยู่” เจแปนว่า โดยคำพูดของพอร์ตไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม มันกำลังสร้างความคาใจให้กับเขา ซึ่งพอพอร์ตบอกว่าเขามีประโยชน์กับอีกฝ่าย นั่นก็ทำให้เจแปนเริ่มมองย้อนกลับไปแล้วว่าที่ผ่านมามันคืออะไร
“เอาคุ้มจริง ๆ ด้วยแฮะ” พอพัตเตอร์ได้ยินคำถามนั้น อีกฝ่ายก็เอ่ยทั้งหน้ายิ้มระรื่น ไม่มีท่าทีหนักอกหนักใจที่จะต้องตอบมันด้วยซ้ำ
“แล้วนายพอจะตอบได้หรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาอย่างมากสุดนายก็ทำได้แค่ใบ้เอง ไม่เคยพูดเื่พอร์ตอย่างตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ”
“...”
“ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่ต้องตอบนะ เพราะเราอยากได้คำตอบแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้้าแค่คำบอกใบ้ให้เราไปคิดต่อเอาเอง” เขารีบพูดดักคอเอาไว้ เผื่อพัตเตอร์จะเล่นลิ้นไม่ยอมให้คำตอบอย่างที่เจแปน้า
“ตอบได้อยู่แล้ว ถ้าแลกกับจูบน่ะ”
“โอเค งั้นนายตอบมาเลย” เจแปนว่า เวลาเดียวกันนั้นเขาก็พยายามเตรียมใจให้พร้อมรับมือกับคำตอบของพัตเตอร์ด้วย เนื่องจากคำพูดของอีกฝ่ายมันอาจทำให้เขาเสียใจได้
“ก็เพราะว่าแปนรวยยังไงล่ะ นั่นแหละประโยชน์ที่มันจะได้จากแปน”
“...”
“แปนอาจคิดว่ามันไม่เกี่ยวกัน แต่เราอยากให้แปนลองคิดดูดี ๆ นะว่าทุกครั้งที่มันหาเงินมาจ่ายค่าเทอมไม่ทัน ต้องออกเงินค่าอุปกรณ์ทำแล็บมันก็มายืมแปนตลอดไม่ใช่เหรอ”
“แต่คนรักกัน หยิบยืมกันบ้างมันก็ไม่ใช่เื่ปกติหรือไง” เจแปนถามกลับไป พลางนึกย้อนไปถึงเื่เงิน ๆ ทอง ๆ ระหว่างเขากับพอร์ตไปด้วยว่ามันมีเื่ไหนบ้าง
“ถ้าแปนจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจนะ เราไม่ขัดอะไรอยู่แล้ว เพราะมันเป็สิทธิ์ของแปน” พัตเตอร์บอกกลับมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ และว่าต่อ “แต่ที่มันไม่ยอมเลิก ก็อาจเป็เพราะว่าถ้าเลิกกันไป...มันจะมาขอยืมเงินแปนไม่ได้อีกแล้วไง ซึ่งถ้าให้เราเดามันคงจะบอกว่ารอให้มันเรียนจบก่อนใช่ไหมล่ะถึงค่อยเลิก”
เมื่อพัตเตอร์พูดมาเช่นนั้น เจแปนก็ต้องนิ่งไปอีกครั้ง เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมามันเป็ความจริงทั้งหมด พอร์ตเพิ่งบอกเขามาว่าอย่างนั้นจริง ๆ
“นิ่งแบบนี้ แสดงว่าเราพูดถูกสินะ” พัตเตอร์เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เราบอกเหตุผลไปตามตรงแล้วนะ ส่วนแปนจะจัดการยังไงต่อก็ตามใจแล้วกัน อยากไปต่อกับมันทั้งที่รู้ว่ามันคบเพื่อผลประโยชน์ไม่ใช่ความรักก็เอาเลย”
“แล้วพอร์ตเคยรักเราจริง ๆ หรือเปล่า” เจแปนถามต่อ
“อันนี้คำถามที่สองแล้วนะ”
“อือ ก็จูบสองครั้งไง” เขาบอกกลับไป ขณะที่กำลังรู้สึกหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก หลังคำพูดของพัตเตอร์ทำให้เจแปนเริ่มฉุกคิดอะไรได้อีกครั้ง ไหนจะคำพูดของเหล่าเพื่อน ๆ เขาที่เคยพูดกรอกหูกันมาตลอดแต่เจแปนไม่เคยสนใจฟังนั่นอีก
“มันรักเจแปน” พัตเตอร์บอก โดยคราวนี้คำตอบของอีกฝ่ายก็ทำให้เจแปนรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตอนแรกเขานึกว่าที่ผ่านมามันก็แค่การหลอกลวง เพื่อผลประโยชน์เท่านั้น “แต่มันรักแปนน้อยกว่าตัวเองไง แล้วยิ่งตอนนี้...”
“ยิ่งตอนนี้อะไร”
“นี่มันจะเป็คำถามที่สามแล้วนะ”
“จะกี่คำถามก็พูดมาเถอะน่า เดี๋ยวจ่ายคืนให้หมดนั่นแหละ” เจแปนว่าทั้งเสียงหงุดหงิด
“ยิ่งตอนนี้มันกำลังมีคนอื่น ความรักที่มีให้แปนน้อยอยู่แล้ว มันก็ยิ่งน้อยกว่าเดิมจนแทบไม่เหลือยังไงล่ะและมันก็คงจะกลับมารักแปนมากเป็พิเศษ ก็ตอนที่มันกำลังเดือดร้อนเท่านั้น” พูดจบ พัตเตอร์ก็เดินเข้ามาประชิดกันเอาไว้ทันที อีกฝ่ายไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น แต่กลับเลือกที่จะจับเขาอุ้มพาดบ่า เตรียมพากลับเข้าไปในห้องนอน
“เราขอเปลี่ยนจากสามจูบ เป็เซ็กซ์ก็แล้วกันนะ” พัตเตอร์เอ่ย เมื่ออีกฝ่ายได้วางร่างเขาลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว