เฉินชิ่งเป็นักเรียนซ้ำชั้นเลยยังต้องเข้าเรียนหนังสืออยู่ระยะทางจากเขตอันชิ่งถึงหมู่บ้านชีจิ่งนั้นไม่สั้นเซี่ยเสี่ยวหลานนึกว่าอย่างไรก็ต้องรอถึงสุดสัปดาห์หน้าเขาถึงจะกลับมาได้คิดไม่ถึงวันนี้ตอนเย็นเขาก็มาอีกแล้ว
“วันนี้พี่ไม่ได้ไปโรงเรียนหรือ?”
ท้องฟ้ามืดแล้ว เฉินชิ่งหน้าแดงหรือไม่ ย่อมไม่ชัดเจนเขาถือของมาหนึ่งกระเป๋าใหญ่ มอบให้แก่เซี่ยเสี่ยวหลาน “ฉันไม่ได้บอกว่าจะยืมหนังสือมาให้เธอหรือ? นี่เป็ของเพื่อนร่วมชั้นของฉันเอง ปีนี้เขาสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วหนังสือมัธยมปลายก็ไม่ได้ใช้ ฉันเลยยืมมาให้เธอ”
เฉินชิ่งกล่าวอย่างผ่อนคลาย
อันที่จริงเขาวุ่นอยู่ทั้งวันถึงยืมหนังสือมาได้สำหรับเฉินชิ่งแล้วการยืมแบบเรียนเก่าธรรมดาสักชุดหนึ่งไม่ใช่เื่ยากแต่เ้าของเดิมของแบบเรียนนี้สอบติดมหาวิทยาลัยแล้ว ก็แปลว่าแบบเรียนเก่าที่เขาใช้เพื่อเตรียมสอบนั้นย่อมมีคนมากมาย้า่ชิงเพราะบนหน้าแบบเรียนมีร่องรอยจดบันทึกของนักศึกษามหาวิทยาลัยนั่นเองหากอ่านบันทึกบนแบบเรียน ไม่แน่ว่าบางจุดที่งงงวยอาจเข้าใจมากขึ้นผลการสอบสามารถเพิ่มคะแนนขึ้นได้อีกนิด เช่นนั้นก็เป็การเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตแล้ว
และที่จริงแบบเรียนชุดนี้เฉินชิ่งยืมมาให้กับตนเอง
เพื่อนร่วมชั้นได้ไปเรียนหนังสือต่างถิ่นแล้ววันนี้เฉินชิ่งถึงได้ไปรับแบบเรียนจากบ้านของเพื่อนร่วมชั้น แต่พอเขาคิดอีกทีกลับเลือกนำแบบเรียนซึ่งมีลายมือจดบันทึกของนักศึกษามหาวิทยาลัยชุดนี้ให้เซี่ยเสี่ยวหลานยืมเซี่ยเสี่ยวหลานอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัย เฉินชิ่งไม่รู้ว่าพื้นฐานของเธอแย่ขนาดไหนไม่เคยเรียนมัธยมปลายอย่างไรเสียจำเป็ต้องใช้แบบเรียนที่มีบันทึกของนักศึกษามากกว่าตัวเขาอยู่แล้ว
เฉินชิ่งไม่คิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานปล่อยใจไปกับการเพ้อฝันแม้แต่น้อยหลังจากความตกตะลึงในคราแรกผ่านพ้นไปเขากลับยิ่งนับถือความพยายามพัฒนาตนเองของเซี่ยเสี่ยวหลาน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รับรู้เลยว่าในแบบเรียนหนึ่งชุดยังมีความซับซ้อนอลหม่านถึงเพียงนี้แต่เฉินชิ่งสามารถเอาแบบเรียนมาให้ได้อย่างรวดเร็ว แสดงว่าเขาใส่ใจเื่ของเธอเฉินชิ่งกับเธอไม่มีมิตรภาพลึกซึ้งอะไรต่อกันด้วยซ้ำเมื่อก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานมาเยือนหมู่บ้านชีจิ่งก็มิใช่ว่าพบตัวกันและกันได้ง่ายๆครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ถึงเรียกว่ารู้จักกันโดยแท้จริง
คนเขาใส่ใจเธอ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงรู้สึกซาบซึ้ง
“พี่เฉินชิ่ง พี่ทำให้ฉันไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดีเลย...”
หลังของเฉินชิ่งขนานกับแสง ไฟในบ้านหลิวปีนป่ายข้ามกำแพงมาส่องสว่างดวงหน้าขาวผ่องของเซี่ยเสี่ยวหลานได้พอเหมาะพอดี
เฉินชิ่งรู้สึกว่าทั้งใบหน้าของตนแทบจะลุกเป็ไฟเขารีบสงบจิตใจแล้วพูดเื่จริงจังต่อ
“วันนี้ฉันถามแทนเธอแล้ว เซี่ยนอีจง [1] ไม่ใช่ไม่รับนักเรียนระหว่างภาคเรียนนะแต่เธอมีวุฒิแค่มัธยมต้น ต้องผ่านการสอบของโรงเรียนก่อน—และไม่ว่าเธอจะเลือกเรียนสายศิลป์หรือสายวิทย์ก็ต้องผ่านคะแนนขั้นต่ำของ ‘ต้าจงจวน [2] ’ ในปีที่แล้ว เซี่ยนอีจงถึงจะรับเธอเข้าเรียนระหว่างภาค ”
เฉินชิ่งก้มหน้าก้มตา น้ำเสียงประหม่าและดูผิดหวัง
เขาร้อนรนใจและรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จัดการเื่นี้ให้ดี
ปัจจุบันนักเรียนมัธยมเข้าร่วมการสอบเกาเข่าสามารถสอบได้สี่ระดับได้แก่ มหาวิทยาลัยชั้นนำ มหาวิทยาลัยทั่วไป วิทยาลัยเฉพาะทาง และต้าจงจวน
เพื่อการรับรองอัตราเข้าเรียนของเซี่ยนอีจงล้วนมีคะแนนจำกัดสำหรับผู้เรียนซ้ำชั้นที่ไม่ใช่เด็กในโรงเรียนทว่าการสอบผ่านคะแนนขั้นต่ำของ ‘ต้าจงจวน’ ในปีที่แล้วนั้นพูดง่ายกว่าลงมือ คะแนนของเฉินชิ่งสามารถอยู่ 15 อันดับแรกในชั้นมาตลอด ผลการเรียนปีที่แล้วถือว่าทำได้มั่นคงแต่ดันพลั้งพลาดตอนคาดคะเนคะแนนก่อนสอบจึงคลาดกับมหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันแค่ระยะไหล่กระทบกัน ด้วยผลการเรียน 15 อันดับแรกในชั้นเรียนของเขา คะแนนรวมแล้วยังไม่ถึงขั้นต่ำของปริญญาตรีด้วยซ้ำ...เซี่ยเสี่ยวหลานจบการศึกษามัธยมต้น ต้องทดสอบเข้าเรียน เธอจะสามารถทำจนได้คะแนนผ่านต้าจงจวนของปีที่แล้วได้ไหม?
เฉินชิ่งเองยังเป็นักเรียนคนหนึ่งเขาจะมีเส้นสายคนช่วยจัดการเื่นี้ได้อย่างไรทำได้เพียงปฏิบัติตามกฎของโรงเรียนเท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอยู่นานสองนานเฉินชิ่งยิ่งร้อนใจมากขึ้น
“เธออย่ากังวลเลย ฉันจะกลับไปคุยกับปู่ของฉันให้เขาอาจสามารถหาคนในตัวเมืองได้ ต่อให้เข้าเซี่ยนอีจงไม่ไหว แต่เซี่ยนเอ้อร์จง [2]ต้องเข้าได้แน่นอน”
คุณภาพการศึกษาของเซี่ยนเอ้อร์จงย่อมด้อยกว่าเซี่ยนอีจงเล็กน้อย
แต่ถ้าไม่มีทางเลือก เซี่ยนเอ้อร์จงก็ยังเข้าไปเรียนได้เช่นกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานหลุดจากภวังค์กลับมา รีบเร่งอธิบายตอบ
“พี่เฉินชิ่งเข้าใจผิดแล้ว เื่นี้ฉันไม่อยากรบกวนปู่เฉิน ไม่ใช่ว่าฉันเห็นว่าเป็คนไกลตัวหรอกฉันแค่คิดว่าถ้าขนาดคะแนนขั้นต่ำของต้าจงจวนยังทำไม่ได้การที่ฉันเข้าเรียนระหว่างภาคเรียนแล้วร่วมสอบเกาเข่าปีหน้าก็คงจะไม่มีความหมายอะไรน่ะสิ...ใช่แล้ว ปีนี้คะแนนรับเข้าเรียนต้าจงจวนสายวิทย์ของมณฑลเราคือเท่าไรกันหรือ?”
เป็ความเข้าใจผิดของตัวเองหรือเปล่า?
หรือก็คือผู้ไม่รู้อะไรย่อมไร้ความเกรงกลัวสินะ
มักรู้สึกอยู่เสมอว่าเซี่ยเสี่ยวหลานบอกจะสอบให้ผ่านต้าจงจวนนั้นง่ายเหมือนไปขายไข่ไก่ในตัวเมืองทว่านี่ก็มิใช่การขายไข่ไก่ ทำธุรกิจได้ ไม่ได้แปลว่าจะเรียนได้
“สายวิทย์ต้าจงจวนปีนี้คือ 350 คะแนน คะแนนรวมคือ 690 เสี่ยวหลาน ฉันแนะนำว่าเธอเรียนสายศิลป์ดีกว่า มีวิชาที่ท่องจำมากไม่เหมือนสายวิทย์ที่ต้องเรียนฟิสิกส์ เคมี...”
ปกตินักเรียนหญิงที่เรียนสายวิทย์เจอวิชาอย่างฟิสิกส์เคมีพวกนี้แล้วสมองถึงกับพร่ามัวเลยทีเดียว
ที่จริงเวลาเฉินชิ่งเผชิญหน้ากับแบบฝึกหัดเ่าั้ในหัวเขาก็สับสนเช่นกัน
เขาแนะนำเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความหวังดีแต่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับฟังไม่เข้าหู
“ทดสอบเข้าเรียนมีเวลากำหนดไหม?”
“วันจันทร์หน้า”
“ถ้าอย่างนั้นฉันอ่านหนังสือพวกนี้ก่อน วันจันทร์หน้าก็ไปสอบ”
ยังมีเวลาอีกเจ็ดวันนักเรียนมัธยมต้นอย่างเธอจะไปร่วมสอบเข้าระหว่างภาคเรียนของเซี่ยนอีจงหรือ?
เฉินชิ่งไม่รู้จะกล่าวว่าอะไรดี
เขาเกือบสติเตลิดจากความผิดหวังด้วยซ้ำ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานช่างมีความมั่นใจเหลือล้นเฉินชิ่งเกรงว่าการสอบเข้าเรียนในวันจันทร์จะทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สมหวัง
เซี่ยเสี่ยวหลานถือหนังสือเข้าบ้านสนาชิกสามคนในบ้านล้วนมองเธอด้วยสายตาเฝ้ารอ
ฟ้าก็มืดแล้ว เฉินชิ่งมาหาเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสองคนอยู่ข้างนอกตีนกำแพงพูดจาอุบๆ อิบๆ กันตั้งนานเมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานกลับเข้าบ้านยังถือกระเป๋าใส่ของใบใหญ่มาด้วยทุกคนไม่อยากเข้าใจผิดก็ย่อมยากนัก
หลิวเฟินอยากจะพูดแต่ยังเงียบไว้
เธอคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ค่อยเหมาะสมจะเป็คู่หมายกับเฉินชิ่ง
ไม่ใช่เพราะเธอคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่คู่ควรกับเฉินชิ่งแต่เป็เพราะสองแม่ลูกยังไม่ได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในหมู่บ้านชีจิ่งหากเซี่ยเสี่ยวหลานกับเฉินชิ่งคบหากัน คนในหมู่บ้านต้องซุบซิบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานใฝ่สูงเป็แน่หลิวเฟินไม่อยากให้ข่าวลือแบบนั้นมาพัวพันกับเซี่ยเสี่ยวหลานอีกมันไม่ง่ายเลยกว่าพวกเธอจะออกจากหมู่บ้านต้าเหอแล้วมีที่พักพิงชั่วคราวได้
ครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้านเฉินเขาเป็ถึงใครกันเล่า?
เฉินชิ่งต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่นอนถ้าคบหากับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วถ่วงรั้งการเรียนเข้าต่อให้เป็ลุงต๋าก็ไม่มีทางชอบเซี่ยเสี่ยวหลานได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นในตระกูลเฉินจะคิดอย่างไร
หลิวเฟินร้อนใจจนเดินวนเป็วงกลมไม่รู้ว่าควรเปิดประเด็นอย่างไรให้ตรงจุดพอดี
หลิวหย่งส่งสัญญาณให้น้องสาวอย่าลนไป ตนเองเปิดปากกล่าวก่อน
“เฉินชิ่งบ้านลุงต๋าสินะ? วันนี้ลุงเห็นเ้าหนุ่มนั่นไปเรียนหนังสือแล้ว ทำไมถึงกลับมาหมู่บ้านเล่าเอาของอะไรมาให้หลานกัน?”
เซี่ยเสี่ยวหลานนำหนังสือในกระเป๋าใบเบ้อเริ่มวางลงบนโต๊ะ “พี่เฉินชิ่งช่างเป็คนดีเหลือเกิน เขาเอาแบบเรียนทบทวนมาให้ฉันด้วยในเมื่อทุกคนเห็นแล้ว ฉันก็ไม่คิดปิดบัง—ฉันอยากสอบเกาเข่าในปีหน้าเลยถามพี่เฉินชิ่งดูว่าสามารถเข้าเรียนกลางคันที่เซี่ยนอีจงได้หรือไม่”
“อะไรนะ?!”
“เกาเข่า?”
“แค่กๆ ”
หลี่เฟิ่งเหมยผู้กำลังดื่มน้ำอยู่ทำตัวเองสำลักในทันที
เธอกลั้นจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด หลิวหย่งจ้องภรรยาด้วยสายตาดุๆพยายามถามไถ่หลานสาวด้วยใบหน้าที่คิดว่ามีไมตรีมากที่สุด
“ทำไมถึงคิดอยากจะสอบเกาเข่าเล่า?”
เซี่ยเสี่ยวหลานมีความรู้เท่าไร คนอื่นไม่รู้ย่อมไม่แปลกแต่ลุงอย่างเขาคนนี้จะไม่รู้ได้หรือ? ด้านอื่นไม่ว่ากัน กล่าวถึงแค่เื่เรียนหนังสือนี่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เชี่ยวชาญเอาเสียจริงๆ ตระกูลเซี่ยมีเซี่ยจื่ออวี้ราวกับยึดครองความมีวัฒนธรรมในรัศมีสิบลี้รอบบ้านไปหมดแล้วนั่นเป็เด็กสาวผู้เรียนหนังสือเก่งที่สุดเท่าที่หลิวหย่งเคยพบ
ไม่รู้เซี่ยเสี่ยวหลานไปกระตือรือร้นอะไรมาบางทีอาจคิดว่าตนเองทำธุรกิจได้คล่องแคล่วดี จึงอยากลองท้าดวลกับเกาเข่าบ้าง?
เซี่ยเสี่ยวหลานตอบอย่างเป็เื่ธรรมดา “ควรมีทะเบียนบ้านในเมืองไว้ดีกว่า อีกหน่อยซื้อบ้านอะไรก็สะดวกไม่ใช่ว่าสอบติดมหาวิทยาลัยถึงมีทะเบียนบ้านหรือ?”
ลูกสาวของแม่ มหาวิทยาลัยมันสอบง่ายขนาดนั้นหรือ?
ฟังน้ำเสียงของเธอแล้วเหมือนเป็เื่ง่ายอย่างไปซื้อเกลือสักถุงหากง่ายดายจริงๆ หลานชายครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านเฉินจะหลุดอันดับได้หรือ? นับคนรอบตัวดูแล้วมีนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไหนกัน มิเช่นนั้นนักศึกษาเซี่ยจื่ออวี้นั่นก็ไม่ล้ำค่าเสียเท่าไรหรอก!
คนอื่นเขาเรียนมัธยมปลายสามปียังสอบเข้าเรียนซ้ำชั้นไม่ได้เลย
การเรียนซ้ำเป็าที่แสนยืดเยื้อทำารอบสองก็ใช่ว่าได้ผลดั่งใจหวังเธอเป็เพียงนักเรียนผู้จบการศึกษาระดับมัธยมต้น... หลิวหย่งรู้สึกว่าตัวเองปวดฟัน[3] ขึ้นมาแล้ว
เชิงอรรถ
[1]县一中 เซี่ยนอีจง มากจาก 安庆县一中 คือโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของเขต
[2]县二中 เซี่ยนเอ้อร์จง ลักษณะคล้ายเซี่ยนอีจงแต่เป็โรงเรียนมัธยมอันดับสองของเขตแทน
[3]大中专 ต้าจงจวน คือ อาชีวศึกษาระดับสูงและระดับกลาง โดยแยกเป็ต้าจงจวน (大专) เรียนสองปี รับนักเรียนจากการสอบเกาเข่า และเสี่ยวจงจวน (小中专) เรียนสี่ปี รับนักเรียนที่จบมัธยมต้นเข้าเรียน
[4]牙疼 ปวดฟัน หมายถึงไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดี