หลิวหย่งพูดไม่ออก
แม้หลิวเฟินจะคิดว่าลูกสาวเธอดีไปเสียทุกอย่าง ยังไม่กล้าเชื่อในสิ่งนี้ด้วยซ้ำ
อัตราสอบติดอะไรพวกเขาล้วนไม่เข้าใจ แต่คนชนบทก็มีวิธีพิจารณาของตนเอง มองไปรอบตัวว่ามีคนสอบติดมหาวิทยาลัยเท่าไรย่อมรู้แล้ว หลังจากฟื้นฟูเกาเข่า เซี่ยจื่ออวี้เป็หนึ่งเดียวในหมู่บ้านต้าเหอที่สอบติด หวังเจี้ยนหัวไม่ใช่คนของหมู่บ้านต้าเหอ เขาเป็เพียงจือชิง [1] ที่ลงชนบทมายังหมู่บ้านต้าเหอชั่วคราว แค่ในหมู่บ้านชีจิ่ง เฉินชิ่งได้รับการอบรมที่เข้มงวดจากครอบครัวั้แ่เด็ก คนในหมู่บ้านก็เห็นว่าเขาฉลาดปราดเปรื่อง สถานะทางครอบครัวถือว่าเป็ชั้นยอดในชนบท แม้แต่คนที่ร่ำเรียนเป็ชีวิตจิตใจยังหลุดอันดับเกาเข่าของปีนี้ได้... พอเซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าจะสอบเกาเข่าในปีหน้า ผู้าุโทั้งสามล้วนตกตะลึงกันหมด
ป้าสะใภ้ค่อนข้างสงสัยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานสนใจในเฉินชิ่งอยู่บ้าง มีผู้ใครไม่เคยเห็นเฉินชิ่งพบเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วหน้าแดงหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานถูกเซี่ยจื่ออวี้แย่งคนรักไป คงรู้สึกอับอาย เลยคิดอยากหานักศึกษาอีกสักคนมาเป็คู่หมาย แบบสำเร็จรูปไม่มี ก็หาเฉินชิ่งผู้มีศักยภาพคนนี้แทน? แต่ไม่น่าถึงขั้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามเฉินชิ่งไปหรอกน่า!
เฉินชิ่งคือคู่หมายที่ดีแน่นอน คนในหมู่บ้านเห็นชายหนุ่มเติบโตมาจนรู้ไส้รู้พุง การอบรมสั่งสอนในครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านเฉินเข้มงวดเหลือเกิน เฉินชิ่งเองก็มารยาทงาม บัณฑิตย่อมดูคนออก ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานชอบพอเฉินชิ่งจริงเรียกได้ว่าเป็การจับคู่ที่ดี หลี่เฟิ่งเหมยฉุกนึกขึ้นมาได้ จึงรีบช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานอธิบายอีกแรง
“เสี่ยวหลานอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เื่ดีหรือ? ให้ตระกูลเซี่ยเห็นเสียหน่อยว่าพวกเขาตามืดบอดขนาดไหน!”
สอบติดหรือไม่ติดนั้นเอาไว้ก่อน เธอหวังจะให้เสี่ยวหลานมีคู่ชีวิตที่ดีดังนั้นการจะลดระยะห่างระหว่างหนุ่มสาววัยรุ่นให้ได้ใกล้ชิดกันขึ้น ย่อมต้องมีหัวข้อสนทนาที่สัมพันธ์กันเมื่อมีความสนใจในเื่คล้ายๆ กัน ย่อมสนิทกันได้ง่ายขึ้น ดังนั้นหัวข้อเื่การเรียนต่อหรือสอบเข้านี้ย่อมเป็ตัวแปรที่ดีที่ทำให้เสี่ยวหลานสนิทกับเฉินชิ่งแน่นอน!
อนาคตเฉินชิ่งต้องเป็คนเมืองแน่นอน จะกลับมาดูตัวหาภรรยาในชนบทได้อย่างไร? ตอนนี้วัยรุ่นในเมืองล้วนสนใจความรักเสรี [2] กันทั้งนั้น การดูตัวก็ต้องเริ่มจากชายหญิงที่มีคุณสมบัติคู่ควร เมื่อรู้จักนานเข้าเดี๋ยวก็กลายเป็ความรักเสรีไปเองนั่นแหละ เฉินชิ่งยิ่งไม่ใช่พวกไม่เอาไหนที่หาภรรยาไม่ได้ หลี่เฟิ่งเหมยนั้นคิดเสร็จสรรพด้วยไหวพริบของตนเอง
หลิวหย่งกลับไม่รู้ความคิดของภรรยา แต่เขาก็รู้สึกว่าควรให้กำลังใจเสียหน่อย เลยเปลี่ยนเจตนาของบทสนทนาทันที
“อย่างนั้นก็ไปลองเถอะ สอบติดแล้วยิ่งเป็เื่ดี!”
ส่วนหลิวเฟินได้แต่พึมพำตะกุกตะกัก
เซี่ยเสี่ยวหลานจึงอธิบายเพิ่มอีกรอบ “เซี่ยนอีจงไม่ใช่อยากเรียนก็เรียนได้ อีกไม่กี่วันต้องไปร่วมการสอบของพวกเขา สอบผ่านถึงจะเข้าเรียนระหว่างภาคเรียนได้ สอบไม่ผ่านคงสอบเกาเข่าปีหน้าไม่ได้แน่”
ต่อให้เธอสอบผ่านแล้วก็ยังต้องทำธุรกิจต่อ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถสะบัดเื่ของตนเองออกไป แล้วให้ลุงดูแลการใช้ชีวิตของคนทั้งครอบครัวคนเดียว ทั้งยังต้องรับผิดชอบส่งเธอเรียนหนังสืออีก เช่นนั้นจะไปคุยกับคนในเซี่ยนอีจงได้อย่างไร ดูแล้วคงไม่เพียงแต่ต้องสอบผ่านขั้นต่ำของต้าจงจวน 350 คะแนนเท่านั้น ถ้าคะแนนสูงขึ้นอีกหน่อย โรงเรียนอันดับหนึ่งถึงจะยอมรับคุณสมบัติของเธอได้ง่ายขึ้นหรือเปล่า?
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าอาจจะสอบไม่ติด แต่หลิวเฟินกลับรีบร้อนเสียแล้ว
“ต้องสอบได้แน่ ่นี้ให้แม่ไปขายปลาไหลเอง ลูกอ่านหนังสืออยู่บ้านเถอะ!”
ถ้าได้เรียนมหาวิทยาลัยจริง ไม่หวังมากขนาดเรียนมหาวิทยาลัยในปักกิ่งเหมือนเซี่ยจื่ออวี้ ต่อให้เป็อาชีวศึกษา เมื่อเรียนจบแล้วรัฐก็จะจัดสรรอาชีพให้ หากเซี่ยเสี่ยวหลานได้กินข้าวหลวง [2] หลิวเฟินถึงจะไม่กังวลใจและปล่อยวางได้จริงๆ ! ธุรกิจส่วนตัวรายได้ไม่น้อย แต่จะมีหน้ามีตาแถมมั่นคงเหมือนกินข้าวหลวงได้อย่างไร
เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายศีรษะ “ในเมืองทางนั้นธุระยังไม่เรียบร้อย วันสองวันนี้ไม่เร่งรีบ ฉันจะลองอ่านดูพลิกดูหนังสือไปก่อน”
ถ้าอีกไม่กี่วันสุดท้ายเธอไม่ผ่านการสอบเข้าเรียนของเซี่ยนอีจงขึ้นมา เธอจะตั้งใจทบทวนอีกหลายๆเดือนแล้วรอถึงปีหน้าค่อยเข้าร่วมอีกรอบก่อนสอบคัดเลือกครั้งแรก เซี่ยเสี่ยวหลานจิตใจมุ่งมั่น หลิวเฟินกล่อมเธอไม่ได้ แม้แต่หลิวหย่งยังไล่เธอให้รีบไปอ่านหนังสือ
เฉินชิ่งจัดการได้ละเอียดถี่ถ้วน ยืมแบบเรียนทั้งชุดั้แ่มัธยมปลายปีหนึ่งถึงปีสามมาให้เธอ เซี่ยเสี่ยวหลานเปิดแบบเรียนเ่าั้ไปมา ค่อยๆ ระลึกความทรงจำในตอนที่ยังไม่ข้ามมิติมาสมัยที่ต้องติวข้อสอบของปีก่อนๆ เธอมีความทรงจำบางส่วนเกี่ยวกับการสอบเกาเข่าปี 84 ที่เธอกำลังจะต้องไปสอบนี้ เธอนึกว่าตัวเองลืมไปหมดแล้ว บางทีอาจเป็เพราะความสามารถเพิ่มเติมที่มากับการเกิดใหม่ หรือบางทีอาจเป็เพราะตัว ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ อยู่ในสภาวะร่างกายที่สมบูรณ์พร้อม จึงทำให้เธอนึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้
แม้เซี่ยเสี่ยวหลานในโลกปัจจุบันจะเข้าร่วมการสอบเกาเข่าในปี 1995 แต่เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับเกาเข่าของปี 84 มาก่อน—วิชาคณิตศาสตร์ของเกาเข่ารอบหน้าเป็ข้อสอบระดับนรกที่หินที่สุดในประวัติศาสตร์ หลายปีผ่านไปบนอินเตอร์เน็ตล้วนกล่าวขานถึงตำนานของมัน พวกเขาบอกว่าคะแนนเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตร์ของผู้เข้าสอบทั้งประเทศในปี 84 อยู่ที่ยี่สิบกว่าคะแนนเท่านั้น มีบางคนออกมาจากสนามสอบแล้วหัวหนักเท้าเบา ในใจสิ้นหวังจนอยากะโร่ำไห้ ถึงกับมีผู้เข้าสอบที่สภาพจิตใจแย่ละทิ้งวิชาหลังจากนั้นไปด้วยเหตุนี้
หลังวิชาคณิตศาสตร์ผ่านไป สนามสอบมีที่ว่างเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย!
ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ของปี 84 ได้กลายเป็มาตรฐานคณิตศาสตร์โอลิมปิกในอนาคต แต่ใน่เวลายุค 80 ผู้เข้าสอบไม่แม้แต่จะรู้จักแิของ ‘คณิตศาสตร์โอลิมปิก’ ด้วยซ้ำ
เซี่ยเสี่ยวหลานใจเต้นตึกตัก
เซี่ยเสี่ยวหลานในปี 95 นั้นพวกเธอเคยวิเคราะห์ข้อสอบจริงของปีก่อนๆ ทว่ากลับข้ามวิชาคณิตศาสตร์ของปี 84 ไปเลย เพราะอาจารย์คิดว่าไม่จำเป็นัก จะออกข้อสอบยากขนาดนั้นไปอีกทำไม? แต่เซี่ยเสี่ยวหลานเคยทำข้อสอบชุดนั้น ทำครั้งแรกคะแนนต่ำเหลือเกิน ด้วยนิสัยทะนงไม่ยอมแพ้ หากยังไม่เข้าใจจุดสำคัญในข้อสอบก็จะไม่ปล่อยผ่านไป ข้อสอบชุดนั้นเธอทำซ้ำหลายรอบ จนกลายเป็ว่าเธอจำเนื้อหาของข้อสอบเกาเข่าในปี 84 ได้แม่นนยำ แต่ในปี 95 นั้นเธอกลับมีความทรงจำเกี่ยวกับมันแค่เพียงเลือนลาง
เสี่ยวหลานค่อยๆ นึกถึงข้อสอบที่เธอในตอนนี้กำลังจะต้องไปสอบ วิชาคณิตศาสตร์ปรนัยข้อแรกคือเื่เซต เธอถึงขั้นนึกตัวเลขและคำตอบได้อย่างชัดเจน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่ ยังคงรีบจดลงบนสมุดต่อไป
“เซต X={(2n+1)π,nจำนวนเต็ม} และเซต Y={(4k±1)π,kจำนวนเต็ม} ความสัมพันธ์ระหว่าง... ”
นึกออกจริงๆ ด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก
เธอไม่หวังให้ตนเองนึกออกทั้งหมด คณิตศาสตร์คะแนนเต็ม 120 คะแนน แค่เธอสามารถสอบได้ 90 คะแนนขึ้นไป คาดว่าจะกำจัดผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ของประเทศได้แล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานอ่านหนังสือจนถึงเที่ยงคืน จัดระเบียบเนื้อหาทั้งคณิตศาสตร์และภาษาจีนสองวิชาั้แ่ปีหนึ่งถึงปีสามเรียงตามบทเรียนหนึ่งรอบ จุดที่ต้องท่องของวิชาภาษาจีนนั้นเธอลืมจนเกือบหมดแล้ว ส่วนวิชาอาศัยความเข้าใจอย่างคณิตศาสตร์นี้ เธอเพียงแค่จำสูตรให้ดี เวลาที่ใช้ทบทวนใหม่กลับรวดเร็วกว่าวิชาที่ต้องท่องจำอย่างภาษาจีนเสียอีก
เซี่ยเสี่ยวหลานยังมีข้อได้เปรียบที่ผู้อื่นเทียบไม่มีอีกหนึ่งอย่าง เธอเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติ มีงานหลายอย่างที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ และเซี่ยเสี่ยวหลานจะทำหน้าที่หลัก อย่างอื่นไม่รู้ แต่ภาษาอังกฤษนั้นเธอผ่านการร่ำเรียนและศึกษามาอย่างหนัก ปัจจุบันนี้นักเรียนสายวิทย์ต้องสอบมากกว่าสายศิลป์หนึ่งวิชา ได้แก่ ภาษาจีนและคณิตศาสตร์ วิชาละ 120 คะแนน ภาษาอังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี และรัฐศาสตร์ วิชาละ 100 คะแนน ชีววิทยา 50 คะแนน รวมแล้วเป็ 690 คะแนน เซี่ยเสี่ยวหลานต้องสอบให้ได้ 350 คะแนน เซี่ยนอีจงจึงจะสามารถอนุญาตให้เธอเข้าเรียนกลางภาคเรียนได้
เนื้อหาท่องจำวิชาภาษาจีนได้ลืมไปเยอะมากแล้ว แต่เธอกลับมีความมั่นใจในวิชาคณิตศาสตร์
ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์เป็สองวิชาที่เธอสามารถคว้าคะแนนมาได้ง่ายที่สุด ก่อนนอนเซี่ยเสี่ยวหลานตระเตรียมทบทวนวิชาภาษาอังกฤษในวันพรุ่งนี้หนึ่งรอบ ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยาก็ไม่รู้ว่าเธอยังจำได้มากเท่าไร... รัฐศาสตร์ยิ่งไม่ต้องคิด ทำไมตอนนี้ถึงนับวิชารัฐศาสตร์เป็วิชาสอบของสายวิทย์กัน? เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เข้าใจจริงๆ
อย่างไรเสียตอนเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนั้น วิชารัฐศาสตร์เป็วิชาที่นักเรียนสายศิลป์สอบกันต่างหาก!
ก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานจะหลับใหลไป ในสมองยังคงนึกถึงสูตรคณิตศาสตร์เ่าั้ การนอนครั้งนี้เธอกลับรู้สึกปราศจากความกังวลเป็พิเศษ หลังจากตื่นนอนตอนเช้า หลี่เฟิ่งเหมยบอกเธอว่าวันนี้หลิวเฟินและหลิวหย่งออกไปรับซื้อปลาไหลแล้ว
“จักรยานน่ะลุงของหลานใช้ขี่ออกไปแล้ว หลานก็อยู่บ้านตั้งใจอ่านหนังสือเถอะ”
สิ่งที่หลี่เฟิ่งเหมยถ่ายทอดคือความเห็นพ้องต้องกันของคนในบ้าน สามต่อหนึ่งเสียง เซี่ยเสี่ยวหลานแพ้แบบไม่มีอะไรให้แย้ง ทำได้แค่อ่านหนังสืออยู่บ้านหนึ่งวัน ตอนเย็นหลิวเฟินและหลิวหย่งจะนำปลาไหลที่รับซื้อกลับมาบ้าน แม้แต่เทาเทายังถูกใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่อนุญาตให้เขาส่งเสียงดังรบกวนเซี่ยเสี่ยวหลาน คนในครอบครัวจะทำอะไรจึงมือเบาเท้าเบาไปตามๆ กัน
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดหนัก ทั้งครอบครัวพร้อมใจกันช่วยเหลือหากเธอไม่ผ่านการสอบเข้าเรียนเซี่ยนอีจง นั่นคงจะพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆ แล้ว
เชิงอรรถ
[1] จือชิง หมายถึง ปัญญาชนที่ถูกส่งไปทำงานในชนบทค
[2] 自由恋爱 ความรักเสรี หมายถึง ผู้คนทำความรู้จักกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน คบหาเป็คนรักกันโดยไม่มีใครมาเป็ธุระให้หรือบังคับขู่เข็ญ
[3] 皇粮 ข้าวหลวง หมายถึง อาหารหรือสิ่งของที่จัดสรรแบ่งให้โดยรัฐบาล คนที่ ‘กินข้าวหลวง’ ก็มักจะเป็คนที่ทำงานในหน่วยงานของรัฐ