คนที่เดินนำหน้ามานั้นคือชายวัยกลางคนที่มีอายุประมาณสี่สิบกว่าปี แววตาโกรธเกรี้ยว สีหน้าเคร่งเครียดเครื่องแต่งกายของเขาดูดีแต่ไม่หรูเกินไป แสดงให้เห็นถึงฐานะพ่อบ้านของเขา เขาคือพ่อบ้านจ้าวที่นายทหารรักษาการณ์เพิ่งพูดถึงเมื่อครู่จ้าวเฉิน นั่นเอง
ด้านหลังของจ้าวเฉินนั้นมีกลุ่มคนสิบกว่าคนเดินตามหลังมาด้วยพวกเขาก็คือเหล่านักรบของคฤหาสน์จ้าว ซึ่งหลินหยางที่ใช้วิชาเนตรเพลิงสุพรรณมองไปที่พวกเขาแล้วก็พบว่าหนึ่งในนั้นมียอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นต้นที่ทำหน้าที่เป็ครูฝึกด้วย
เมื่อเทียบกับตระกูลเวินแล้วทั้งตระกูลเวินนั้นมียอดฝีมือระดับเซียนเทียนอยู่แค่สี่คนเท่านั้นอีกทั้งยังมีฐานะเป็ถึงผู้าุโด้วย แต่ที่ราชอาณาจักรโล่ยื่อแห่งนี้แค่ระดับครูฝึกของตระกูลระดับสามก็มีความสามารถระดับเซียนเทียนแล้วความแตกต่างด้านพลังของทั้งสองอาณาจักรนั้นไม่ใช่น้อยๆ เลย
จ้าวเฉินแต่เดิมนั้นจะพาคนมุ่งหน้าไปทางประตูใหญ่ของคฤหาสน์แต่ตอนที่กำลังเดินผ่านสวนอยู่นั้นก็มองไปเห็นสวี่เหยากับชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมากกว่าเดิมทันที
คฤหาสน์จ้าวแห่งนี้มีกฎระเบียบที่ค่อนข้างจะเข้มงวดในตอนที่สวี่เหยาหนีออกไปนั้น ตัวเขาเองก็โดนลูกหลงถูกลงโทษไปด้วยพอรู้ว่าสวี่เหยากลับมา ก็กำลังนึกหาวิธีที่จะจัดการกับอีหนูนั่นอยู่พอดี แต่มันกลับเข้ามานั่งเล่นในคฤหาสน์อย่างสบายใจเฉิบเสียอย่างนั้น
บ้าบอสิ้นดี!
ดูท่าทางอีหนูนี่พอได้ออกไปข้างนอกมานานปีกว่าแล้วจะรู้สึกคันเนื้อคันตัวอยากโดนหวดดจนทนไม่ไหวแล้วสินะ!!
จ้าวเฉินนำคนทั้งหมดเข้าไปที่กลางสวนสายตากวาดมองไปทางหลินหยางและหั่วเอ๋อร์ทีหนึ่งแต่ด้วยระดับพลังของเขาแล้วไม่มีทางเห็นถึงความแปลกประหลาดใดๆ ได้แน่นอนจากนั้นเขาก็หันมามองทางสวี่เหยาด้วยแววตาเ็า
“อีหนู!”
ในตอนนี้เองที่เขาเพิ่งจะเริ่มสังเกตสวี่เหยาแบบละเอียดอีกครั้ง
เขาคาดไม่ถึงเลยว่า สวี่เหยากลับมาคราวนี้จะดูเปลี่ยนไปจากเดิมมากขนาดนี้
ถ้าหากเปรียบเทียบสวี่เหยาเมื่อก่อนหน้านี้กับดอกไม้แล้วละก็ นางเป็แค่ดอกเดซี่ที่อาจจะดูมีเสน่ห์แอบแฝงอยู่บ้างแต่ก็ไม่โดดเด่นนักแต่มาวันนี้ นางกลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ของหญิงสาวอันน่าดึงดูด นางได้เติมโตกลายไปเป็ดอกโบตั๋นอันสูงส่งงดงาม ล้ำค่า และเปล่งประกายอย่างสมบูรณ์แล้ว
ในแววตาของจ้าวเฉินพลันปรากฏให้เห็นถึงบาปราคะที่ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เขาพลันนึกถึงวิธีลงโทษที่เรียบง่ายที่สุดแบบหนึ่งขึ้นเขาจะลงโทษยายผู้หญิงที่มีสิ่งที่ผู้ชายปรารถนาครบถ้วนสมบูรณ์คนนี้บนเตียงนอนอย่างหนักหน่วงรุนแรงให้ถึงที่สุดจะทำให้มันต้องครวญคราง จะทำให้มันต้องอ้อนวอนร้องขอชีวิต...
อืม แบบนี้ก็ดี!
พอจ้าวเฉินคิดได้อย่างนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “อีหนูสวี่เจอพ่อบ้านอย่างข้าแล้วยังไม่ทำความเคารพอีก! กฎระเบียบของที่นี่เป็อย่างไรบ้างเ้าลืมไปหมดแล้วใช่ไหม!”
แต่สวี่เหยาตอนนี้ไม่ใช่หนูน้อยผู้อ่อนแอเหมือนในวันนั้นอีกต่อไปแล้วนางที่ผ่านสมรภูมิการค้าอันหนักหน่วงที่เมืองอวิ๋นเฉิงมาแล้วนั้นทำเพียงแค่ขยิบตาและยิ้มรับเท่านั้น นางในตอนนี้ได้หลุดพ้นจากตัวตนอันต่ำต้อยกลายเป็สาวงามมากความสามารถไปนานแล้ว
นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ยินดีที่ได้พบค่ะท่านพ่อบ้านจ้าว ไม่ได้พบกันเสียนานพ่อบ้านจ้าวดูท่าทางสบายดีนะคะ”
มารดามันเถอะ!
นางแพศยา!
จ้าวเฉินถูกน้ำเสียงอันนุ่มนวลของสวี่เหยาเย้ายวนจนรู้คันยุบยับไปทั้งหัวใจจนแทบจะทนไม่ไหว
เขาพยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้แต่ในตอนที่เขากำลังจะทวงถามความผิดจากสวี่เหยานั่นเอง นางก็พูดขึ้นมาต่อทันทีว่า “ที่สวี่เหยากลับมาในวันนี้ก็เพื่อจะแนะนำให้ประมุขจ้าวท่านได้รู้จักกับแขกกิตติมศักดิ์ท่านหนึ่ง”
ประมุขจ้าว?
คนของตระกูลจ้าวนิ่งอึ้งไปทันที
อีหนูนี่มันบ้าไปแล้วหรือเปล่า มันกล้าเรียกเ้านายแบบนี้ได้อย่างไร?
สีหน้าของจ้าวเฉินเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆเพลิงพิโรธในใจเขาลุกโชนอย่างเกรี้ยวกราด
“สวี่เหยา เ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าตัวเองเป็ใครถึงได้บังอาจเรียกนายท่านแบบนั้น แถมยังคิดจะแนะนำแขกด้วยอย่างนั้นหรือ? เ้าที่มีฐานะเป็แค่พวกขอทานเร่ร่อนอย่างนั้นนี่นะ? ต่อให้เ้าจะแต่งตัวดูเป็ผู้เป็คนแค่ไหนก็ตาม แต่คนที่เ้าพามามันจะมีฐานะแค่ไหนกันเชียว?”
ซีดด...
จ้าวเฉินนี่ปากปีจอเหลือเกิน
แต่นั่นก็เป็เพราะเขาดูถูกตัวตนของสวี่เหยาอยู่ก่อนแล้วเลยพาลเหยียดหยามพวกหลินหยางไปด้วย มาถึงก็ด่าฉอดๆ ด้วยวาจาหยาบคายอย่างเดียวเลย
สีหน้าของสวี่เหยาเองก็เริ่มเปลี่ยนไปบ้างแล้ว
แต่ไม่ใช่เพราะว่านางทนคำด่าไม่ไหว แต่เป็เพราะนางเป็ห่วงหลินหยางต่างหาก
ตระกูลจ้าวนั้นเป็ครอบครัวการค้าที่เริ่มต้นมาจากชนชั้นล่างค่อยๆสร้างตัวขึ้นมา พวกเขายังเป็รุ่นแรกที่กำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์กันอยู่เลยดังนั้นไม่ว่าจะเป็ตัวผู้นำหรือเหล่าข้ารับใช้ต่างๆ จึงยังคงมีท่าทีแบบของชาวเมืองชั้นล่างอยู่ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่จับสวี่เหยาไปใช้เป็เครื่องมือทางการค้าหรอก
‘หลินอี้คงไม่โมโหจนอาละวาดหรอกนะ...’
แต่สวี่เหยาคงจะกังวลผิดคนไปเสียหน่อยเพราะมีคนที่อารมณ์ร้อนยิ่งกว่าหลินหยางอยู่ด้วย
หั่วเอ๋อร์นั้นถลึงตาใส่จ้าวเฉินไปที “เฮ้ย เ้าหลินอี้น้อยเ้ามนุษย์นี่มันน่ารังเกียจเสียจริง ข้าขอกินมันได้ไหมนี่?”
หืม?
ผู้คนเพิ่งจะสังเกตเห็นนกกระจอกขนสีแดงตัวนี้คำพูดสุดโอหังของมันนั้นทำเอาผู้คนทั้งหมดในบริเวณนี้ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
หั่วเอ๋อร์นั่นนอกจากมีขาข้างเดียวแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่พิเศษอีกพอมันพูดจาอวดดีแบบนี้ก็ทำให้ผู้คนทั้งหมดโมโหขึ้นมาทันที
ภายในลูกตาของจ้าวเฉินนั้นมีเปลวไฟดวงเล็กๆ สั่นไหวอยู่พอเขาโบกมือ คนรอบข้างก็เข้าไปโอบล้อมพวกของหลินหยางอย่างรู้งานทันที
เขาพูดจาข่มขู่ว่า “พวกเ้าเป็ใครถึงได้กล้ามาพูดจาโอหังในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวแบบนี้! ข้าจะนับถึงสามเท่านั้นนะสวี่เหยาเ้ารีบสั่งให้เพื่อนของเ้าคุกเข่าลงแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นพวกเ้าก็อย่าหวังจะได้ก้าวเท้าออกไปจากคฤหาสน์แห่งนี้อีกเลย!”
เหล่านักรบของตระกูลจ้าวที่โอบล้อมพวกของหลินหยางเอาไว้นั้นปล่อยจิตสังหารออกมาข่มขู่แล้วแต่พวกเขาดูถูกหลินหยางมากเกินไปในที่สุดพวกเขาก็กำลังจะถูกลงโทษจากความประมาทนั่น
สวี่เหยาและหั่วเอ๋อร์หันไปมองทางหลินหยางที่ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเลย
หั่วเอ๋อร์ขยับปีกของตัวเองอย่างหงุดหงิด “เฮ้ย เ้าหลินอี้น้อย พูดอะไรบ้างสิ? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าลงมือจัดการให้เ้าฟรีๆ ก็ได้...”
ในที่สุด หลินหยางก็เปิดปากพูดแล้ว
“อัดได้ ห้ามกิน”
“เชอะ น่าเบื่อ”
คำพูดของหนึ่งคนหนึ่งนกนี่ทำเอาคนรอบข้างถึงกับโมโหจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
อัดได้ กินไม่ได้นั่นมันอย่างไรกัน
จะดูถูกกันเกินไปแล้ว!
ทหารรักษาการณ์คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเมื่อครู่นี้พุ่งเข้าใส่พวกหลินหยางทันทีเขาเงื้อมหมัดขึ้นเล็งไปที่หน้าของหลินหยางโดยตรง
“เอานี่ไปก...”
ตูม!
เขายังพูดไม่ทันจบดีก็มีลำแสงสีแดงสายหนึ่งวูบผ่านไปจากนั้นตัวเขาก็ปลิวลอยไปข้างหลังเป็เส้นตรง พุ่งไปตกลงในบ่อน้ำบ่อหนึ่งแล้วค่อยๆจมลงไปช้าๆ
อะไรกัน?
ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
แสงไฟนั่นเริ่มบินว่อนไปทั่วทั้งสวน
ฝันร้ายของจ้าวเฉินกำลังเริ่มขึ้นแล้ว
เมื่อแสงไฟนั่นบินไปตรงไหนเหล่านักรบที่อยู่ตรงนั้นก็จะปลิวกระเด็นไปคนละทิศละทางทันที
บ้างก็กระเด็นราบกับพื้นเป็เส้นตรง
บ้างก็หมุนเป็วงกลมสามร้อยหกสิบองศาเลยก็มี
นักรบสิบกว่าคนถูกซัดปลิวไปหมดไม่เหลือสภาพเลยสักคน
โดยที่ทั้งหมดนี้เกิดจากนกกระจอกขนสีแดงเพียงตัวเดียวเท่านั้น
แม้แต่ครูฝึกที่มีฝีมือระดับเซียนเทียนสุดแข็งแกร่งนั่นยังถูกซัดปลิวในการโจมตีครั้งเดียว
ซึ่งหั่วเอ๋อร์เตรียมท่ากระเด็นที่ยากที่สุดไว้ให้เขาโดยเฉพาะนั่นก็คือซัดให้หมุนเป็วงกลมไปบนอากาศยี่สิบรอบเป๊ะๆ จากนั้นก็ร่วงไปเกี่ยวอยู่บนูเาปลอมในสวนแบบพอดี
เื่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน่เวลาสั้นๆ น้ำชาในถ้วยยังไม่ทันหายร้อนเลยด้วยซ้ำ
จ้าวเฉินถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาจนเปียกปอนไปทั้งตัว...
“ค...ใครก็ได้ ช่วยด้วย!”
จ้าวเฉินที่เพิ่งได้สติกลับมาในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าคนที่สวี่เหยาพากลับมานั้นเป็บุคคลสุดแกร่งจนน่ากลัวที่ตัวเขาไม่ควรไปยุ่งด้วยแม้แต่น้อยแต่ดูท่าทางเขาก็ยังประเมินหลินหยางและหั่วเอ๋อร์ต่ำเกินไปอยู่ดี
เขาพยายามะโขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงจนดังสะท้านไปทั่วคฤหาสน์
เขาเชื่อว่า ต่อให้จะเก่งแค่ไหน แต่แค่หนึ่งนกกับอีกหนึ่งคนอย่างไรก็ไม่มีทางต่อกรกับคนทั้งตระกูลได้หรอก
แต่น่าเสียดาย เขาคิดผิด
หลินหยางพยุงตัวลุกขึ้นยืน มองไปทางจ้าวเฉินด้วยสีหน้าเรียบเฉย“หยุดแหกปาก”
เพียงแค่สามพยางค์และหนึ่งแววตาก็ทำให้จ้าวเฉินรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาอุดกล่องเสียงเอาไว้ไม่กล้าส่งเสียงต่อสักคำ
บรรยากาศอันน่าเกรงขามรอบตัวของเ้าหนุ่มนี่มันเทียบเท่ากับพวกคนใหญ่คนโตของเมืองฮุยยื่อที่จ้าวเฉินเคยเห็นได้เลย
“ข้ามาวันนี้แค่อยากจะพบกับประมุขตระกูลจ้าวเท่านั้น เ้าเข้าใจใช่ไหม?”
หงึกหงึกหงึก
จ้าวเฉินรีบพยักหน้ารับทันที
“เ้าพาข้าไปหาหน่อยได้ไหม”
หงึกหงึกหงึก
คงมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะกล้าปฏิเสธในเวลาแบบนี้
“อย่างนั้นก็ไปเถอะ”
หลินหยางเริ่มก้าวเท้าออกไปจ้าวเฉินรีบล้มลุกคลุกคลานไปเดินนำหน้าทันที
สวี่เหยานั้นกำลังกะพริบตาปริบๆ มองไปทางหลินหยาง
การใช้วิธีรุนแรงแบบนี้ตอบโต้ตระกูลจ้าวนั้น สำหรับนางที่เคยมีความทรงจำอันเ็ปในที่แห่งนี้ไม่มีอะไรสะใจได้มากยิ่งกว่านี้แล้ว
พอเดินตามหลินหยางแล้ว...มักจะได้พบกับเื่ที่น่าตื่นเต้นและน่าสนุกอยู่เสมอ
แต่สำหรับจ้าวเฉินนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการตกอยู่ในขุมนรกอันหนาวเหน็บ
เขาที่เดินนำอยู่หน้าหลินหยางนั้นดวงตาทั้งสองข้างกลิ้งกลอกไปมา
หลังจากเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ด้านหน้าเขาก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มเดินมาคนที่เดินนำอยู่หน้าสุดสามคนนั้นก็คือครูฝึกของตระกูลจ้าวทั้งสามล้วนมีความสามารถระดับเซียนเทียนขั้นต้นด้านหลังพวกเขายังนักรบเดินตามอยู่ด้วยอีกยี่สิบกว่าคน
พอคนเหล่านี้เห็นจ้าวเฉินและหลินหยางแล้ว ก็โมโหขึ้นมาทันทีแต่ละคนล้วนะโออกมาอย่างดุดันว่า
“ไอ้โจรชั่วบังอาจบุกรุกคฤหาสน์ของเรารึยังไม่รีบปล่อยพ่อบ้านจ้าวอีก!”
หลินหยางก็ยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ข้าแค่อยากพบกับประมุขตระกูลจ้าวเท่านั้นไม่อยากทำร้ายคน”
“ถ้ายังไม่ปล่อยคนอีกละก็แกไม่มีทางได้ก้าวเท้าออกไปจากที่นี่แน่!”
ผลก็คืออีกฝ่ายไม่ฟังอะไรเลย พูดข่มขู่ตามๆ กัน แบบเดียวกันเป๊ะ
และที่น่าหัวเราะยิ่งกว่าก็คือจ้าวเฉินที่เห็นพวกของตัวเองมาช่วยแล้ว ก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็หลังเท้าทันทีเขารีบพุ่งไปหากลุ่มคนข้างหน้าอย่างกับหมากลั้นอึทันทีสีหน้าเองก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
เขาหันกลับมาชี้หน้าใส่พวกของหลินหยางอย่างเกรี้ยวกราด “จับมันซะ รีบจับพวกมันเอาไว้ซะแล้วกระทืบมันให้เละไปเลย!”
รับทราบ!
เหล่านักรบผู้น่าสงสารทั้งหลายพอหัวร้อนขึ้นมาก็ลงมือทันที
ส่วนจ้าวเฉินนั้นก็คิดจะใช้โอกาสนี้หนีเข้าไปด้านในคฤหาสน์เพื่อไปเชิญเหล่าผู้าุโสุดแข็งแกร่งมาช่วย
แต่เขาออกวิ่งได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงเรียบๆ ของหลินหยางดังขึ้นตามหลัง“ถ้าเื่แบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งเ้าก็เตรียมโดนแบบเดียวกับพวกมันได้เลย...”
ซวยแล้ว!!
จ้าวเฉินแทบจะฉี่เล็ดออกมาแล้ว
พอหันหลังกลับมาดูเหล่านักรบที่ตามมาช่วยทั้งหมดก็ถูกจับแขวนอยู่บนต้นไม้ไปแล้ว พอลมพัดก็ร่วงตกลงมาบนพื้นทันที
เหลือแค่หั่วเอ๋อร์ที่ยืนทำความสะอาดขนของตัวเองบนไหล่ของสวี่เหยาในปากยังคงพึมพำว่ากินไม่ได้ กินไม่ได้ ด้วยท่าทางเบื่อหน่ายอยู่อย่างนั้น
ส่วนสวี่เหยานั้นมองไปทางจ้าวเฉินพร้อมกับกลั้นยิ้มเอาไว้ เหมือนกับว่านางกำลังมองไปที่เ้าลิงเผือกที่ทำตัวเหมือนจะฉลาด
คิดหนี?
หนีป้าเ้าสิ!
จ้าวเฉินแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วเ้าหนุ่มนี้มันเ็าเกินไปแล้ว ส่วนเ้านกกระจอกขนแดงนั่นก็แข็งแกร่งจนน่าใจหาย
เขาทำได้แค่ดึงหน้านำทางให้กับพวกของหลินหยาง
พอเดินมาอีกประมาณร้อยเมตร
ก็มีคนมาเพิ่มอีกห้าสิบกว่าคน
“พวกเ้าเป็ใคร รีบปล่อยตัวพ่อบ้านจ้าวซะ!”
“ตายซะเถอะ ไอ้โจรชั่ว!”
คนกลุ่มนี้นิสัยมุทะลุรุนแรง มาถึงก็พุ่งเข้าใส่ทันที
“เดี๋ยว อย่าเพิ่ง!”
จ้าวเฉินหยุดไว้ไม่ทัน เพียงส่งเสียงไปนิดเดียวลำแสงสีแดงนั่นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องโอดครวญดังระงม
“หยุดได้แล้ว!!”
ในที่สุดจ้าวเฉินก็เข้าใจสถานการณ์เสียที รีบะโสุดเสียงว่า “รีบไปรายงานท่านประมุขซะให้เขากับเหล่าผู้าุโรอต้อนรับนายน้อยท่านนี้ไว้!!! รีบไปสิ!!”
ว้ากกก!
นักรบคนที่เหลืออยู่นั้นก็ถูกหั่วเอ๋อร์หลอกจนแทบจะเสียสติไปแล้ว
พวกเขาเองก็เห็นถึงความน่ากลัวของหั่วเอ๋อร์แล้ว ถ้าตัวเองขึ้นไปสู้ก็มีแต่จะเป็หมูให้เขาเชือดแต่ก็ไม่เป็ไร
ตระกูลจ้าวนั้นมีผู้าุโอยู่ถึงเจ็ดคนแถมหนึ่งในนั้นยังเป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นท้ายอีกด้วย
เ้าเด็กนี้มันบังอาจทำตัวโอหังขนาดนี้มันไม่มีทางมีชีวิตรอดออกไปได้แน่!!
หลังจากนี้ก็ไม่มีใครออกมาขัดขวางเพิ่มอีกเดินทางได้ง่ายกว่าเดิม
หลินหยางนั้นเดินมาด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยสบายๆในที่สุดเขาก็เดินมาถึงข้างหน้าสิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของคฤหาสน์แห่งนี้
