ฮวาชีเยว่หัวเราะ ส่งสัญญาณให้โหย่วชุ่ยแปรงผมนางต่อ
ลู่ซินใจเต้นไม่เป็ส่ำอย่างตกตะลึง นางคิดถึงความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูใน่หลายวันมานี้ หากคุณหนูเข้าร่วมประลองยุทธ์จริงๆ ไม่แน่ว่านางอาจจะได้ผลน่าตกตะลึงอะไรอีก
เมื่อล้างหน้าเสร็จแล้วฮวาชีเยว่ก็เดินออกไปนอกห้องนอน พอเทียนซีเห็นก็เข้ามาจับมือนางแน่น ดวงตาน่าสงสารคล้ายกำลังกล่าวว่า “ท่านแม่ตื่นแล้วหรือ? เหตุใดท่านไม่ยอมให้ข้านอนกับท่าน? ท่านโกรธข้าหรือ” อย่างไรอย่างนั้น
เพียงมองเขาแวบเดียวนางก็เข้าใจแล้ว
เด็กเล็กอ่อนไหวมาก แม้เทียนซีจะพูดไม่ได้ทว่ายังคงสื่อสารทางสายตาได้
“เมื่อคืนแม่ป่วยเป็ไข้ลม เกรงว่าจะติดลูกจึงให้ลูกไปนอนกับพี่ลู่ซิน เข้าใจหรือไม่?”
เทียนซีดูคล้ายลังเล ก่อนจะพยักหน้าเร็วๆ แล้วใช้หน้าน้อยถูแขนนาง
ฮวาชีเยว่ยินดีนัก ไม่นานสาวใช้ก็ยกอาหารเช้าเข้ามา เมื่อรับประทานจนเสร็จ นางและเ้าตัวเล็กก็ตรงไปยังเรือนฝูซินเพื่อเข้าพบฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นฮวาชีเยว่ ดวงตาก็ทอประกายขึ้นมา
“มา มานั่งกับย่านี่ เทียนซีก็มาด้วยสิ”
ฮวาชีเยว่พาเทียนซีไปนั่งข้างท่านย่าตนอย่างเชื่อฟัง ฮูหยินผู้เฒ่ามองประเมินเทียนซีอย่างชื่นชม “เทียนซีโตขึ้นแล้ว ไม่กี่วันก็มีเนื้อมีหนัง ชีเยว่เลี้ยงเด็กคนนี้ได้ดีจริงๆ!”
ฮวาชีเยว่ยิ้มกริ่ม “ต้องขอบคุณท่านย่าเ้าค่ะ! เพราะท่านแข็งแรงดี ทั้งบ้านก็วางใจจึงได้กินอิ่มนอนหลับ แม้แต่เด็กๆ ก็ยังน้ำหนักขึ้นมาเล็กน้อย”
คำหวานของฮวาชีเยว่ทำให้จิตใจฮูหยินผู้เฒ่าเบิกบานนัก ร่างกายนางฟื้นสภาพเป็อย่างดี รู้สึกดีกว่าเดิมสองสามเท่า ตอนนี้นางกระปรี้กระเปร่าได้ทั้งวัน
อย่างไรต้นหลงแดงก็เป็สมุนไพรวิเศษ ได้ดื่มน้ำแกงนั้นเข้าไปแล้ว ใครบ้างจะไม่มีชีวิตชีวาลุกขึ้นมาะโโลดเต้น!
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้ปฏิบัติต่อฮวาชีเยว่ราวกับสมบัติล้ำค่า แทบจะตามใจนางจนเสียคน
อย่างไรเสียฮวาชีเยว่ก็ได้รับความช่วยเหลือจาก “ยอดปรมาจารย์” ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิกล้าเป็อื่นนอกเสียจากเคารพยกย่อง
ไม่นานนัก อี๋เหนียงสองและฮวาเมิ่งซือก็ปรากฏตัว เมื่อเห็นฮวาชีเยว่ พวกนางก็เห็นสีหน้าเปล่งปลั่งดูสุขภาพดี แสดงให้เห็นว่าฮวาชีเยว่ใช้ชีวิตสุขสบายเพียงใด
เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ฮวาเมิ่งซืออยากจะสังหารฮวาชีเยว่เสียเดี๋ยวนี้ ทว่าจิตใจส่วนเหตุผลบอกให้นางอดทน นางต้องอดทน!
“ฮูหยินผู้เฒ่า เมิ่งซือ้าเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ของสกุลจี้เ้าค่ะ คราวนี้นางต้องสร้างชื่อให้แก่สกุลฮวาได้เป็แน่!” อี๋เหนียงสองยิ้ม มองฮวาเมิ่งซืออย่างภาคภูมิใจ
ลูกสาวคนนี้ทำให้นางภูมิใจเหลือเกิน ทั่วเมืองหลวงนี้ ลูกสาวนางดีที่สุดแล้ว
วันนี้ฮวาเมิ่งซือสวมชุดสีชมพูซีด ปักลายเฟิ่งหวงเริงระบำสีทองที่ชายกระโปรง ดูรวมๆ แล้วชุดนางมีสีสันสะดุดตา ไข่มุกเม็ดหนึ่งปักแทนดวงตาเฟิ่งหวง มุกเม็ดนั้นส่องประกายยั่วเย้า ทำให้ผิวนางดูนุ่มนวลยิ่งนัก
ชุดนี้ตัดออกมาได้พอดิบพอดีกับตัวนาง ไม่คับไม่หลวมจนเกิดไป ทำให้รูปร่างของฮวาเมิ่งซือดูสมบูรณ์แบบ
ฮวาเมิ่งซือยิ้มน้อยๆ “ท่านย่า หลานจะพยายามให้เต็มที่ นำชื่อเสียงมาสู่สกุลฮวาเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้กล่าวอะไรมาก สีหน้านางนิ่งเรียบราวกับมิได้คาดหวังอะไรจากฮวาเมิ่งซือ “คงได้เพียงหวังเช่นนั้น ตระกูลจี้เป็บ้านของเทพโอสถ คนธรรมดาย่อมไม่อาจสะดุดตาเ้าบ้านได้ พยายามให้เต็มที่ก็พอ อย่าได้หน้ามืดตามัวเสียจนนำตัวเองไปผูกกับระดับที่เป็ไปไม่ได้”
ฮวาเมิ่งซือรับคำของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างกระตือรือร้นทันที แม้ในใจจะอารมณ์ดีมากก็ตาม
นางปรารถนาให้วันแข่งขันมาถึงโดยไว ทันทีที่นางก้าวขึ้นสู่เวทีและเอาชนะจอมยุทธ์คนอื่นได้ นางย่อมได้รับความสนใจและความชื่นชมมากยิ่งขึ้น
หากนางได้เป็ศิษย์สกุลจี้จริง เช่นนี้ไม่ว่าใครก็มิอาจโดดเด่นเหนือล้ำไปกว่านาง
อี๋เหนียงสองคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าสักพักก็ขอตัวจากไป กล่าวว่า้าพาฮวาเมิ่งซือไปลงชื่อเข้าแข่งขัน
ฮวาชีเยว่จิบน้ำชาเล็กน้อย ดวงตาอ่อนโยนทอประกายราวสายน้ำ น้ำเสียงนิ่งสงบ “ท่านย่า” นางเอ่ย “หลานเองก็จะเข้าร่วมประลองด้วยเช่นกัน”
ได้ยินคำของฮวาชีเยว่ ฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังดื่มน้ำแกงโสมอยู่ก็จ้องฮวาชีเยว่อย่างตกตะลึง ่หลังมานี้ หลานสาวที่นางเคยละเลยทำให้นางแปลกใจได้ไม่หยุด
ยามนี้ฮวาชีเยว่ถึงกับคิดเื่เข้าประลองแล้ว?
“ชีเยว่ เ้าย่อมทราบว่างานประลองนี้หากาเ็ล้มตายย่อมไม่อาจโทษใครได้ ทว่าเช่นนี้ก็ยังละเลยเกินไปลมปราณเ้าโคจรได้ไม่ไหลลื่นทั้งยังไร้ความรู้ เหตุใดจึงคิดจะเข้าร่วมประลองได้” ฮูหยินผู้เฒ่าถามเสียงต่ำ
ฮวาชีเยว่ส่ายหน้า ดวงตามีเพียงความมั่นใจ “ท่านย่า เรียนตามตรง ปรมาจารย์ท่านนั้นช่วยขยายเส้นให้หลานโคจรลมปราณผ่านได้มานานแล้ว ยามนี้หลานจึงสามารถเรียนรู้วิชาได้ ที่จริงยามนี้หลานมีพลังอยู่ในระดับหน่ออ่อนแล้ว อย่าได้กังวลไปเลยเ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าตกตะลึง ใจเต้นรัวขึ้นมา
ฮวาชีเยว่ใช้พลังปราณได้แล้ว?
เื่นี้ไม่มีใครทราบ เหตุใดนางจึงเพิ่งรู้เล่า?
สำหรับสตรีทั่วไป การขึ้นถึงระดับหน่ออ่อนก็นับว่าน่าประทับใจแล้ว ฮวาชีเยว่มาถึงขั้นนี้ได้รวดเร็วทำให้นางในัก
“เยว่เอ๋อร์ เหตุใดเ้าจึงไม่บอกย่าแต่แรกเล่า?”
“ขออภัยเ้าค่ะท่านย่า เกรงว่าหลานจะรบกวนท่านหากหลานไร้ความสามารถ หลานจึงตัดสินใจรอกระทั่งมีความคืบหน้าบ้างจึงค่อยมาบอกท่าน เช่นนี้ท่านจะได้ยินดีมากกว่าเ้าค่ะ” ฮวาชีเยว่ตอบได้อย่างไหลลื่น
ฮูหยินผู้เฒ่ามองเทียนซีที่แสนน่ารักน่าชังซึ่งนั่งรออยู่เงียบๆ ในใจสั่นสะท้านขึ้นมา
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ฮวาชีเยว่สั่งสอนเขาไม่กี่วันก็เรียบร้อยรู้จักวางตัวแล้ว
นิสัยนี้เหนือกว่าเด็กธรรมดาทั่วไปมากนัก
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเยว่เอ๋อร์ก็ฝึกพลังปราณจนถึงระดับหน่ออ่อนได้แล้ว ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมเหลือเกิน! ไม่น่าเชื่อว่ายามนี้สกุลฮวาเราจะมีผู้มีพลังปราณที่มีพร์ถึงสองคนแล้ว! ” ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ดีเหลือเกิน นางสั่งให้โจวมามาไปนำรางวัลมามอบให้ฮวาชีเยว่ทันที
ฮวาชีเยว่พยายามปฏิเสธ ทว่าสุดท้ายก็แพ้ให้แก่การยืนกรานของฮูหยินผู้เฒ่า จึงต้องรับของมา
ลู่ซินและโหย่วชุ่ยที่อยู่ข้างๆ ต่างก็ใจนเกือบร้องอุทานออกมา ไม่แปลกเลยที่คุณหนูเปลี่ยนไป ที่แท้ยามนี้คนก็เป็ผู้มีพลังปราณแล้ว!
“ดีมาก แต่เยว่เอ๋อร์ หากเ้า้าเข้าร่วมประลองจริง เ้าก็ต้องสัญญาณกับย่าอย่างหนึ่ง หากคู่แข่งเ้าทรงพลังกว่าเ้ามาก เช่นนั้นเวลาสำคัญก็อย่าได้ฝืนตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุดคือมีชีวิตอยู่ เข้าใจหรือไม่? สกุลฮวาไม่ใช่ตระกูลใหญ่โต เราไม่้าแบกรับความเสี่ยงแม้แต่น้อย อย่าได้นำชีวิตไปแลกกับชื่อเสียงเด็ดขาด”
ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนนางอย่างจริงใจด้วยความกังวล ทั้งหมดฮวาชีเยว่ล้วนจดจำใส่ใจ หลังจากนั้นฮวาชีเยว่ก็เริ่มวางแผนกับฮูหยินผู้เฒ่า ฮวาชีเยว่ตัดสินใจจะมอบต้นหลงแดงสองต้นให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลังจบการแข่งขัน เพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่านำหลงแดงสองต้นนี้ไปถวายให้แก่ฮ่องเต้
ฮูหยินผู้เฒ่าตกตะลึงกับความคิดนี้ ได้ต้นหลงแดงถึงสองต้นฮ่องเต้ย่อมต้องยินดีเป็อย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเคยคิดเื่นี้มาสักพักแล้วแต่ตัดสินใจผลัดออกไปก่อน ด้วยเกรงว่าฮวาชีเยว่จะไม่เห็นด้วย
อย่างไรฮวาชีเยว่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากยอดปรมาจารย์ผู้น่าจะเป็เอกอุในบรรดาปรมาจารย์ระดับสูง ฮูหยินผู้เฒ่ามิกล้าทำให้เขาไม่พอใจเพียงเพื่อของเล็กๆ น้อยๆ
ยามนี้ฮวาชีเยว่เสนอขึ้นมาเอง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้วางใจ
ฮวาชีเยว่ทิ้งเทียนซีไว้กับโหย่วชุ่ยที่บ้าน ส่วนนางและลู่ซินออกไปลงชื่อเข้าร่วมแข่งขัน
บนถนนคลาคล่ำด้วยเสียงจากฝูงชน สองฝั่งถนนมีร้านค้ามากมาย ทั้งร้านสมุนไพร โรงรับจำนำ และร้านอื่นๆ ที่จำเป็ต่อการดำรงชีวิต
ชายชราผู้หนึ่งเร่ถือถาดน้ำตาลปั้นโดยมีเด็กที่ชอบของหวานวิ่งไล่ตาม เด็กคนนั้นทานน้ำตาลปั้นหมดไปหลายไม้ ทำให้พ่อค้าน้ำตาลปั้นยิ้มกว้าง
ซุ้มลงทะเบียนของสกุลจี้แน่นขนัดเป็พิเศษ เมื่อฮวาชีเยว่เห็นแถวยาวเหยียดก็นิ่วหน้า เช่นนี้ไม่รู้ต้องรออีกนานเพียงใดจะถึงตานาง
เวลาของนางล้ำค่าเกินไป นางไม่อยากเสียเวลาเข้าแถวเช่นนี้
ลู่ซินเห็นฮวาเมิ่งซือและอี๋เหนียงสอง ในอาณาจักรฉางจิงนี้สตรีก้าวออกจากบ้านได้ แต่ยังมีบางคนที่ชอบมีผ้าโปร่งปิดหน้าอยู่บ้าง
แน่นอนย่อมมีคนที่เผยใบหน้าได้อย่างมั่นใจ พวกนางออกจากบ้านโดยไม่เขินอาย เวทีการแข่งขันก็ตั้งอยู่ในบริเวณนั้นซึ่งคลาคล่ำไปด้วยสตรีงาม สตรีหน้าตาดีในบริเวณนี้ราวกับก้อนเมฆบนผืนฟ้า บุรุษที่ต่อแถวลงชื่อพากันหันมามองสตรีจากหลากหลายตระกูลอย่างหลงใหล
แน่นอนว่าสตรีจากตระกูลที่มีเงินทองบางคนก็ส่งสาวใช้มาลงชื่อแทนตนเอง
“มา ไปทางนั้นกัน” ฮวาชีเยว่เห็นฮวาเมิ่งซือทำให้ดวงตาทอประกายขึ้นมา รอยยิ้มจางผุดขึ้นขณะนางก้าวเข้าไปหน้าแถวอย่างมั่นอกมั่นใจ
“คุณหนู ทำอะไรเ้าคะ? มิใช่เราต้องต่อคิวหรือ? ” ลู่ซินถาม
นางอึ้งไปเมื่อเห็นฮวาชีเยว่ก้าวออกไปอย่างมั่นใจ จะทำอะไรกันแน่ ให้ฮวาเมิ่งซือช่วยคุณหนูลงชื่อหรือไม่?
ด้วยนิสัยของฮวาเมิ่งซือ นางย่อมไม่มีทางช่วยฮวาชีเยว่แน่นอน
เมื่อฮวาชีเยว่เดินเข้าไปจนถึงตัวฮวาเมิ่งซือและอี๋เหนียงสอง นางก็ยิ้มกว้าง “อี๋เหนียงสอง น้องสาว มิคาดจะได้พบพวกเ้าที่นี่”
อี๋เหนียงสองรักลูกสาวตนเองนัก สาวใช้สกุลอื่นเห็นนางเป็ผู้พาฮวาเมิ่งซือมาสมัครด้วยตนเองก็พากันชื่นชม พวกนางยกยอฮวาเมิ่งซือว่าเก่งกาจ ไปไกลถึงขนาดกล่าวว่าฮวาเมิ่งซือเป็สตรีที่ถูกกำหนดให้ชนะการประลอง คำชมเหล่านี้ทำให้อี๋เหนียงสองยิ้มกว้าง
จู่ๆ ได้ยินเสียงฮวาชีเยว่ ทั้งอี๋เหนียงสองและฮวาเมิ่งซือต่างก็นึกว่าตนเข้าใจผิดไป
แต่เมื่อหันไปมอง คนที่อยู่ตรงนั้นกลับเป็ฮวาชีเยว่จริงๆ คนยืนอยู่ตรงนั้น ยิ้มให้พวกนาง ลู่ซินเองก็อยู่ด้วย ใบหน้าน้อยๆ ย่นยู่เข้า
“โอ บังเอิญเหลือเกินเ้าค่ะ พี่ใหญ่ ท่านมาซื้อของหรือเ้าคะ?” ฮวาเมิ่งซือยิ้มกริ่ม ท่าทีที่มีต่อฮวาชีเยว่ดูอบอุ่นอ่อนโยน
ฮวาชีเยว่มองแถวยาวด้วยความลังเลเล็กน้อย คนในแถวนั้นโดยมากคือบ่าวไพร่ที่มาลงชื่อแทนคุณหนูในบ้านตน
“ไม่หรอก... ข้า... ที่จริง... ข้าเองก็มาลงชื่อเช่นกัน” ฮวาชีเยว่ดูเขินอาย ดวงตาวาดหวัง “ท่านปรมาจารย์กล่าวว่าปีนี้เป็ปีโชคดีของข้า เช่นนี้ลงแข่งขันข้าก็มีโอกาสชนะใช่หรือไม่?”
คราวแรกที่ได้ยินก็ฟังดูเป็ถ้อยคำไร้สาระ ฮวาเมิ่งซือและอี๋เหนียงสองมองหน้ากัน ดวงตาทอประกายยินดี
“เช่นนี้เป็โอกาสอันดียิ่ง!” พวกนางคิดขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ฮวาเมิ่งซือเคยต้องพยายามหาทางให้ฮวาชีเยว่ลงชื่อร่วมแข่งขัน แต่ตอนนี้ฮวาชีเยว่กลับสมัครใจลงชื่อตายด้วยตัวเอง!
ฮวาเมิ่งซือยิ้มดังเคย น้ำเสียงอ่อนโยนใจเย็น นางจับมือฮวาชีเยว่ เอ่ยอย่างอบอุ่น “พี่สาว เหตุใดจึงไม่บอกพวกเราแต่แรกว่า้าร่วมแข่งขันล่ะเ้าคะ? ท่านแม่กับข้าย่อมต้องลงชื่อให้ท่านแน่”
รูปโฉมของฮวาเมิ่งซือนับว่าเป็อันดับหนึ่งของเมือง รอยยิ้มของนางทำให้บุรุษที่ต่อแถวอยู่ถึงกับลืมหายใจ ดวงตามากมายนับไม่ถ้วนยามนี้จับจ้องนาง
ความงามของฮวาชีเยว่เองก็ไม่แพ้ฮวาเมิ่งซือ หากฮวาเมิ่งซือเป็ดอกโบตั๋น ฮวาชีเยว่ก็ราวกับดอกไป่เหอขาวในสระ ดูยิ่งใหญ่และสง่างาม
อี๋เหนียงสองพยักหน้า “ใช่แล้ว คุณหนูใหญ่ เ้าไม่ต้องลำบากต่อแถวหรอก ประเดี๋ยวพวกเราจะลงชื่อให้เ้าเอง!”