ระหว่างที่กำลังสนทนากันก็ถึงตาของอี๋เหนียงสองพอดี คนจึงก้าวออกไปลงชื่อให้ทั้งฮวาเมิ่งซือและฮวาชีเยว่ ก่อนจะลงชื่อตนเองด้วยเช่นกัน
บ่าวไพร่จากเรือนอื่นต่างก็มีเื่ให้พูดคุยกันมากมาย ฮวาชีเยว่กวาดตามองปราดเข้าไปในฝูงชน
ริมฝีปากนางโค้งขึ้นเล็กน้อย ลู่ซินเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ ในที่สุดจิตใจใสซื่อของนางก็ตามทันแล้ว “คุณหนู...บ่าวว่า ในที่สุดบ่าวก็เข้าใจแล้วเ้าค่ะ…”
ฮวาชีเยว่มองอี๋เหนียงสองที่กำลังอารมณ์ดีอย่างขบขัน สตรีผู้นี้ ราวกับเดินไปพบเงินทองก้อนโตจนกลายเป็มหาเศรษฐีอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอน ทั้งสองคิดว่านางกำลังจะตายแล้ว จะไม่ยินดีได้หรือ?
“นั่นคือฮวาชีเยว่ คุณหนูใหญ่สกุลฮวาหรือ? หน้าตาค่อนข้างงามทีเดียว น่าเสียดายที่นางเป็คนไม่ได้ความ”
“ใช่ไหมเล่า? ได้ยินว่าคนอ่อนแอไร้กำลัง ยังไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เหตุใดยังจะลงชื่ออีกเล่า? เหอะ คงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง?”
“จุ๊ๆ ดวงตาไร้แววโดยแท้ ไม่รู้จักที่ทางของตนเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะมาร่วมลงชื่อ นางจบแล้วจริงๆ”
คนในฝูงชนบางคนบังเอิญได้ยินบทสนทนาของอี๋เหนียงสองและฮวาเมิ่งซือ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะและถ้อยคำเสียดสีตามมา
“ใช่แล้ว ขยะที่โคจรลมปราณไม่ได้ยังกล้าลงแข่งขัน ดูเหมือนสกุลจี้จะต้องเตรียมโลงศพแล้ว!” เป็เสียงสตรีผู้หนึ่ง ฮวาชีเยว่หันไปมองก็พบต้นเสียง สตรีผู้นั้นแต่งกายงดงาม เครื่องแต่งกายทั้งร่างสะท้อนให้เห็นสถานะไม่ธรรมดา
ฮวาชีเยว่ไม่ทราบว่าสตรีผู้นี้คือใคร อีกฝ่ายเห็นนางจ้องมองก็หัวเราะขึ้นอย่างทระนงตน “นางขยะ เ้ามองอะไรกัน? อ้อ ใช่ ข้ากำลังพูดถึงเ้า! จำชื่อข้าไว้ให้ดี ข้าโอวหยางหลิวเอ๋อร์! คิดจะแก้แค้นข้าหรืออย่างไร?”
โอวหยางหลิวเอ๋อร์?
ฮวาชีเยว่เคยได้ยินชื่ออีกฝ่ายมาก่อน โอวหยางหลิวเอ๋อร์คือบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเสนาบดีโอวหยาง เด็กสาวผู้นี้ถูกตามใจจนเ้ากี้เ้าการใส่ผู้อื่นแต่เล็กแต่น้อย ในเมืองหลวงนี้นางได้ชื่อว่าร้ายกาจไม่เห็นแก่หน้าใครที่สุด
จำนวนคนที่โอวหยางหลิวเอ๋อร์ทำให้ไม่พอใจมีไม่น้อย ทว่าบิดานางเป็ถึงเสนาบดี ผู้ที่ถูกนางรังแกจึงไม่มีทางเลือกได้แต่เงียบเอาไว้
ฮวาชีเยว่ยิ้มให้โอวหยางหลิวเอ๋อร์ “อา ที่แท้เป็คุณหนูโอวหยางนี่เอง เคยได้ยินเื่ท่านมามาก!”
เห็นฮวาชีเยว่ทำท่ามากพิธีขึ้นมา ทำให้ผู้คนแถวนั้นแอบมองหน้ากัน
ตามที่ได้ยินข่าวลือฮวาชีเยว่ผู้นี้ไร้มารยาทยิ่งนัก แต่ฮวาชีเยว่เบื้องหน้ากลับดูมีกิริยามารยาทงดงาม ทั้งยังตอบโต้ถ้อยคำว่าร้ายของโอวหยางหลิวเอ๋อร์อย่างสุภาพ ไม่มีท่าทางหวาดกลัวหรือใแม้แต่น้อย!
มีเพียงบุตรสาวสกุลใหญ่จึงจะมีท่าทีเช่นนี้ได้!
ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับท่าทีสุภาพเรียบร้อยของฮวาชีเยว่แล้ว ความผยองของโอวหยางหลิวเอ๋อร์ทำให้นางดูด้อยกว่ามาก
สีหน้าโอวหยางหลิวเอ๋อร์สลับไปมาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด นางหัวเราะไร้อารมณ์ “ฮวาชีเยว่ ไม่น่าเชื่อว่าเ้าจะใจกล้าลงชื่อแข่งขัน ฮ่าๆๆ... วันเวลาเ้าเหลือไม่มากแล้ว!”
“โอ หรือคุณหนูโอวหยางจะเก่งกาจกว่าไต้ซือเสวียนจีเ้าคะ? กระทั่งทำนายวันเวลาที่ข้าเหลืออยู่ได้! น่าประทับใจจริงๆ!” ฮวาชีเยว่ยิ้มแย้มราวกับดอกไม้ ไม่แสดงความโกรธเคืองที่โดนดูถูกแม้แต่น้อย
คำของฮวาชีเยว่ทำให้ฝูงชนเริ่มมองโอวหยางหลิวเอ๋อร์ด้วยสายตาแปลกประหลาด นางทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างโอวหยางหลิวเอ๋อร์และไต้ซือเสวียนจีขึ้นมาทันที
ทว่าสตรีหยาบคายไร้มารยาทผู้หนึ่งจะอยู่ในระดับเดียวกับไต้ซือรูปงามยากหยั่งถึงเช่นไต้ซือเสวียนจีได้อย่างไร?
โอวหยางหลิวเอ๋อร์รู้สึกได้ถึงสายตาแปลกประหลาดจากผู้คน นางกระทืบเท้าอย่างโมโห ทีแรกนางตั้งใจจะแสดงออกต่อหน้าผู้คนเพื่อชนะใจเหล่าคุณชายลูกหลานขุนนางทั้งหลาย
มิคาดนางกลับถูกฮวาชีเยว่ทำให้อับอายเสียหน้าจนพูดไม่ออกหลายต่อหลายครั้ง
‘มิใช่ฮวาชีเยว่เป็คนอ่อนแอไร้กำลังหรอกหรือ?’ โอวหยางหลิวเอ๋อร์คิด ‘เหตุใดจึงมีวาทศิลป์เช่นนี้ได้? หรือเื่เ่าั้จะเป็เพียงคำร่ำลือเพื่อทำลายฮวาชีเยว่เท่านั้น?’
โอวหยางหลิวเอ๋อร์มองฮวาชีเยว่ที่ยืนกับฮวาเมิ่งซือด้วยสายตาเฉียบขาดจนคล้ายจะสามารถปล่อยไฟออกมาได้ นางคิดว่า “ฮวาชีเยว่ผู้นี้ รอก่อนเถอะ...หากข้ายังอยู่ ชีวิตเ้าอย่าหวังจะได้สุขสบาย!”
กล่าวลากับอี๋เหนียงสองและฮวาเมิ่งซือแล้ว ฮวาชีเยว่ก็ขึ้นรถม้าไปพร้อมลู่ซินเพื่อกลับจวน
ภายในรถม้า ฮวาชีเยว่ยกม่านบังแสงขึ้นเล็กน้อยมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์พาดผ่านเข้ามาทว่ากลับทำให้รู้สึกสดชื่นเมื่อผสานกับสายลมที่ช่วยพัดเอาความร้อนออกไปจากใจ
เดือนกรกฎาคมใกล้เข้ามาแล้ว อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นทุกที
นางเม้มปากเล็กน้อย ในครรลองสายตาปรากฏภัตตาคารตงไห่ใกล้เข้ามา ทันใดนั้นในใจก็กระตุกขึ้นมา
นางคิดว่าตนคงจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว ทว่ายามนี้เมื่อพบกับสิ่งที่คุ้นเคยกลับยังรู้สึกอยู่
ฮวาชีเยว่เคลื่อนสายตาไปยังชั้นสองของอาคาร เห็นบุคคลที่คุ้นเคยอยู่ตรงนั้นในทันที
ร่างกายของนางสั่นสะท้าน มือกำแน่นเข้าจนเล็บจิกเข้าเนื้อโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาของนางสบเข้ากับดวงตาสีดำที่ฉายแววตกตะลึงอันแสนคุ้นเคย บุคคลที่ยืนอยู่ตรงระเบียงย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโจวจื่อเฉิงที่แต่งตัวสีเขียว เขายังคงหล่อเหลาดึงดูดดังที่เคยเป็ โจวจื่อเฉิงเมื่อเห็นฮวาชีเยว่ก็ตะลึงกับความงามของนางไปเช่นกัน
ความงามของฮวาชีเยว่ประหนึ่งดอกไป่เหอขาวในสระ หรือดอกบ๊วยในหุบเขาหิมะ ทั่วทั้งร่างล้วนเปล่งประกายความหยิ่งทระนงและภาคภูมิ
เมื่อก่อนฮวาชีเยว่เคยอ่อนแอขี้ขลาดทั้งยังไม่ค่อยได้ออกไปไหน จุดอ่อนของนางกลบบังความงดงาม ทำให้นางถูกผู้อื่นดูแคลนอยู่เสมอ
ยามนี้นางมีความมั่นใจ เป็ที่สะดุดตาโจวจื่อเฉิงขึ้นมา เขาคิดว่านางงดงามราวกับเทพธิดาที่ลงมาเยือนแดนมนุษย์ โจวจื่อเฉิงยังคิดว่านางดูสงบสุขุมมากนัก!
ทันใดนั้น ริมฝีปากของฮวาชีเยว่ก็โค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม นางปล่อยมือให้ม่านร่วงลงมาบดบังอีกครั้ง เกิดเป็แนวกั้นสายตาระหว่างคนทั้งสอง
ฝ่ามือของฮวาชีเยว่ยามนี้เต็มไปด้วยเหงื่อ ความเกลียดชังในใจก่อตัวเป็คลื่น นางต้องไม่ถูกใบหน้าหล่อๆ นั่นทำให้หวั่นไหวอีก
บนระเบียง โจวจื่อเฉิงยังคงจ้องมองรถม้าที่จากไปไกลอย่างโง่งม
“พ่อบ้านอู๋...รถม้านั่น” โจวจื่อเฉิงเปรยขึ้น สายตามองตามรถม้าไป “เป็ของจวนสกุลใดกัน?” ยามนี้เขามองพ่อบ้านอู๋ที่ยืนอยู่ข้างกาย
คนในเมืองหลวงนี้มักจะมาภัตตาคารตงไห่อยู่บ่อยครั้ง พ่อบ้านเองก็เป็ที่รู้จักของผู้คน
พ่อบ้านอู๋มองรถม้าของฮวาชีเยว่ นิ่งงันไปชั่วครู่ แม้มิเคยเห็นรถม้าคันนี้มาก่อนก็ยังจดจำสัญลักษณ์บนรถม้าได้ “เป็รถม้าของสกุลฮวาขอรับ”
โจวจื่อเฉิงย่อมเคยได้ยินชื่อฮวาเมิ่งซือและฮวาเสี่ยวอี อย่างไรสตรีเหล่านี้ก็เป็ลูกสาวขุนนางที่ล้วนแต่ไม่รู้เื่อะไร สนใจเพียงการกิน จึงได้มาเยือนภัตตาคารตงไห่
“เข้าใจแล้ว…” ความรู้สึกเศร้าปรากฏขึ้นในใจโจวจื่อเฉิง รถม้าคันนั้นน่าจะเป็ของฮวาชีเยว่ บุตรสาวภรรยาเอกจวนสกุลฮวา ทว่าเขามีสัญญาใจกับองค์หญิงแล้ว วันคืนของการมีสตรีมากหน้าหลายตาเป็อันต้องถึงจุดจบ ‘เช่นนี้แย่จริงๆ …’ เขาคิด
“คุณชาย อีกสิบสองวันจะถึงวันเยือนสกุลฮวา จะเตรียมของขวัญอะไรดีขอรับ?” พ่อบ้านอู๋บังเอิญนึกเื่นี้ออกพอดี
โจวจื่อเฉิงหรี่ตามองรถม้าที่หายลับไป ความรู้สึกรักใคร่ก่อตัวขึ้นในใจของเขา เมื่อเห็นโจวจื่อเฉิงเป็เช่นนั้น พ่อบ้านอู๋ก็เอ่ยเตือนเสียงต่ำ “คุณชาย องค์หญิงฮุ่ยเจิน...เป็สตรีขี้ริษยานักขอรับ…”
โจวจื่อเฉิงรู้สึกตัวในทันที พ่อบ้านอู๋พูดถูกแล้ว องค์หญิงฮุ่ยเจินเป็สตรีที่ช่างหึงหวง เมื่อหรงชีเยว่ตายไป สาวใช้ในจวนล้วนแต่ถูกทรมาน บางคนถึงกับเสียโฉมหรือตาบอดไป
โจวจื่อเฉิงทราบว่าใครเป็ผู้อยู่เื้ั เพียงแต่ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“เช่นนั้นของขวัญเป็อะไรก็ได้ เพียงแต่เพิ่มจำนวนจากปกติสองเท่า เช่นนี้ทั้งเราทั้งจวนสกุลฮวาต่างก็ดูดีขึ้น” โจวจื่อเฉิงตัดสินใจได้ เมื่อครู่เขาเกือบจะสั่งให้พ่อบ้านอู๋ไปสืบหาของที่ฮวาชีเยว่ชอบเพื่อนำไปเป็ของฝาก แต่กลับเปลี่ยนใจทันทีที่ได้รับคำเตือน
พ่อบ้านอู๋พยักหน้าอย่างพอใจ คุณชายมีความสามารถไต่เต้าขึ้นมาท่ามกลางผู้คนมากมาย เป็บ่าวของบุรุษเช่นนี้ย่อมมีแต่ข้อดี
เมื่อฮวาชีเยว่กลับถึงจวนก็เห็นฮวาเสี่ยวอีอยู่ที่โถงทางเดินกำลังเล่นกับนกอยู่ เมื่อฮวาเสี่ยวอีเห็นฮวาชีเยว่ ริมฝีปากก็ยกขึ้นเป็รอยยิ้มเยียบเย็นเย้ยหยัน
“พี่หญิงใหญ่ ได้ยินว่าท่านร่วมลงแข่งด้วย”
สาวใช้ของฮวาเสี่ยวอีมองหน้ากันอย่างกังวล ทว่ากลับไม่มีความกล้าจะห้ามผู้เป็นาย
อี๋เหนียงสามสั่งพวกนางให้จับตามองฮวาเสี่ยวอีไม่ให้ก่อเื่อะไรอีก
ยามนี้พวกนางบังเอิญพบฮวาชีเยว่ย่อมรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมา ทว่าอย่างไรก็มิกล้าขัดความสนุกของคุณหนูตนเอง
“แน่นอน เ้าเองก็ลงด้วยไม่ใช่หรือ?” ฮวาชีเยว่ยิ้มเอื่อยเฉื่อย ทว่าคิ้วนางกลับปรากฏร่องรอยไม่สบายใจ
ฮวาเสี่ยวอีหัวเราะเย้ยหยัน “ข้าย่อมต้องลงเป็แน่ ข้าสั่งให้สาวใช้ไปลงชื่อให้ หากคนอ่อนแอเช่นท่านอยากตายถึงเพียงนั้น ข้าก็ไม่มีอะไรจะกล่าว จุ๊ๆ พี่หญิง ท่านช่างโง่นัก! เกิดมาไร้ค่า ทว่ายังอยากร่วมลงแข่ง ฮ่าๆๆ…”
ยิ่งพูดใกล้จบ ฮวาเสี่ยวอีก็ยิ่งทำตัวไม่เหมาะสม นางหัวเราะดังลั่นไม่เหมาะสมฐานะบุตรสาวตระกูลขุนนางแม้แต่น้อย
ฮวาชีเยว่มองผู้อื่นอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นจึงเห็นน้ำชาที่สาวใช้ของฮวาเสี่ยวอีประคองไว้ในถาด น้ำชายังร้อนๆ เหมือนเพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ
สาวใช้ผู้นี้คือตั่วเอ๋อร์ จากความทรงจำของนาง ฮวาชีเยว่ทราบว่าตั่วเอ๋อร์เป็สาวใช้ที่เชื่อฟัง มักทำตามคำสั่งของฮวาเสี่ยวอี ในอดีตคนยังเคยทรมานฮวาชีเยว่ตามคำสั่งของฮวาเสี่ยวอีอีกด้วย
เื่ที่เลวร้ายที่สุดคือการที่ตั่วเอ๋อร์หลอกฮวาชีเยว่ไปที่บ่อน้ำเก่าหลังจวนแล้วผลักนางลงไป เมื่อฮวาชีเยว่ตกลงไปแล้ว ตั่วเอ๋อร์ยังถึงกับโยนหินก้อนโตลงมาด้วย
โชคดีนักที่หินก้อนนั้นเพียงหล่นลงมาโดนเท้าของฮวาชีเยว่ ตั่วเอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็ไม่พอใจจึงได้กลับไปรายงานฮวาเสี่ยวอี ฮวาเสี่ยวอีจึงสั่งการใหม่ คราวนี้ตั่วเอ๋อร์ถูกสั่งให้เทน้ำร้อนทั้งอ่างลงมาในบ่อ
ตอนนั้นฮวาชีเยว่ยกมือขึ้นบังศีรษะเอาไว้ จึงมีเพียงแผ่นหลังและมือที่โดนลวก
ไร้ซึ่งความเป็มนุษย์เพียงนี้ ทว่าฮวาเสี่ยวอีล้วนสามารถสั่งการได้!
ตอนนี้ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว!
ฮวาชีเยว่ยิ้มเรียบเย็น ขยับนิ้วเล็กน้อย เส้นด้ายพลังปราณที่มองไม่เห็นก่อตัวจากปลายนิ้วพุ่งสู่ตั่วเอ๋อร์ ร่างกายของอีกฝ่ายสั่นสะท้าน ดวงตาพลันเหม่อลอย ทันใดนั้น ตั่วเอ๋อร์ก็สาดน้ำชาในมือใส่หน้าฮวาเสี่ยวอี!
ทุกคนยกเว้นฮวาชีเยว่ต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น อี๋เหนียงสามและสาวใช้หลายคนเร่งร้อนวิ่งเข้ามา ทุกคนต่างก็หวาดกลัวจนแทบโง่งมไปแล้ว!
“อ๊าก!”
“อีเอ๋อร์!”
เสียงกรีดร้องผสมปนเปเสียดหู ฮวาเสี่ยวอีรู้สึกว่าน้ำชานั้นร้อนลวกใบหน้านางจนแทบไหม้!
ตั่วเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมึนงง ทันใดนั้นนางก็หมุนกายวิ่งหนีไป อี๋เหนียงสามแยกเขี้ยวอย่างดุร้ายทันที “จับตั่วเอ๋อร์ไว้!” นางกรีดเสียงะโลั่น “นางสารเลว...ถึงกับกล้าทำร้ายลูกข้า!”
บ่าวไพร่ในจวนต่างก็รับคำสั่ง จับตั่วเอ๋อร์เอาไว้ได้ในทันที
ฮวาเสี่ยวอีคุกเข่าอยู่บนพื้น ยกสองมือปิดหน้า ส่งเสียงคร่ำครวญ “อ๊า… หน้า หน้าข้า…”
อี๋เหนียงสามใเสียจนใบหน้าไร้สีเื นางเร่งร้อนเดินเข้าหาฮวาเสี่ยวอี กระชากสาวใช้เข้ามา “เร็ว เร็วเข้า ไปตามหมอเดี๋ยวนี้…”
ฮวาชีเยว่ไม่ใส่ใจจะอยู่ดูต่อ นางเดินไปข้างหน้าอย่างสบายใจ ลู่ซินรู้สึกตัวขึ้นมา ฝ่ามือนางชุ่มเหงื่อ ไม่ทราบว่าเหตุใดอยู่ๆ ตั่วเอ๋อร์จึงได้เทน้ำชาร้อนๆ ใส่ฮวาเสี่ยวอี แต่อย่างไรก็ต้องยอมรับว่าสิ่งนี้ทำให้ความเคียดแค้นในใจนางราวกับได้รับการเติมเต็ม
ตั่วเอ๋อร์และพวกล้วนแต่เคยรังแกลู่ซินเอาไว้ไม่น้อย
โถงทางเดินยาวยามนี้วุ่นวายนัก ทว่าทางเรือนกุ้ยฮวากลับเงียบเชียบ ‘เทียนซีคงงีบอยู่กระมัง’ ฮวาชีเยว่คิด
ฮวาชีเยว่เดินเข้าสู่ห้องรับรอง ทันใดนั้นนางก็ชะงักไป เบื้องหน้านางยามนี้มีบุรุษในชุดเขียวยืนอยู่ สายลมโชยพัด ทำให้ชุดของเขาโบกปลิว