แสงจันทร์สลัว แสงดาวพราวระยิบระยับ เมื่อมองดูไกลๆ เหมือนมีหมอกขาวกลุ่มหนึ่ง ล่องลอยปกคลุมฉู่เฟิงเอาไว้
มันเป็ความรู้สึกสบายอย่างยิ่ง ฉู่เฟิงกำลังหายใจด้วยเคล็ดพิเศษ ส่วนหน้าอกยุบพอง ระหว่างปากและจมูกมีละอองไอกลิ่นหอมสดชื่นล่องลอย
ตำราประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ว่า ยามนักพรตหรือนักบวชชั้นสูงยามละสังขาร ร่างกายไม่เน่าเปื่อย ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอม นี่เป็ปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์
บางคนว่า นี่เป็เพราะพวกท่านทดลองค้นคว้าเกี่ยวกับยาอายุวัฒนะมานานปี ร่างกายได้ซึมซับตัวยามาเต็มเปี่ยม
ทั้งยังมีนักวิชาการที่ค้นคว้าและเชื่อว่ามนุษย์เราล้วนมีกลิ่นกายหอมกรุ่นเช่นนี้แต่แรก ทว่าโลกนี้เต็มไปด้วยมลภาวะ จึงมีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถมีกลิ่นกายหอมสดชื่นเช่นแรกเริ่ม
ตอนนี้ บริเวณปากและจมูกของฉู่เฟิงมีละอองไอขาวจางล่องลอยวนเวียน ตัวเขาเองก็รับรู้ได้ว่า น้ำลายที่กลืนลงคอไปนั้นหอมหวานหน่อยๆ ชวนให้ปลอดโปร่งยิ่งนัก
เคล็ดการหายใจนี้มีจังหวะแปลกประหลาด เมื่อหายใจตามจังหวะนี้ ฉู่เฟิงรู้สึกร่างกายโปร่งเบา เหมือนกับจะลอยขึ้นจากพื้นดิน
การหายใจด้วยจังหวะเช่นนี้ช่วยให้สัญญาณชีพของเขาแข็งแกร่งขึ้น กระตุ้นพลังชีวิตให้ร้อนแรง
เวลาผ่านไปไม่นาน หวงหนิวลืมตาขึ้นก่อน เท้าหน้าข้างหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า อีกข้างชี้ลงดิน ส่งเสียงมอๆ สองสามครั้ง เป็การบอกว่าการฝึกหายใจนี้สิ้นสุดลง
ดวงดาวเต็มฟ้าเคลื่อนคล้อย ฉู่เฟิงหยุดตาม ท่ามกลางความรางเลือน เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงแม้ใช้เวลาไม่นาน ทว่าพลังชีวิตในร่างเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด ถึงจะฝึกต่อก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
“แกรก!”
ทันใดนั้น ฉู่เฟิงได้ยินเสียงปูนแตกจากกำแพงสวน พื้นดินสั่นไหวเล็กน้อย ไม่รุนแรงนัก ทว่ากลับรู้สึกได้ในทันที
“แผ่นดินไหวรึ?”
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องใ ในเมืองแตกตื่นวุ่นวาย
ทันใดนั้น แสงไฟตามถนนก็ทยอยดับ แสงไฟตามอาคารบ้านเรือนก็ดับตามไปด้วย ไฟฟ้าถูกตัด!
ขณะนั้น ฉู่เฟิงเปิดเครื่องมือสื่อสาร พบว่าสัญญาณแปรปรวน จากนั้นก็ดับไป
“มอ!”
หวงหนิวร้องเสียงต่ำ ั์ตาส่องประกาย มันยกหัวขึ้นมองไปทางเทือกเขาไท่หังซาน ที่นั่น เมฆสีม่วงแผ่กระจาย สายแสงสีเงินไหลเลื่อน
ในความคลุมเครือไม่ชัดเจน เสียงครั่นครื้นกึกก้อง
การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นอีกครั้ง แม้จะห่างไกลทว่ายังสามารถรู้สึกได้ ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ครอบคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ
“มีูเาขนานใหญ่เกิดขึ้นอีกแล้ว!”
ฉู่เฟิงตะลึง มองไปไกลๆ ยังเทือกเขาไท่หังซานที่มีูเางอกขึ้นมาอีก บางลูกสูงตระหง่านง้ำ สูงยิ่งกว่าลูกเดิมที่สูงอยู่แล้ว
นี่เป็โฉมหน้าที่แท้จริงของูเาไท่หังซานอย่างนั้นหรือ?
ในตัวเมืองผู้คนล้วนตกตะลึง เสียงแตกตื่นวุ่นวาย
เนื่องด้วยพื้นดินถูกดึงยืด ถนนบางเส้นถูกฉีกขาด บ้านบางหลังเริ่มร้าวจนเห็นรอยแยกอย่างน่ากลัว หากเป็เช่นนี้ต่อไปย่อมพังทลายอย่างแน่นอน
โชคดีอยู่อย่างก็คือ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดอย่างฉับพลัน
ค่ำคืนนี้ ยากนักที่จะสงบใจ
ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเสียงร้องใและเสียงร่ำไห้ของผู้หญิงและเด็ก เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดค่ำคืนอันวุ่นวาย
โครม!
มีอาคารถล่มลงมา
“แม่จ๋า หนูกลัว!”
“ฮือ ฮือ .... คุณย่า เกิดอะไรขึ้น ตงตงกลัว”
เด็กบางคนร้องไห้หวาดกลัว
ค่ำคืนนี้ในเมืองชิงหยางสับสนวุ่นวาย นี่เป็ภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ฉู่เฟิงวิ่งออกไปช่วยเหลือผู้คน สิ่งที่ทำให้เขาเบาใจก็คือจำนวนผู้าเ็มีไม่มาก เพราะหนีออกมาจากอาคารก่อน
ก่อนรุ่งสาง เมืองชิงหยางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
หนึ่งในสามของบ้านเรือนถล่มลงมา ส่วนใหญ่อยู่ทางตอนเหนือของเมือง สภาพอาคารเหมือนถูกฉีกทึ้งจนแยกห่างจากกันไปไกล
ส่วนทางตะวันตก ทางใต้ และทางตะวันออกของตัวเมืองยังอยู่ในสภาพดี อาคารบ้านเรือนได้รับผลกระทบเกิดรอยร้าวอยู่บ้าง หากยังไม่พังถล่มลงมา
ประปา ไฟฟ้าล้วนถูกตัด ผลกระทบจากแผ่นดินแยกร้ายแรง
มีผู้เสียชีวิตสามราย าเ็อีกสิบกว่าราย จะว่าไปก็ยังนับว่าโชคช่วย เพราะเหตุเกิดไม่รวดเร็วนัก ยังพอมีเวลาให้วิ่งหนีเอาชีวิตรอด
จะมีก็เพียงคนที่หลับลึก ไม่ทันหนีออกจากอาคารเท่านั้น ที่พบกับจุดจบอันน่าเศร้าใจ
แต่นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดหวั่น แต่ก่อนแต่ไรก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน อีกทั้งยังไม่อาจรู้ได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก สภาพแวดล้อมกำลังเปลี่ยนแปลง หนทางข้างหน้าช่างมืดมน
ผู้คนมักจะหวาดกลัวต่ออนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้ เป็เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงหวาดกลัว
ปัจจุบันก็คือตอนนี้ เป็่เวลาอันน่าพิศวง ทุกแห่งหนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างเรืองรองสว่างไสว ในขณะเดียวกันก็เกิดภัยพิบัติ ใครจะไปพูดได้ว่านี่เป็การต้อนรับยุคใหม่?
เป็ความรุ่งเรือง หรือน่าหวาดหวั่น? ผู้คนล้วนไม่อาจหยั่งถึง
เมืองชิงหยางตอนนี้มืดมนหม่นไหม้
เสียงร้องไห้ คร่ำครวญ ผู้คนเสียขวัญ ระส่ำระสาย มองไม่เห็นอนาคต
อีกทั้งยามนี้ ทั้งไฟฟ้า น้ำประปา สัญญาณโทรศัพท์ล้วนถูกตัดขาด ไม่อาจติดต่อกับโลกภายนอกได้ แล้วจะร้องขอความช่วยเหลือได้อย่างไร?
ผู้คนต่างไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็เช่นไร เกิดเื่เช่นเดียวกันหรือไม่ หรือว่าร้ายแรงกว่า
“ไม่ต้องกลัวนะ อาคารที่ถล่มเป็เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่เหลือพวกเรายังอาศัยกันได้อยู่ ไม่มีไฟฟ้าก็ไม่ต้องกลัว อีกเดี๋ยวเครื่องผลิตไฟของเมืองเราก็ใช้งานได้แล้ว ส่วนเื่น้ำประปาก็ไม่ต้องห่วง บ่อน้ำโบราณมีตั้งหลายบ่อมีพอให้พวกเราได้ใช้กัน”
จ้าวซานเหยียพูด เขาถูกฉู่เฟิงตามตัวมาให้ปลอบประโลมผู้คน
ด้วยเพราะจ้าวซานเหยียเป็บุคคลที่ทั้งเมืองให้ความเคารพนับถือ เป็นายช่างร้านตีอาวุธที่ได้รับสืบทอดฝีมืออันไม่เป็สองรองใคร มองโลกในแง่ดี ท่วงท่าแข็งแรงเหล่านี้ล้วนทำให้เขาได้รับความเคารพอย่างสูง
ฉู่เฟิงกลับบ้าน ที่นี่อยู่สุดทิศตะวันออกของเมืองชิงหยาง ได้รับผลกระทบไม่มาก เพียงแค่กำแพงสวนมีรอยแตกเป็แนวยาวไม่กี่รอย ยังไม่หนักหนา
หวงหนิวกำลังมองไปทางทิศตะวันออก ลูกั์ตาทอแสงสีทองอ่อนจาง มันกำลังตื่นเต้น เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง
“แกรออะไรอยู่หืม?” ฉู่เฟิงถาม
หวงหนิวไม่ตอบ ท่าทางสงบเสงี่ยม
จากนั้นอีกหลายวัน เมืองนี้ก็ยังคงถูกตัดขาด ไม่อาจติดต่อกับโลกภายนอกได้
มีคนลองเสี่ยงขับรถออกไปยังตัวอำเภอ แต่ว่าถนนลาดยางล้วนถูกทำลาย กลายเป็ทางดินอันยาวไกล ให้ขับต่อไปอีกห้าสิบกว่ากิโลเมตรก็ยังไม่เห็นตัวเมือง
มันยิ่งทำให้ยิ่งหวาดหวั่น ไม่กล้าขับรถต่อไป เร่งขับรถกลับมาน่าจะดีกว่า
ที่จริงแล้ว ในยามปรกติ ระยะทางจากชิงหยางไปยังตัวอำเภอนั้นไม่ไกล เพียงแค่ห้ากิโลเมตรเท่านั้น แต่ตอนนี้ทุกสิ่งกลับเปลี่ยนไปหมด
นอกจากนี้ ระหว่างทางยังมีูเาลึกลับโผล่ขึ้นมาอีกหลายลูก!
เขาบางลูกสีดำสนิท ััได้ถึงแรงกดดัน เขาบางลูกต้นไม้ใบหญ้าอุดมสมบูรณ์ เสียงเสือสิงห์คำรามลั่น ล้วนน่าสะพรึงกลัว
หากว่าที่นี่ไม่มีสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยอยู่หลายต่อหลายที่ ย่อมต้องสงสัยเป็แน่ว่านี่เป็อีกโลกหนึ่งอย่างแน่นอน
เมืองชิงหยางถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ชาวบ้านล้วนท้อแท้ แม้ว่าเครื่องปั่นไฟของเมืองยังคงทำงาน แต่แสงไฟในยามราตรีก็ไม่อาจปัดเป่าความหวาดกลัวต่ออนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้
หลายวันต่อมา ฉู่เฟิงสงบนิ่งอย่างยิ่ง ไม่ว่อกแว่ก เขาเฝ้าติดตามเื่ราวอยู่เงียบๆ
บิดามารดาของเขาอยู่ที่เมืองซุ่นเทียน ที่ได้รับการเรียกขานว่าเป็มหานครอันเป็ศูนย์รวมของภาคเหนือ มาตรการการป้องกันสูงสุด เขาจึงไม่ห่วงสักเท่าไหร่
หลายวันต่อมา เขาใช้ชีวิตตามตาราง ทุกวันฝึกหายใจด้วยเคล็ดหายใจแบบพิสดารนั่น ด้วยจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว หากสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในได้อย่างชัดเจน
เขาเคยทดสอบด้วยการยกโต๊ะหินในสวน ที่ก่อนหน้านี้ต่อให้เขาแข็งแรงเพียงใด ก็ยกขึ้นได้เพียงครึ่งนิ้วเท่านั้น
ฉู่เฟิงลอบตระหนกอยู่ในใจ มันได้ผลอย่างมาก
ฝึกตอนเช้าหนึ่งครั้ง ตอนเย็นอีกหนึ่งครั้ง ถึงแม้ใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่ว่าเคล็ดการหายใจแบบพิเศษนี้เปรียบเสมือนกับกินยาบำรุง ค่อยๆ สะสมในร่างกาย เพิ่มพลังชีวิตให้แก่กายเนื้อ
เวลาที่เหลือ ฉู่เฟิงออกไปข้างนอก เขาออกไปดูการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
บางพื้นที่ถูกดึงยืด บางพื้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง เขาเดินไปตามสถานที่คุ้นเคย ก็พบว่าพื้นที่โดยรอบล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
พวกูเาหรือทะเลสาบ ระยะห่างนั้นเพิ่มขึ้นเป็สิบเท่า พื้นที่แถบอื่นก็คล้ายๆ กัน
ฉู่เฟิงถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ ที่นี่ห่างจากเมืองซุ่นเทียนที่เป็มหานครอันดับหนึ่งของภาคเหนือไปไม่เกินหนึ่งร้อยกิโลเมตร แต่จากการประเมินเบื้องหน้านี้ ไม่ปาเข้าไปกว่าหนึ่งพันกิโลเมตรหรือ?
ตอนนี้คิดจะไปหาพ่อกับแม่ เห็นทีจะยากเสียแล้ว
หกวันให้หลัง ก็พลันมีสัญญาณโทรศัพท์
ฉู่เฟิงจึงรีบติดต่อบิดามารดาทันที ต่างก็ปลอดภัยดีทั้งสองฝ่าย เขารู้ว่าผู้เฒ่าทั้งสองเป็ห่วงเขาและอยากให้เขากลับไปยังเมืองซุ่นเทียน
เพราะที่นั่นนับได้ว่าเป็สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด มาตรการการป้องกันสูงสุด มีแผนการรับมือทุกรูปแบบ
ที่นั่นเป็ถึงเมืองหลวงเก่าแก่ถึงหกราชวงศ์ บางทีอาจจะมีเหตุผลบางอย่างก็เป็ได้ เพราะถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง แต่มหานครแห่งนี้กลับปลอดภัยไร้อันตราย ไม่มีแผ่นดินยืดขยาย อาคารบ้านเรือนล้วนยังอยู่ดี
นั่นทำให้ฉู่เฟิงรู้สึกยิ่งวางใจไร้กังวล บอกให้พวกเขาอดทนอีกหน่อย แล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี
“ฉู่เฟิง นายเป็ไรหรือเปล่า พระเ้า ทางฉันนี่เปลี่ยนแปลงมโหฬารโคตรเลย ตัวอำเภอนี่ถูกผ่าเป็สองฝั่ง แล้วติดๆ กับนอกเมืองนะ มีูเามหึมาโผล่มาสองลูก ใหญ่โตมโหฬารสูงทะลุเมฆเลย” โจวเฉวียนโทรมาหาเขา พลางเล่าโหวกเหวกอย่างตื่นเต้น “นายเดาสิว่าฉันเจออะไร? คางคกเว้ยเฮ้ย ตัวใหญ่ขนาดโม่หินั์ แถมตอนเจอมันกำลังเขมือบช้างอยู่ด้วย!”
ตาอ้วนโจวโหวกเหวกโวยวายอยู่ปลายสาย
ฉู่เฟิงเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ูเาลึกลับสองลูกที่ขนาบเมืองอยู่นั่นเต็มไปด้วยสัตว์แปลกประหลาด ในชั้นแรกแม้ยังไม่ออกมาจากเขา แต่หากใช้กล้องส่องทางไกลก็จะเห็นพวกมันได้อย่างชัดเจน
โจวเฉวียนเห็นคางคกตัวใหญ่ขนาดโม่หินไล่ล่าสัตว์ร้าย ยิ่งกว่านั้นถึงกับล้มช้างแล้วเขมือบมันตรงนั้น
เมื่อวางสาย ฉู่เฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ถ้าหากพวกสัตว์ร้ายพวกนั้นหนีออกมาได้ โลกไม่ถึงจุดจบอย่างนั้นหรือ? ได้แต่หวังว่าพวกมันไม่สามารถหาทางออกมาจากเขาได้
หลังจากนั้น เครื่องมือสื่อสารของเขาก็ส่งเสียงไม่ขาดสาย ล้วนแต่เป็เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ทำความเข้าใจสถานการณ์ สุดท้ายคือ ระวังตัวให้มากนะ!
โลกวุ่นวายอย่างหนัก นี่คือความรู้สึกแรกของฉู่เฟิง
หากเป็เช่นนี้ต่อไป ต้องเกิดเื่ใหญ่ที่ไม่อาจควบคุมได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น เขารีบต่ออินเทอร์เน็ต เช็กข่าวสารทุกอย่าง ทำความเข้าใจอย่างละเอียด ใครมันจะไปแน่ใจได้ว่าสัญญาณจะเสถียรตลอดเวลา ดีไม่ดี อาจจะถูกตัดขาดเมื่อไหร่ก็ได้
ทุกแห่งหนบนโลกใบนี้คือการเปลี่ยนแปลง!
คนส่วนใหญ่กำลังหวาดกลัว คนไม่น้อยกำลังร่ำไห้ นี่มันไม่ใช่โลกใบที่พวกเขารู้จักคุ้นเคย ความสงบสุขไม่อาจคืนมาได้อีก ผู้คนรู้สึกได้ว่าวิกฤติรุนแรงใกล้เข้ามาแล้ว
พื้นที่ของอาคารที่ถล่ม แม้ตอนแผ่นดินแยกไม่ได้เกิดอย่างฉับพลัน มีเวลาพอให้วิ่งหนี หากก็ยังมีคนส่วนน้อยที่สูญสิ้นชีวิต
ผู้คนต่างเห็นกันแล้วว่า ระยะห่างระหว่างสองเมืองถูกยืดขยายกว่าเดิมถึงสิบเท่า นี่หมายความว่า พื้นที่ทั่วโลกนี้กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเป็ร้อยกว่าเท่า!
หลายคนร้องไห้ รู้สึกว่าโลกนี้ได้เชื่อมต่อเข้ากับอีกโลกหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัว
แต่ก็มีคนพูดว่า นี่แหละ คือโฉมหน้าที่แท้จริงของโลก แผ่นดินกว้างใหญ่ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในอดีต มาวันนี้ได้ประจักษ์แก่สายตาผู้คน
ในชั้นแรก ทฤษฎีมิติทับซ้อนถูกนำออกมาศึกษาค้นคว้าอย่างไม่หยุดหย่อน
ทุกแห่งหนล้วนวุ่นวาย มีการส่งต่อรูปภาพของเหล่าเทพต่างๆ นานา
โดยเฉพาะ ูเาเลื่องชื่ออันเป็มงคล มีต้นไม้เทพเบ่งบาน มีน้ำพุ์ไหลระริน กระนั้นยังมีคนเดินทางไปแย่งชิง เหมือนกับมีการตระเตรียมมาก่อน นั่นทำให้ผู้คนแตกตื่นและสงสัย
หลายวันมานี้ หวงหนิวสงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง มันยืนอยู่ในสวน จ้องมองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับเฝ้าดูอะไรบางอย่าง
แต่ว่าลึกลงไปในั์ตาของมันเต็มไปด้วยความร้อนแรง มีความตื่นเต้น มีความกระตือรือร้น มันเก็บตัว ตั้งตารอคอย!
เช้าตรู่วันนี้ เมื่อดวงอาทิตย์สีแดงฉานโผล่พ้นแนวเขาไท่หังซาน จู่ๆ หวงหนิวก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ส่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา ทั้งยังสะกิดฉู่เฟิงให้ตามมันไป มันกระโจนออกไปนอกสวนโดยไว!