เซี่ยโม่ตาโตไม่อยากจะเชื่อ “ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงสักหน่อย”
ซ่งมู่ไป๋ทำหน้าตาน่าสงสารพลางเอ่ย “โม่โม่ ถึงยังไงเธอก็ไม่รู้จักคนพวกนั้น ช่วยเป็โล่ให้ฉันหน่อยได้ไหม เธอไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นฉันน่าสงสารแค่ไหน คนพวกนั้นจับฉันกดกับกำแพงจนฉันขยับตัวไม่ได้ ถ้าไม่ยอมบอกพวกนั้นก็จะไม่ยอมปล่อยฉันไป…”
เซี่ยโม่พยายามนึกภาพพี่ซ่งที่ตัวสั่นราวกับลูกนกถูกเพื่อนๆ จับกดกับกำแพงตาม
ดูไม่น่าเป็ไปได้สักเท่าไร…
พี่ซ่งทั้งตัวสูงทั้งแข็งแรง ดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่ลูกแกะอ่อนแอที่จะถูกคนอื่นเล่นงานได้
ถึงจะเคลือบแคลงแต่เธอรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “พี่ซ่ง ฉันไม่น่าโทรหาพี่เลย ทั้งหมดเป็ความผิดของฉันเอง”
ซ่งมู่ไป๋ลอบยิ้มในใจขณะโบกไม้โบกมืออย่างไม่คิดมาก “จะโทษเธอได้ยังไง ต้องโทษฉันต่างหาก จัดการเสร็จแต่ไม่ยอมรายงานผลกับเธอ ตอนนั้นฉันมัวแต่รีบกลับไปทำงานเลยคิดไม่ทัน”
ความจริงแม้แต่ในความฝันเขาก็ยังฝันถึงเด็กสาว เมื่อครู่เขาแค่พูดไปอย่างนั้นเองเพื่อรอดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
พอเห็นเด็กสาวมีสีหน้าตกตะลึง ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจ เขาก็ยิ้มกว้างอย่างยินดี ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็สำนึกผิด
เขาเดาถูกจริงๆ ด้วย
เซี่ยโม่ที่รู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเป็กังวล “แล้วถ้าเกิดว่าตอนเราอยู่ด้วยกันบังเอิญเจอเพื่อนร่วมงานของพี่ล่ะคะ ถ้าเขาถามว่าฉันคือใคร พี่จะอธิบายว่ายังไง”
ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “โม่โม่ เธอไม่ต้องคิดมาก ก็บอกพวกเขาไปว่าเธอคือน้องสาวของฉัน อย่างไรเสียคนที่รับสายก็มีแค่คนเดียว เสียงในโทรศัพท์กับเสียงตัวจริงย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว”
เซี่ยโม่นึกถึงการโทรในวันนั้น ค่าโทรไม่เพียงแพง แต่เสียงยังไม่ค่อยดีอีกด้วย ระหว่างสนทนามีเสียงคลื่นแทรกอยู่ตลอด
ความชัดของสัญญาณเทียบกับโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในโกดังสินค้าเธอไม่ติดเลย แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนี้ ใจที่เคยเคร่งเครียดของเธอพลันรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“ค่ะพี่ซ่ง ฉันเชื่อพี่” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสบายอกสบายใจ
ซ่งมู่ไป๋ยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อแผนการได้ผล “่ฤดูใบไม้ร่วงอากาศจะแห้ง เธอต้องกินผลไม้ให้มากๆ…”
ผิงกั่วที่เซี่ยโม่ถืออยู่หนักไม่ใช่น้อย ในโกดังสินค้าของเธอมีผลไม้มากมาย แต่พี่ซ่งก็ยังอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจหาผลผิงกั่วเหล่านี้มาให้เธอ
“พี่ซ่ง ความจริงแล้วเพื่อนร่วมห้องของฉันมีผลไม้เยอะมาก พวกเราค่อนข้างสนิทกัน เธอมักจะชอบเอาผลไม้มาให้ฉันบ่อยๆ ฉันเลยมีผลไม้ให้กินไม่ขาด” เธอพูดด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
ซ่งมู่ไป๋แสดงความสนอกสนใจขึ้นมาทันที “โม่โม่ ถ้าทางเธอมีผลไม้…ไม่ใช่สิ ถ้าเพื่อนร่วมห้องเธออยากเอาผลไม้ออกมาขาย ฉันช่วยได้นะ แน่นอนว่าฉันไม่ช่วยเปล่า ขอเก็บค่าฝากขายแต่ก็แค่นิดหน่อย ได้ประโยชน์กันทั้งคู่”
ได้ฟังเช่นนี้ก็นึกขึ้นได้ว่าพี่ซ่งมีเส้นสายในตลาดมืด เธอเลยเริ่มหวั่นไหว
ในโกดังสินค้ามีของเยอะแยะมากมาย ปีหน้าก็จะกลับมามีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว พอถึงตอนนั้นพี่ซ่งก็คงจะยุ่งกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย คงไม่มีเวลาไปค้าขายแลกเปลี่ยนของ
ถ้าเป็แบบนั้นหากเธอสอบติดที่เมืองหลวงจะมีเงินเรือนสี่ประสานได้อย่างไร
ถ้าไม่มีบ้าน คุณตา คุณยาย และน้องชายจะไปอยู่ที่ไหนกัน
ซ่งมู่ไป๋โน้มน้าวต่ออีกว่า “ที่ทำงานฉันยังมีคนอยากซื้อนาฬิกา ถ้าเพื่อนของเธอยังมีละก็ ฉันช่วยขายให้ได้นะ”
นาฬิกาหนึ่งเรือนราคาเท่าไร แล้วผลไม้กองใหญ่ราคาเท่าไร
เซี่ยโม่เริ่มหวั่นไหวทีละนิด
“พี่ซ่ง ถ้าฝากพี่ขาย พี่จะไม่เป็ไรเหรอคะ”
“ไม่เป็ไรแน่นอน ฉันมีคนหนุนหลัง”
เธอมองนาฬิกาในโกดังสินค้า ไม่นานก็ตัดสินใจได้
“พี่ซ่ง ตอนบ่ายพี่ว่างไหมคะ ประมาณบ่ายสามจะเป็คาบทบทวน พอถึงคาบนั้นฉันจะขอลากับคุณครู จากนั้นจะไปเอาผลไม้กับนาฬิกาที่บ้านเพื่อน รวมถึงของอื่นๆ ไปให้พี่”
“ได้”
ความจริงหลังจากเกิดเื่เซี่ยวฉางเซิง ซ่งมู่ไป๋ก็เริ่มหันมาสนใจคนรอบข้างของเด็กสาว
เขาเคยให้คนไปสืบเื่ตอนที่เด็กสาวเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น พบว่าไม่มีเพื่อนนักเรียนคนที่เธอกล่าวอ้าง
เพื่อนร่วมห้องของเด็กสาวล้วนมีฐานะทางบ้านธรรมดา ส่วนใหญ่เกิดในครอบครัวชาวนา
มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในตำบล ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยวฉางเซิง
หลังจากเปิดเทอม มีบางคนย้ายโรงเรียน และมีบางคนที่ไปเป็ทหาร ไม่มีเพื่อนนักเรียนผู้หญิงแบบที่เด็กสาวว่ามาสักคน
นั่นแปลว่าเด็กสาวโกหก เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายไปเอาของพวกนี้มาจากไหน
ซ่งมู่ไป๋สังเกตสีหน้าเด็กสาว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง ด้วย้าขายของพวกนี้ให้ได้
ในเมื่อเป็เช่นนี้ เขาก็พร้อมจะช่วย เด็กสาวจะได้ไม่ไปหาคนอื่น
โชคดีที่ครั้งที่แล้วเด็กสาวไปหาพั่งจื่อกับโซ่วจื่อ เกิดวันหนึ่งเธอรีบร้อนอยากจะใช้เงินแล้วไปหาคนอื่น ถูกทางการจับได้ขึ้นมาต้องแย่แน่ๆ
เซี่ยโม่ไม่ได้รู้ถึงความคิดของซ่งมู่ไป๋เลยสักนิดเดียว
พอถึงคาบทบทวนเธอขอลากับคุณครู ขี่จักรยานออกจากโรงเรียนไปที่บ้านในตำบลของพี่ซ่ง
เนื่องจากได้รับบทเรียนเมื่อคราวที่แล้ว วันนี้เซี่ยโม่ยืนอยู่ปากทางเข้าซอยแห่งหนึ่ง มองไปโดยรอบอยู่นานเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีคนแน่ๆ จากนั้นถึงค่อยเข้าไปในโกดังสินค้า หยิบเอาส้มและผิงกั่วใส่ในตะกร้า ไม่เพียงแค่นั้นยังหยิบนาฬิกายี่ห้อหนึ่งจากเมืองเซี่ยงไฮ้ใส่ตะกร้าไปอีกยี่สิบเรือน
เสร็จเรียบร้อยเธอออกมาจากโกดังสินค้า เอาตะกร้าวางไว้ที่เบาะด้านหลังของรถจักรยาน พร้อมมัดอย่างดิบดี ก่อนจะจูงจักรยานออกจากซอยแล้วตรงไปที่บ้านของพี่ซ่งในตำบล
เมื่อถึงหน้าบ้าน ขณะที่เธอกำลังจะยกมือเคาะประตู ประตูกลับถูกคนเปิดออกมาเสียก่อน
เด็กสาวสะดุ้งใ คนที่เปิดประตูออกมาคือพี่ซ่งในชุดเสื้อคลุมกันลม
“เดิมทีฉันจะไปรับเธอ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องไปรับที่ไหน เลยได้แต่รออยู่ที่นี่” ซ่งมู่ไป๋เอ่ยออกมา
เธออ้างออกไปส่งๆ “พี่ซ่ง ฉันมีรถจักรยาน พี่จะต้องเป็ห่วงอะไรคะ อีกอย่างพี่ไม่ไปที่บ้านเพื่อนฉันแหละดีแล้ว พวกเขาจะได้ไม่คิดมาก”
“งั้นเดี๋ยวฉันช่วยเธอจูงจักรยาน” ซ่งมู่ไป๋พูดอย่างเอาใจใส่ก่อนจะรับจักรยานมาจูงเอง
หลังจากขนตะกร้าเข้าไปไว้ในบ้านแล้ว ซ่งมู่ไป๋เปิดตะกร้าออกดู เห็นของข้างในก็ตาโตด้วยความตกตะลึง
“ผลไม้เยอะมาก แถมดูสดใหม่ด้วย…”
พอนึกถึงผิงกั่วเก่าเก็บเ่าั้ที่ให้เด็กสาวไป เขารู้สึกละอายขึ้นมาในทันใด
พอเห็นว่าในตะกร้าไม่เพียงมีผลไม้เท่านั้น ยังมีห่อผ้าอีกหนึ่งห่อ เมื่อเปิดออกดูพบว่าคือนาฬิกายี่ห้อหนึ่งจากเมืองเซี่ยงไฮ้จำนวนยี่สิบเรือน
เขาตาโตอ้าปากค้าง “โม่โม่ เธอนี่สุดยอดไปเลย ไม่ใช่สิ เพื่อนของเธอสุดยอดไปเลย ไปเอานาฬิกาหลายเรือนขนาดนี้มาจากไหน”
เซี่ยโม่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่า ชายหนุ่มดูออกตั้งนานแล้วว่าของทั้งหมดไม่ได้มาจากเพื่อนนักเรียนตามที่กล่าวอ้าง
เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าถือดี “เธอมีญาติที่เจ๋งมากค่ะ น่าจะได้มาจากโรงงาน เื่นี้ฉันเองก็ไม่กล้าถาม พี่ซ่ง เราอย่าไปสนใจเื่นี้เลยค่ะ สนแค่ขายได้ก็พอ”
“เธอพูดถูก” เขาพยักหน้าเห็นด้วย
ซ่งมู่ไป๋รินน้ำใส่แก้วก่อนจะยื่นให้เด็กสาว พลางเอ่ยถามอย่างเป็ห่วง “จริงสิ ว่าแต่ฟืนที่ฉันกับเพื่อนไปตัดมาให้พอใช้ไหม ถ้าไม่พอ ฉันจะพาเพื่อนไปช่วยตัดเพิ่มให้”
“คุณตาบอกว่าพอแล้วค่ะ”
ความจริง่สุดสัปดาห์เซี่ยโม่ลองใช้ระบบจัดเก็บของโกดังสินค้าไปเก็บมาเพิ่ม เธอเก็บฟืนได้มามากพอควรจึงไม่จำเป็ต้องรบกวนพี่ซ่งอีก
เธอเป่าน้ำให้หายร้อนก่อนจะยกขึ้นดื่ม รสชาติแรกที่กระทบลิ้นคือรสชาติหวาน
“พี่ซ่ง ใส่น้ำตาลลงไปในน้ำเหรอคะ ใส่ลงไปเยอะไหม”
“เธอผอมเกินไป ดื่มน้ำตาลนิดหน่อยไม่อ้วนหรอก”
เธอขมวดคิ้วก่อนจะอธิบาย “พี่ซ่ง หากกินน้ำตาลเยอะจะทำให้เป็โรคเบาหวาน แล้วก็จะทำให้อ้วนขึ้นด้วย”
ตอนแรกซ่งมู่ไป๋คิดจะแสดงให้เด็กสาวเห็นถึงความฉลาดของตัวเอง ที่ไหนได้กลับกลายเป็แสดงความโง่เสียอย่างนั้น
เด็กสาวคิดได้รอบคอบ ไม่เหมือนใครจริงๆ สงสัยคงเพราะเรียนเื่การแพทย์และสมุนไพรมา
