กรวิชญ์ ชายหนุ่มหน้าตาดีและเพียบพร้อมด้วยการศึกษาจากต่างประเทศ เพิ่งจะเดินทางกลับมายังประเทศไทยหลังจากที่ใช้ชีวิตในต่างแดนมาหลายปี เมื่อเขาได้รับข่าวว่า คุณตาผู้ล่วงลับของเขาได้ยกมรดกบ้านทรงไทยหลังหนึ่งให้เป็มรดกตกทอด บ้านหลังนี้ไม่ใช่แค่บ้านธรรมดา แต่เป็บ้านที่ได้รับการสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
บ้านทรงไทยหลังนี้ตั้งอยู่ในย่านชนบทห่างไกลจากความเจริญ ซึ่งถูกล้อมลอบไปด้วยป่ากล้วยเขียวขจีที่ขยายตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจริญเริ่มขยับเข้ามาใกล้ ถนนที่เคยขรุขระและแคบกำลังถูกตัดผ่านมาใกล้ถึงบ้านหลังนี้ ทำให้กรวิชญ์เริ่มเห็นโอกาสในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าของบ้าน
กรวิชญ์ตัดสินใจเดินทางไปที่บ้านสวนทรงไทยของคุณตา เขาหวังว่าจะใช้เวลาที่นี่เพื่อบำรุงรักษาบ้านให้คงสภาพดี และตั้งใจที่จะเก็บไว้ขายในอนาคต เมื่อมาถึง เขาถึงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์จากอดีต แม้จะมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์นัก แต่มันกลับยังคงความงดงาม
กรวิชญ์เดินสำรวจบ้านหลังนี้อย่างละเอียด เขาััได้ถึงบรรยากาศที่สงบเงียบและเก่าแก่ แม้ว่าจะมีความรู้สึกว่าอะไรบางอย่างไม่ปกติในสถานที่แห่งนี้ แต่เขากลับไม่คิดมากนัก เพราะมันคือบ้านมรดกของคุณตา
่เวลาหัวค่ำ กรวิชญ์รู้สึกหิวข้าวหลังจากใช้เวลาตลอดวันในการสำรวจบ้านสวนและสภาพแวดล้อมรอบๆ เขา เดินออกจากบ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่และมุ่งหน้าไปยังตลาดชุมชนใกล้ๆ ที่มีร้านค้าเล็กๆ เรียงรายกันอยู่ริมถนน
ระหว่างทางที่เดินผ่านร้านต่างๆ เขาสังเกตเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่ร้านหนึ่งที่ดูน่าสนใจ มีลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านไม่กี่คน แต่บรรยากาศภายในกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นหอมของก๋วยเตี๋ยวที่ลอยมาเตะจมูก เขาหยุดเดินและมองไปที่ป้ายร้านก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป
"พ่อหนุ่มพึงย้ายมาใหม่เหรอ? ไม่เห็นจะคุ้นหน้าเลย" ลุงเ้าของร้านทักทายด้วยน้ำเสียงเป็มิตร และรอยยิ้มที่ยิ้มอย่างจริงใจ
"ผมเป็หลานชายของตาทองใบครับ หลังจากที่คุณตาเสีย ผมพึ่งรู้ว่าคุณตาได้มอบบ้านหลังนี้ให้กับผม" กรวิชญ์บอกไปอย่างเรียบๆ
แต่คำตอบของเขากลับทำให้บรรยากาศในร้านเงียบลงชั่วขณะ คนในร้านหันมามองเขาอย่างใ และลุงเ้าของร้านที่กำลังจัดการกับเครื่องปรุงต่างๆ ถึงกับหยุดชะงัก
"เ้าหนุ่ม... อย่าบอกนะว่าเอ็งนอนที่บ้านทรงไทยหลังนั้น" ลุงเ้าของร้านแอบกระซิบเสียงแ่เบา สายตาของเขาดูหวาดระแวงเล็กน้อย
กรวิชญ์หันไปมองลุงและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างปกติ "ใช่ครับลุง"
คำตอบของเขาทำให้บรรยากาศในร้านยิ่งแปลกออกไป ผู้คนที่นั่งอยู่ในร้านต่างส่งสายตากันไปมา
"ลุงว่าเอ็งรีบย้ายออกไปจากที่บ้านหลังนั้นจะดีกว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านต่างรู้กันดีว่าบ้านทรงไทยหลังนั้นมีผี..." ลุงพูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว สีหน้าของเขาเริ่มซีดลง ราวกับว่ากำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
กรวิชญ์มองลุงเ้าของร้านแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ "ฮ่าฮ่าฮ่า... ลุงพูดจาล้อเล่นนะครับ ผีมันจะไปมีจริงได้ไง" เขายังคงหัวเราะด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
หลังจากที่กรวิชญ์ทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จ เขาก็ลุกจากโต๊ะและเดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกที่ยังคงสับสนจากคำเตือนของลุงเ้าของร้าน
ขณะที่เขาเดินออกจากร้านและมุ่งหน้าไปยังบ้านสวนทรงไทยของตน ภาพของป่ากล้วยที่ล้อมรอบบ้านกลับเริ่มชัดเจนขึ้นในความคิด ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเริ่มมืดลง แสงสุดท้ายของวันหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เหลือเพียงความมืดและความเงียบสงัดที่ครอบคลุมทุกสิ่ง
เมื่อกรวิชญ์เดินมาถึงทางเข้าสวน เขาหยุดยืนนิ่งอยู่ที่บริเวณป่ากล้วยที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้าน เสียงใบกล้วยที่ถูกลมพัดไหวเบาๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนเดินอยู่ใกล้ๆ แม้จะไม่ได้เห็นอะไรชัดเจน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความไม่ปกติบางอย่าง
กรวิชญ์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลมหายใจของเขายังคงสงบแต่กลับรู้สึกหนาวเย็นที่แปลกประหลาดขึ้นมา ราวกับว่ามีสิ่งใดบางอย่างอยู่ในอากาศ ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากที่ไหนสักแห่งในความมืด
"มันคงแค่ความรู้สึกกลัวในตอนกลางคืนเท่านั้น..." กรวิชญ์พยายามปลอบใจตัวเองด้วยเสียงที่เบา แต่ก็ไม่สามารถขจัดความรู้สึกผิดปกติในอากาศได้
เสียงลมที่พัดผ่านไปมาเริ่มแ่เบาลง ท่ามกลางความเงียบของป่ากล้วย เขายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ภายในความมืด ที่ในตอนนี้ดูเหมือนจะครอบงำทุกอย่างรอบตัวเขา
แล้วในทันทีที่เขากำลังจะก้าวเดินต่อไป เสียงกระซิบเบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งในป่ากล้วย ทำให้กรวิชญ์ชะงักมือ และหันไปมองท่ามกลางความมืด...
"กรวิชญ์..." เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง แ่เบาและอ่อนโยน แต่กลับทำให้เขารู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง
กรวิชญ์พยายามตั้งสติและคิดในแง่ดี เขาบอกกับตัวเองว่าไม่ต้องวิตกกังวลกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น อาจเป็เพียงแค่ความรู้สึกของเขาเท่านั้น ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางและการสำรวจรอบๆ บ้านทรงไทยอาจทำให้เขาคิดไปเอง เขาอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว ไม่มีใครสามารถมาหาเขาหรือเรียกชื่อเขาได้
กรวิชญ์จึงตัดสินใจเดินขึ้นบันไดบ้านทรงไทยของตนเอง เขากลับเข้าสู่บ้านที่เงียบสงัด ปิดประตูให้มิดชิดเพื่อป้องกันอากาศเย็นจากภายนอก และลงไปที่ห้องนอนของตัวเอง อากาศภายในบ้านหนาวเย็นอย่างน่าแปลกใจ แม้จะเป็ฤดูร้อนในที่อื่น แต่ที่นี่กลับมีความเย็นที่เหมือนกับฤดูหนาว
เขาปิดผ้าม่านและเตียงที่สะอาดตาก็รอให้เขานอนพักผ่อน หลังจากที่กรวิชญ์นอนหลับไปได้ไม่นาน ความเหนื่อยล้าจากทั้งวันก็ทำให้เขาหลับสนิท ไม่ทันที่เขาจะได้คิดถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นใน่เย็น
ทว่ากลางดึก ร่างของกรวิชญ์กลับรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างในอากาศ เสียงเบาๆ เริ่มแทรกเข้ามาในหูของเขา คล้ายกับเสียงฝีเท้าที่เดินช้าๆ ไปมาในห้อง เขาตื่นขึ้นในทันที รู้สึกเหมือนมีใครบางคนอยู่ข้างๆ
"กรวิชญ์..." เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม คราวนี้มันเหมือนกับเสียงที่แ่เบาแต่มาจากใกล้ๆ ไม่ได้มาจากที่ไหนไกล เขาหันไปมองทั้งห้อง แต่ไม่มีใครอยู่ในนั้น ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว
กรวิชญ์รู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่กระจายไปทั่วห้อง ความรู้สึกหนาวเย็นเริ่มเกาะกุมร่างกายของเขา เขาลุกขึ้นจากเตียงไปหยิบไฟฉายที่วางอยู่ข้างเตียงและเปิดมันขึ้นมาเพื่อสำรวจห้อง แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ
เขายืนอยู่ในห้องด้วยหัวใจที่เต้นแรงและความรู้สึกว่าว่ามีสิ่งใดบางอย่างกำลังมองเขาอยู่ ความสงบที่มีอยู่ในห้องตอนนี้กลับกลายเป็ความอึดอัดที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความหวาดกลัว
"มันคงเป็แค่ความฝัน" เขาพยายามปลอบใจตัวเองและกลับขึ้นไปนอน แต่ในขณะที่เขากำลังจะหลับไปอีกครั้ง เสียงนั้นกลับดังขึ้นมาอีก
"กรวิชญ์..." เสียงเรียกชื่อเขาครั้งนี้ดูเหมือนจะชัดเจนยิ่งขึ้น เสียงนั้นช่างคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินมาก่อน ในขณะที่เขาพยายามข่มตาหลับ ความรู้สึกแปลกๆ กลับยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างเตียงของเขา...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้