หากเป็เมื่อก่อน อวิ๋นซีไม่มีทางมีความคิดเช่นนี้แน่ อย่างไรเสียเด็กก็ถือเป็ผู้บริสุทธิ์ แต่เมื่อนางได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ที่ตระกูลเฉียวถูกฆ่าล้างตระกูลมาแล้ว จิตใจของนางก็นับว่าตายไปนานแล้ว ผู้บริสุทธิ์หรือ? ในโลกใบนี้ที่ทุกชีวิตขึ้นอยู่กับอำนาจแห่งราชวงศ์ เช่นนี้ยังจะมีผู้บริสุทธิ์อะไรหลงเหลืออยู่อีก?
ไม่ว่าจะเป็เื่ใดก็ถือเป็เครื่องบูชายัญเพื่ออำนาจของคนในราชวงศ์ทั้งสิ้น ไม่ใช่เพียงแค่คนตระกูลเฉียวที่เป็ผู้บริสุทธิ์ แม้แต่หลานชายอายุเพียงสามขวบของนางเองก็ไม่อาจโชคดีมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เด็กน้อยที่มีอายุเพียงสามขวบนั่นไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์หรือ?
ทว่าแล้วอย่างไรเล่า? ความกริ้วของฮ่องเต้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็เพียงทารกอายุครึ่งเดือนก็คงไม่มีทางหลีกหนีภัยร้ายนี้ไปได้กระมัง ด้วยเหตุนี้ เพื่อจะแก้แค้น ไม่ว่าจะเป็สิ่งใดนางล้วนไม่สน หากว่าไม่สามารถทำให้คนตระกูลเฉียวในปรภพสงบสุขได้ นางก็คงผิดต่อ์ที่ให้โอกาสตนได้มาเกิดใหม่อีกครั้งแล้ว
นางพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ตายไปก็ดีและปกปิดได้ดี หากว่านายท่านสือไม่ตาย พวกเราจะได้เห็นงิ้วดีๆ ดังเช่นในวันนี้ได้อย่างไร”
จวินเหยียนได้ยินคำพูดเหล่านี้ของนางก็ถึงกับเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อมองดูนางในยามนี้ อีกทั้งเขายังสามารถรับรู้ได้ถึงความอาฆาตแค้นอันเข้มข้นที่สุมอยู่ในใจของนาง ความอาฆาตแค้นนี้ไม่เหมือนความแค้นที่มีต่อคนตระกูลสือ และไม่เหมือนความแค้นที่มีต่อคนตระกูลลู่ด้วยเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้นเมื่อได้เห็นท่าทางในยามนี้ของนางก็ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วคงวาดหวังให้ลู่เหวินเจิ้นและคนตระกูลสือต้องกลายเป็ศัตรูกัน เพราะอะไรกันแน่?
สือเหยียนจวินกับลู่เหวินเจิ้นล้วนเป็คนของโอวหยางเทียนหัว หากว่าระหว่างพวกเขาต้องกลายมาเป็ศัตรูกันจริงๆ คนที่ได้รับผลเสียจากเื่นี้มากที่สุดก็คือโอวหยางเทียนหัว ชายหนุ่มอดตื่นตะลึงไม่ได้ ทุกอย่างที่เขาคิดจะมีความเป็ไปได้จริงหรือ?
ทุกอย่างที่นางทำไปอาจไม่ใช่เพื่อเป็การปกป้องตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เป็การพุ่งเป้าไปที่โอวหยางเทียนหัวด้วย?
เมื่อไตร่ตรองมาถึงตรงนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติมากยิ่งขึ้น จะเป็ไปได้อย่างไรในเมื่อนางไม่เคยไปจากหานโจว แล้วจะไปมีความแค้นกับโอวหยางเทียนหัวได้อย่างไร? เื่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สอดคล้องกัน
“จ้องมองข้าทำไมหรือ? ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ร่วมมือกันแล้ว ในเมื่อสือเหยียนจวินมิใช่คนของท่าน หากเขากับลู่เหวินเจิ้นเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ ท่านก็สามารถนั่งเฉยๆ รอรับผลประโยชน์ได้แล้ว เป็เช่นนี้ไม่ดีหรอกหรือ? อย่างไรเสียข้าก็้าเพียงให้ลู่เหวินเจิ้นและลู่อวี้ฉิงจบไม่สวย ส่วนเื่อื่นก็ถือว่าเป็การช่วยท่านจัดการไปในตัว” แผนการน่าหวาดกลัวได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาในใจนางแล้ว
ยิ่งกว่านั้น นางไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าจวินเหยียนกำลังสงสัยในตัวนางแล้ว ทั้งยังคงพูดแผนของตนต่อไป “ในเมื่อท่านคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงหานโจว ด้วยเื่นี้คงไม่จำเป็ต้องปิดบังราชสำนัก ทว่า เื่สำคัญที่สุดที่ควรปิดบังไว้ก็คือการเปลี่ยนขุนนางทั้งบนและล่างในหานโจวให้เป็คนของท่านให้หมด รวมถึงแม่ทัพใหญ่แห่งด่านฉีผิงด้วย”
ตอนนี้นางไม่กลัวที่จะแสดงออกมากเกินไปต่อหน้าเขาอีกแล้ว เพราะหากราคาจากการใช้ประโยชน์จากคนผู้หนึ่งยิ่งสูง ตัวนางเองก็ยิ่งปลอดภัย อีกทั้งในสายตาของนาง โอวหยางจวินเหยียนนับเป็คนฉลาด เขาต้องรู้แน่ว่าตนเองควรต้องทำเช่นไร
จวินเหยียนสูดลมหายใจเข้า “ฮูหยิน เ้าเป็ผู้ช่วยที่ดีของสามีจริงๆ ”
เมื่อครู่ยังพูดกันอยู่ดีๆ ยามนี้กลับต้องได้ยินถ้อยคำของเขาที่ชวนให้อารมณ์สั่นไหว ฉับพลันนั้นใบหน้านางก็ดำคล้ำ “เหมือนว่า ท่านจะะโจนติดเป็นิสัยแล้ว”
ฮูหยินอะไรกัน? นางสามารถทุ่มคนผู้นี้ออกไปเสียตอนนี้เลยได้หรือไม่?
เขาทำเพียงยิ้ม และไม่ได้ล้อนางอีก “พูดต่อเถิด เ้าคิดจะทำเช่นไรต่อไป? ” หลายปีมานี้เขาได้ทำการเปลี่ยนตัวเหล่าขุนน้ำขุนนางในหานโจวให้เป็คนของเขาไปไม่น้อยแล้ว ทว่าสำหรับแม่ทัพใหญ่แห่งด่านฉีผิงหาใช่คนที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายเช่นนั้น ทั้งยังมีลู่เหวินเจิ้นอีกคนหนึ่ง ซึ่งทั้งสองคนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็คนของรัชทายาท แต่พวกเขาล้วนเป็คนที่เสด็จพ่อให้ความสำคัญด้วย
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็มองดูจวินเหยียนราวกับมองคนโง่ “ข้าให้ท่านได้เห็นประโยชน์ของตัวข้าแล้ว ทว่าเื่ที่ท่านให้สัญญากับข้าไว้ หากยังทำไม่สำเร็จ เื่ทุกอย่างระหว่างเราก็ขอให้หยุดไว้แค่นี้”
จวินเหยียนมองนางอย่างประเมิน นางช่างเป็สตรีที่เ้าเล่ห์เสียจริง โดยเริ่มต้นด้วยการพูดสิ่งที่น่าสนใจ เพื่อให้เขาได้เห็นด้านที่เฉลียวฉลาดของนาง แต่สุดท้ายกลับไม่พูดแผนการออกมาให้ฟังทั้งหมด ทำให้เขารู้สึกค้างคา เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายที่นางตั้งไว้ จวินเหยียนไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นางคือสตรีที่เฉลียวฉลาดนัก และโชคดีเหลือเกินที่นางหาใช่เป็ศัตรูกับตน ถึงกระนั้นเขาก็คิดไปว่า หากต่อไปในอนาคตต้องประชันความกล้าและสติปัญญากับสตรีเช่นนี้ไปชั่วชีวิตแล้วละก็ มันจะต้องน่าสนุกมากกว่านี้แน่ๆ
คุณค่าของนางยิ่งมีมากขึ้นกว่าที่ตนเห็นก่อนหน้านี้มากนัก
เขาพยักหน้า “วางใจเถิด เมื่อกลับไปแล้ว ข้าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเ้าให้เป็จริง” ทุกอย่างกำลังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการ และหากรอจนกลับไป เื่ทุกอย่างก็น่าจะใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ลู่เหวินเจิ้นจะพาลู่อวี้ฉิงไปที่ใดกัน? ” นางถาม เมื่อเห็นว่าเดินทางมานานเพียงนี้แล้ว แต่กลับยังไร้ร่องรอยของสองคนนั้น
จวินเหยียนยกม่านของรถม้าขึ้น ก่อนจะมองออกไปด้านนอก ขบคิดอีกครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “คาดว่าคงไปที่อำเภอโจวที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ เพราะลู่เหวินเจิ้นมีเรือนพักส่วนตัวอยู่ที่นั่น ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำที่งดงามยิ่ง อีกทั้งเมื่อก่อนนี้ลู่อวี้ฉิงเองก็เคยไปพักแรม่สั้นๆ อยู่บ่อยครั้ง และข้าก็คิดว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะไปถึงที่นั่นกันแล้ว”
ตอนที่คณะของพวกเขาเดินทางมาถึงอำเภอโจวก็เลยยามอู่ไปแล้ว จวินเหยียนพานางลงจากรถม้า พวกเขารวมตัวกันที่บริเวณตลาดอันแสนคึกคักพร้อมทั้งไม่ลืมสั่งให้สารถีนำรถม้าไปจอดรออยู่ที่โรงเตี๊ยมก่อน ส่วนตัวเขานั้นคิดจะพานางเดินเที่ยวที่อำเภอโจวแห่งนี้เสียสักหน่อย “อำเภอโจวมีชื่อเสียงร่ำลือว่าเป็ดินแดนแห่งงานฝีมือ บริเวณรอบข้างแถบนี้เป็ขุนเขาที่ทอดยาวติดกันอยู่โดยรอบ ซึ่งบนเขานั้นมีไม้ที่เป็เนื้อไม้ชั้นดีอยู่มากมาย มิหนำซ้ำต้นไม้แต่ละต้นก็อายุยืนกันทั้งนั้น ดังนั้นงานไม้แกะสลักของที่นี่จึงค่อนข้างมีชื่อเสียงมากในแถบตะวันตกเฉียงเหนือนี้”
อวิ๋นซีรู้ดีว่า เหตุที่เขาพาตนเดินไปเช่นนี้มีเป้าหมายอื่นแอบแฝงอยู่ นางเสมองเขาพลางขบคิดถึงสิ่งที่อยากจะพูด ทว่าในชั่วขณะนั้น จู่ๆ ก็พบว่าเขาได้กุมมือนางไว้อย่างแแ่แล้ว “พวกเราเป็สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันไปหมาดๆ ”
จอมเผด็จการผู้นี้และประโยคนี้อีกแล้ว
ได้ เพื่อเป้าหมายของตน นางจะต้องอดทน
“ที่นี่ สำคัญกับท่านมากหรือ? ” หากไม่ใช่สถานที่ที่สำคัญ เขาคงไม่จงใจบอกกล่าวแก่นางเป็พิเศษเช่นนี้
เขามองดูนาง ก่อนกล่าวยิ้มๆ “เป็สาวน้อยที่ฉลาดมาก” เขาจับมือนางเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยระหว่างทางจะสามารถพบเห็นร้านประติมากรรมแกะสลักจากไม้ได้เป็ระยะๆ ซึ่งต่อให้ร้านค้าแห่งนั้นจะเป็เพียงแค่เพิงขายของเล็กๆ แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังต้องมีรูปสลักเล็กๆ ที่ทำจากไม้วางอยู่ให้เห็น “ที่นี่มีตระกูลคหบดีใหญ่แซ่ฉินอยู่ตระกูลหนึ่ง ซึ่งตระกูลนี้ทำกิจการเกี่ยวกับประติมากรรมไม้แกะสลัก ยิ่งไปกว่านั้นไม้แกะสลักของพวกเขาก็ขายดิบขายดีไปจนถึงในเมืองหลวง บรรดาคุณชายชนชั้นสูงทั้งหลายต่างล้วนให้ความสนใจและนิยมซื้อหาไว้เป็อย่างมาก”
ไม้แกะสลักที่ได้รับความนิยมจากบรรดาคุณชายชนชั้นสูง? นางขบคิด ในความทรงจำของนาง เมื่อสองปีก่อนยังไม่มีร้านไม้แกะสลักใดที่ได้รับความนิยมจากบรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวง ดังนั้น คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวที่พอจะมีก็คือ ร้านขายงานไม้แกะสลักนี้เพิ่งจะได้เปิดทำการในเมืองหลวงภายใน่สองปีที่ผ่านมานี้
“ไม่เลว คบค้าสมาคมกับพวกชนชั้นสูง เป็วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะได้ข่าวสารมา” นางกล่าวเรียบๆ ขณะคิดไปว่าโอวหยางเทียนหัวผู้นั้นจะต้องคิดไม่ถึงแน่ว่า คนที่ตนคิดระแวงระวังอยู่ทุกคืนวันถึงกับทำการค้าไปถึงเมืองหลวงนู่นแล้ว
ดูท่าเมื่อก่อนนางคงจะมองปัญหาอย่างง่ายดาย และมองเพียงด้านเดียวจนเกินไป หากจะพูดให้ถูก โอวหยางเทียนหัวนั้นถือเป็คนมากเล่ห์อย่างแน่นอน ทว่าเมื่อเทียบกับบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายนางผู้นี้แล้วดูเหมือนว่าโอวหยางเทียนหัวจะยังอ่อนด้อยกว่านิดหน่อย
บางทีอาจเพราะหลายปีนี้โอวหยางเทียนหัวได้ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมากจนเกินไป จึงทำให้เขาไม่มีประสบการณ์ดังที่จวินเหยียนมี ด้วยเหตุนี้ สายตาจึงได้ไม่กว้างไกลเท่า อีกทั้งนี่ยังแสดงให้เห็นว่าหลายปีมานี้จวินเหยียนคงจะทำอะไรไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“บางครั้งสตรีเฉลียวฉลาดเกินไปก็ไม่ดี เพราะจะทำให้บุรุษไร้ที่แสดงฝีมือ” นิ้วโป้งของเขาออกแรงกดลงไปบนฝ่ามือนาง ขอแค่มีเบาะแสเพียงเล็กน้อย สตรีผู้นี้ก็มักจะคิดเชื่อมโยงไปได้หลายเื่อยู่เสมอ
ซึ่งจะสังเกตได้ว่า เมื่อครู่นี้เขาเพียงพูดถึงร้านไม้แกะสลัก แต่นางกลับสามารถคิดไปถึงประโยชน์ที่เขาจะได้จากการใช้มันเป็แหล่งรวบรวมข่าวสาร และทุกสิ่งก็เป็เช่นนั้นจริง ร้านไม้แกะสลักของเขาคือหนึ่งในสถานที่สำหรับรวบรวมข่าวสารที่สำคัญเป็อันดับหนึ่ง