เมื่อล้างหน้าแต่งตัวเสร็จ จวินเหยียนก็มอบหน้ากากหนังคนให้นางหนึ่งแผ่น เพื่อจะได้แปลงโฉมก่อนออกไป ถึงกระนั้นนางก็อดถามไม่ได้ “เมื่อครู่นี้สาวใช้สองคนนั้นต่างเห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้าแล้ว หากจะให้แปลงโฉมตอนนี้จะยังมีประโยชน์อยู่หรือ? ”
เขาหัวเราะเบาๆ “สาวใช้สองคนนั้นล้วนเป็คนของข้า เชื่อใจได้แน่นอน”
“สตรีของท่าน? ” นางถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าใกล้ใบหูนางแล้วจึงตอบเสียงเบา “ไม่ใช่ สตรีของข้ามีเพียงคนเดียว นั่นก็คือเ้า ฮูหยินข้า”
อวิ๋นซีคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดคำเช่นนี้ออกมา ขณะนั้นเมื่อได้เห็นนางมีท่าทางอึ้งค้าง เขาก็หัวเราะก่อนจะกล่าวเสริม “เร็วเข้าเถอะ ข้าจะรอเ้าอยู่ข้างนอก” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องไปและมานั่งรอนางอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอก
เมื่ออวิ๋นซีแปลงโฉมเสร็จแล้ว นางก็หยุดมองใบหน้าที่ไม่คุ้นตานั้น ดวงหน้าของสตรีในคันฉ่องดูอ่อนหวานและเรียบร้อย แต่ไม่อาจนับได้ว่างดงาม ทั้งยังไม่อาจเทียบได้เลยกับใบหน้าของอวิ๋นซี ทว่าใบหน้านี้เหนือกว่านางตรงที่ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกสบายใจและอยากเข้าใกล้
นางเปลี่ยนไปสวมเสื้อตุ้ยจิน [1] และกระโปรงร้อยจีบรอบเอวสีเขียวอ่อนที่เขาเตรียมไว้ให้ จากนั้นจึงรวบผมขึ้น สวมรัดเกล้าสร้อยระย้ารูปดอกหลันฮวาที่ทำจากผลึกแก้วคุณภาพสูง พร้อมปักปิ่นหยกขาวรูปดอกหลันฮวาประดับแต่งบนศีรษะ ยามนี้ทั่วทั้งร่างนางดูภูมิฐานคลับคล้ายนายหญิงผู้ใจกว้างจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยเป็อย่างมาก
ทันทีที่เขาได้เห็นนางแต่งกายเช่นนี้ก็อดยิ้มเบาบางให้ ก่อนจะพยักหน้ารับไม่ได้ “เ้า… งดงามมาก” นี่เป็ความจริงที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจเขา แม้ดวงหน้าในยามนี้ของนางจะมิได้งดงามและโดดเด่นเท่าใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็ช่าง ‘อ่อนโยนใจกว้าง พอเหมาะพอเจาะไปหมด’
นางหาได้สนใจในคำเยินยอนั้น และทำเพียงมองเขาผ่านๆ ไปทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไป ทว่าเดินไปได้แค่เพียงสองก้าวกลับถูกอีกฝ่ายดึงไว้เสียก่อน “ลืมบอกเ้าไปเลย ข้าบอกคนอื่นว่าเราเป็คู่รักข้าวใหม่ปลามัน ดังนั้นท่าทางเช่นนี้ของเ้าจะใช่สิ่งที่คู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งควรจะเป็จริงๆ หรือ? ”
อวิ๋นซีแทบจะกระอักเืออกมาแล้ว บุรุษผู้นี้แท้จริงแล้ว้าจะทำอะไรกันแน่? ทั้งให้นางอยู่ค้างแรม ทั้งให้เป็ฮูหยิน มิหนำซ้ำตอนนี้ยังมาบอกให้เป็คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันอะไรนี่อีก หรือว่านางจะต้องแกล้งทำเป็สามีภรรยาที่รักใคร่กันอย่างลึกซึ้งกับบุรุษผู้นี้จริงๆ ?
เขาจูงมือนาง แย้มยิ้มแล้วกล่าว “จารีตประเพณีของหานโจวเปิดกว้างกว่าในเมืองหลวงมาก สามีภรรยาแต่งงานใหม่หลายคู่มักจะเดินจูงมือกันเช่นนี้ยามออกไปข้างนอก” เขาออกแรงบีบมือนางแน่นจนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ดิ้นหนี
นางมองดูเขา ในใจเกรี้ยวกราดยิ่ง ทว่าเมื่อได้ลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมา “นายท่าน พวกเรารีบไปกันเถิด ยามนี้ท้องของน้องหิวมากแล้วเ้าค่ะ”
อยากเล่นงิ้วมากนักใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็จงดูเสียว่าข้ามิได้ด้อยไปกว่าท่าน!
สำหรับความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของนางยามนี้ พาให้จวินเหยียนถึงกับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถดึงสติตนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงจูงมือนางไปรับอาหารเช้าที่โถงด้านหน้า และนี่ก็นับเป็ครั้งแรกที่คนทั้งจวนได้ยลโฉมของฉินฮูหยิน ทำให้ใครหลายคนแอบพูดกันอย่างลับๆ ว่านายท่านและฮูหยินดูรักใคร่กันเป็อย่างมาก อีกทั้งฮูหยินเองก็ดูอ่อนโยนจิตใจดี
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ คนทั้งสองก็นั่งรถม้าออกไปนอกเมืองด้วยกัน และสำหรับหนังสือยืนยันตัวตนนั้นย่อมไม่ต้องห่วง มีหานอ๋องแห่งหานโจวอยู่ด้วยทั้งคน หากอยากได้สักชุดก็ถือเป็เื่ง่ายดายยิ่ง
หลังจากที่ออกนอกเมืองไปแล้ว นางจึงเริ่มปริปากเอ่ยถามเขา “ส่งสารแจ้งบิดาข้าหรือยัง? ”
“ส่งแล้ว” เขาหยิบสารฉบับหนึ่งออกมา “นี่คือสารที่บิดาเ้าฝากให้เ้า”
อวิ๋นซีรับสารมาเปิดดู เนื้อหาในสารนั้น อวิ๋นซานได้กำชับให้นางระมัดระวังตัวและดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ส่วนเขาจะรอนางกลับมาอยู่บ้านด้วยกันอีกครั้ง
จวินเหยียนอิงกายอยู่อีกด้านพลางมองดูสตรีข้างกายที่เมื่ออ่านจดหมายแล้ว มุมปากของนางก็ค่อยๆ โค้งขึ้นน้อยๆ จนเขาอดพูดออกมาไม่ได้ “คนทั่วหล้าล้วนอิจฉาเหล่าราชวงศ์ แต่จริงๆ แล้วข้ากลับอิจฉาเ้ามากกว่าที่มีบิดาเช่นอวิ๋นซาน” เมื่อพูดจบแล้ว เขาก็หลับตาลงโดยไม่พูดอะไรอีก
เขารู้มาโดยตลอดว่ามีบางสิ่งที่เขาสามารถอิจฉาได้ แต่ไม่อาจร้องขอหรือเรียกร้องอะไรได้
อวิ๋นซีมองอีกฝ่าย ก่อนจะหวนนึกถึงโอวหยางเทียนหัวที่ยามนี้อยู่ดีมีสุขอยู่ในเมืองหลวง ที่ผ่านมาจวบจนถึงตอนนี้ทุกคนต่างประคบประหงมและประเคนทุกสิ่งอย่างให้ ในทางตรงกันข้าม จวินเหยียนที่เป็โอรสสายตรงแท้ๆ แต่กลับถูกทิ้งไว้ที่หานโจว ซ้ำร้ายทุกสิ่งอย่างที่เคยเป็ของเขาล้วนถูกโอวหยางเทียนหัวยึดไปเพียงคนเดียว
มารดาไม่สนใจ บิดาทอดทิ้ง ยามนี้เขาเหลือเพียงตัวคนเดียว
“เหตุใดท่านจึงถูกเนรเทศมาที่หานโจวนี้? ” ในตอนนั้นนางรู้เพียงว่าเขาได้กระทำความผิดบางประการที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก ท้ายที่สุดจึงแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งหานอ๋อง และส่งไปอยู่นอกเมืองหลวงภายในวันเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้นราชทินนามหานอ๋องที่ได้รับมานี้ก็ไม่ได้มีความหมายที่ดีเท่าไรนัก เพราะความหมายที่แท้จริงมาจากการที่เขาทำให้พระทัยของฮ่องเต้ต้องผิดหวังและเ็ป [2]
แท้จริงแล้วความผิดบาปที่เกิดขึ้นนั้นเป็เื่ใหญ่โตเพียงใดกัน ถึงทำให้ได้ราชทินนามเช่นนี้มา?
ในกาลนั้นบิดาของนาง เฉียวกั๋วกงเคยกล่าวไว้ว่าองค์ชายรองแห่งหนานเย่าทั้งเฉลียวฉลาด มีใจเมตตาคิดถึงราษฎร ทั้งยังมีใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่พร้อมสู้รบ ในวันหน้าจักต้องกลายเป็ฮ่องเต้ที่มีชื่อเสียงนับพันปีได้อย่างแน่นอน
มิคาดสุดท้ายพระองค์จะถูกฮ่องเต้ส่งไปอยู่นอกเมืองหลวงอย่างรีบร้อน และสำหรับคนในเชื้อพระวงศ์ การถูกขับให้ไปอยู่ที่อื่นเช่นนี้ก็นับเป็การเนรเทศแล้ว
จวินเหยียนมองดูนาง ก่อนจะกล่าวตอบเสียงเรียบ “เื่เ่าั้ วันหน้าค่อยบอกเ้า” นางในตอนนี้ยังมิได้สำคัญถึงขนาดที่เขาจะสามารถเชื่อใจได้โดยไม่ต้องปิดบังอะไรทั้งสิ้น ทว่าหากวันใดที่เขายินดีบอกเล่าเื่นี้แก่นางขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นก็ชัดเจนแล้วว่านางสำคัญต่อใจของเขาเป็อย่างมาก
อวิ๋นซีพยักหน้าและไม่ได้คิดรบเร้าถามต่อ
“แม้คำถามนี้จะมิได้ตอบเ้า แต่เ้าก็ยังสามารถถามคำถามอื่นได้ ไม่ว่าจะเื่ใด หากสามีสามารถบอกเ้าได้ จะต้องบอกเ้าหมดทุกอย่างโดยไม่มีปิดบังอย่างแน่นอน” เขายิ้มมองดูนาง
ขณะนั้นอวิ๋นซีได้ร้องอ้อออกมาเสียงหนึ่งก่อนจะถามเื่อื่นต่อ “ข้าอยากรู้ว่าบุรุษเมื่อคืนผู้นั้นเป็ใคร? ” เมื่อคืนเดิมทีลู่เหวินเจิ้นคิดจะเข้าไปจับชู้ แต่สุดท้ายกลับหยุดฝีเท้าลงอย่างคนมีสติหลังจากที่ได้ยินฮูหยินลู่พูดคำคำนั้น
ความรู้สึกในห้วงลึกบอกนางว่า คนผู้นั้นจะต้องเป็คนที่ลู่เหวินเจิ้นหวั่นเกรง
“แม่ทัพใหญ่แห่งด่านฉีผิง สือเหยียนจวิน”
คำพูดของเขาทำให้นางอดตกตะลึงไม่ได้ นางแทบไม่อยากเชื่อ เพราะหากเป็เช่นนั้นจริง ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่า เหตุใดเมื่อลู่เหวินเจิ้นได้ยินคำสุดท้ายนั้นแล้วถึงได้ตัดสินใจหยุดเท้าไม่เข้าไป นั่นเป็เพราะตำแหน่งของสือเหยียนจวินนับว่าสูงส่งกว่าเขา
อีกทั้งสือเหยียนจวินยังเป็แม่ทัพคนสนิทของโอวหยางเทียวหัว และยังเป็หนึ่งในบุคคลที่คนผู้นั้นให้ความสำคัญมากที่สุด ถึงแม้ลู่เหวินเจิ้นเองก็จะถือเป็คนของรัชทายาท ทว่าคนที่รัชทายาทให้ความสำคัญกลับไม่ใช่เขา แต่เป็บิดาของลู่หลิงฉิง หรือก็คือลู่เหวินจง เสนาบดีกรมพิธีการคนปัจจุบัน
เมื่อเป็เช่นนี้ เพื่ออนาคตของเขาแล้ว เขาจะไม่มีทางมุทะลุวู่วาม และกระทำการโดยไม่ยั้งคิดอย่างแน่นอน
“ลู่อวี้ฉิงไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของลู่เหวินเจิ้น” นางพูดขึ้นเรียบๆ “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ”
จวินเหยียนยืดตัวนั่งตรง และมองนางอย่างนึกสนุก “สิ่งที่คนนอกรับรู้คือสตรีแซ่สือ หรือฮูหยินลู่เป็ลูกเลี้ยงของตระกูลสือ ทว่าแท้จริงแล้วมิใช่เช่นนั้น ในตอนนั้นนายท่านสือรู้จักสตรีโคมเขียวนางหนึ่งซึ่งตอนหลังเขาจ่ายเงินเพื่อไถ่ตัวนางและพาไปพำนักอยู่ด้วยที่นอกจวน เื่นี้กระทำกันอย่างลับๆ มาโดยตลอด กระทั่งสือเหยียนจวินและมารดาเขาต่างก็ยังไม่รู้ ในตอนหลังสตรีผู้นั้นป่วยหนักจนสิ้นชีวิต นายท่านสือจึงได้พาเด็กสาวผู้หนึ่งกลับจวนมา และบอกกล่าวว่าเป็บุตรสาวของสหาย จากนั้นก็รับนางไว้เป็บุตรสาวบุญธรรมของตน ดังนั้น สตรีแซ่สือและสือเหยียนจวินจึงเติบโตมาด้วยกันนับแต่เล็ก”
“์ทรงโปรด” อวิ๋นซีพูดขึ้นเบาๆ
อวิ๋นซีรู้สึกว่า การปิดบังของนายท่านสือนับว่าทำได้ถูกต้องแล้ว เดิมทีตอนที่นางรู้ว่าลู่อวี้ฉิงไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย เพราะเมื่อทุกอย่างเป็เช่นนี้ หากว่าลู่อวี้ฉิงสามารถให้กำเนิดบุตรชายขาวอวบแข็งแรงแก่ลู่เหวินเจิ้นได้จริงๆ เช่นนั้นผลที่ได้ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ตุ้ยจิน(对襟)เสื้อคลุมตัวยาวที่มาสบกันด้านหน้ากึ่งกลางลำตัว
[2] ฮ่องเต้ผิดหวังและเ็ป(寒了帝王心)คำว่า หาน ในภาษาจีนแปลว่า หนาวเย็น และคำว่า หานซิน (寒心)แปลตรงตัวว่าใจหนาว หรือก็คือ จิตใจที่ผิดหวังและเ็ป