“ที่นี่เป็ภูผาล้อมรอบบั้งสี่ทิศ ดังนั้น ท่านยังสามารถอาศัยประโยชน์จากภูมิประเทศเพื่อทำเื่อื่นๆ ได้อีก” อวิ๋นซีพูดเสียงเบาข้างหูเขา “เช่นว่า...” การฝึกทหารในป่าลึก เนื่องจากภูมิประเทศแถบนี้มีเขาบดบัง หากคิดจะทำการสิ่งใด ย่อมไม่มีคนพบเห็นอย่างแน่นอน
เขายิ้ม ไม่ได้ยอมรับ และไม่ได้ปฏิเสธ
เมื่อเดินไปได้ครู่หนึ่ง คนทั้งสองก็หยุดพักกินข้าวเที่ยงที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จากนั้นเขาจึงพานางไปยังเรือนพักส่วนตัวแห่งหนึ่งที่แสนเงียบสงัด ซึ่งนางเองก็พอเดาได้ว่าที่นี่คือเรือนส่วนตัวของลู่เหวินเจิ้น อีกทั้ง ในตอนนี้ทั้งลู่เหวินเจิ้นและลู่อวี้ฉิงต่างก็อยู่ด้านในแล้ว
“ท่านคงจะไม่บอกข้าว่าลู่เหวินเจิ้นคิดจะย่ำยีลู่อวี้ฉิงตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้หรอก ใช่หรือไม่? ” เดิมทีนางยังคิดว่า จะอย่างไรก็ควรต้องรอจนกระทั่งพลบค่ำก่อน ดังคำกล่าวที่ว่า การร่วมประเวณีตอนกลางวันนั้นเป็การกระทำที่เปิดเผย ไร้ยางอาย
“แปลกตรงไหน สำหรับลู่เหวินเจิ้นแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการมีทายาท เดิมทีตัวเขาเองก็มีใจจดจ่อรอวันที่จะได้ถูกเรียกตัวกลับไปยังเมืองหลวง ทว่าตระกูลลู่ให้ความสำคัญกับทายาทสืบสกุล ไม่ว่าจะบุตรสาวหรือบุตรชายก็ล้วนไม่ต่างพวกเขาจำต้องมีลูกเยอะถึงจะไม่โดนผู้อื่นดูถูก ยิ่งกว่านั้น ด้วยเื่ทายาทนี้ก็บังเอิญเป็แผลตำใจของลู่เหวินเจิ้นมานานแสนนานเสียด้วย” จวินเหยียนแค่นเสียงเ็า “ดังนั้น สำหรับเื่นี้เขาจึงไร้ซึ่งสติคิดตริตรอง ทว่าแรกเริ่มก็ไม่ใช่เพราะเ้าหรือที่เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับเื่นี้จึงได้วางกับดักเช่นนี้ขึ้นมา”
“ที่แท้ ท่านก็รู้ั้แ่แรกแล้วว่าข้า้าอะไร? ” นางเงยหน้าถาม
“ข้าฉลาดถึงเพียงนี้จะไม่รู้ได้หรือ? ” เขายื่นหน้าเข้าใกล้ใบหูนางแล้วจึงตอบเสียงเบา อันที่จริงเขารู้แผนการของนางั้แ่ตอนที่อยู่ในร้านขายงานฝีมือนั่นแล้ว ดังนั้น เขาจึงได้รู้สึกแปลกใจมากว่า แท้จริงแล้วตัวนางเป็สตรีแน่หรือ ถึงได้คิดแผนการเช่นนี้ออกมาได้
ทว่าด้วยเื่เช่นนี้ หากแพร่งพรายไปถึงเมืองหลวง อนาคตของลู่เหวินเจิ้นก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว อีกทั้ง ตระกูลลู่เองก็คงเรียกได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้เช่นกัน “ข้ายังมีอีกเื่ที่อยากจะบอกเ้า ฝ่าามีดำริจะให้ลู่เหวินจงเข้าร่วม สำนักราชเลขาธิการใหญ่ [1] ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินเช่นนั้น ร่างทั้งร่างก็แข็งค้างไป ลู่เหวินจงเข้าร่วมสำนักราชเลขาธิการใหญ่? นางแค่นเสียงเ็า “เขาเป็บิดาของชายาองค์รัชทายาท ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเข้าร่วมในสำนักราชเลขาธิการใหญ่อยู่ดี”
สำหรับโอวหยางเทียนหัวแล้ว ตระกูลลู่ถือเป็แรงสนับสนุนใหญ่ของเขา ถึงกระนั้นอาจยังไม่จำเป็ต้องพูดถึงว่า ลู่เหวินจงจะได้เข้าร่วมสำนักราชเลขาธิการใหญ่สำเร็จหรือไม่ เพราะเพียงแค่พี่ชายคนโตของลู่หลิงฉิงในตอนนี้ก็ได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ขั้นสามแห่งหลงซี คอยทำหน้าที่ควบคุมกองทัพใหญ่หลงซี ค่ายซ้าย โดยมีนายทหารในสังกัดทั้งสิ้นห้าหมื่นนาย ด้วยประการทั้งปวง แม่ทัพหาญที่มีอำนาจมากถึงเพียงนี้อยู่ในมือย่อมเป็คนที่โอวหยางเทียนหัว้ามากที่สุด ดังนั้นเพื่อเป็การซื้อใจลู่หงซินผู้เป็แม่ทัพใหญ่ขั้นสามนี้ เขาจำต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันลู่เหวินจงไปสู่สำนักราชเลขาธิการใหญ่ให้ได้
ในทุกๆ ราชวงศ์ อัครมหาเสนาบดีซ้ายขวาล้วนมาจากสำนักราชเลขาธิการใหญ่ทั้งสิ้น เรียกได้ว่า เมื่อได้เข้าสู่สำนักราชเลขาธิการใหญ่แล้วก็จะได้สิทธิ์เป็ผู้เข้ารับการคัดเลือกเป็อัครเสนาบดีไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ หากลู่เหวินจงที่เพิ่งจะมีอายุได้สี่สิบกว่า แต่ได้เข้าร่วมสำนักราชเลขาธิการใหญ่แล้ว ตระกูลลู่จะยังไม่นับว่าเป็สุนัขระกาเยี่ยมวิมาน [2] หรอกหรือ
“แท้จริงแล้วหากคิดอยากจะยับยั้งเื่นี้ก็ยังนับว่ามีวิธีที่ง่ายมาก...” นางพูดเสียงเรียบ ลู่เหวินจง หากเ้าคิดจะเหยียบย่ำคนตระกูลเฉียวเพื่อให้ตนได้ไปถึงยังเส้นทางอันยิ่งใหญ่นั้น ข้าจะบอกให้ว่า ฝันไปเถอะ
“เื่นี้ อีกเดี๋ยวค่อยคุย” เขาชี้ไปด้านในห้อง เพื่อให้นางเตรียมรับชมฉากเด็ด
อาจเป็เพราะลู่เหวินเจิ้นเกรงว่าเื่ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้จะถูกคนพบเห็นเข้า ด้วยเหตุนี้ นอกจากคนสนิทสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่ คนที่เหลือล้วนถูกไล่ให้ออกไปจากบริเวณนี้ทั้งสิ้น ดังนั้น อวิ๋นซีและจวินเหยียนจึงเรียกได้ว่าสามารถมายืนดูฉากเด็ดนี้ได้อย่างโจ่งแจ้ง
ในตอนนั้นลู่อวี้ฉิงกำลังยิ้มขณะมองดูลู่เหวินเจิ้นที่บอกว่าเดินเที่ยวมาทั้งวันจนรู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงได้เตรียมตัวจะพักผ่อน “ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าท่านเหนื่อยแล้ว อยากจะพักผ่อนแล้วหรอกหรือเ้าคะ เหตุใดจึงยังอยู่ที่นี่อีก”
ลู่เหวินเจิ้นยิ้มเ้าเล่ห์ขณะเดินเข้าไปหาสตรีเบื้องหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงลู่อวี้ฉิงเข้ามาไว้ในอ้อมแขนตน “อวี้เอ๋อร์ เ้าว่าข้าดีกับเ้าหรือไม่? ”
จู่ๆ ก็ถูกรวบตัวเข้ากอดเช่นนี้ ทั้งยังมีสายตาของอีกฝ่ายที่ส่อความหมายแปลกประหลาด ชั่วขณะนั้นลู่อวี้ฉิงก็เริ่มรู้สึกร้อนรน “ท่านรีบปล่อยข้าเถิด”
ลู่เหวินเจิ้นหัวเราะฮ่าฮ่า “เ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่า แท้จริงเราสองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเื? ” เมื่อก่อนจะมากน้อยเขาก็ยังลังเลอยู่ ทว่าตอนนี้เขาบอกได้เลยว่าไม่หลงเหลือแม้ความลังเลอื่นใดอีกแล้ว
“ไม่จริง จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร? ท่านต้องเข้าใจผิดไปแล้วแน่ๆ ”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สายตาของนางก็ปรากฏแววหวาดกลัว
ลู่เหวินเจิ้นพอใจเป็อย่างยิ่งกับสิ่งที่ตนได้เห็น จากนั้นจึงยื่นมือออกไปแล้วบีบปลายคางนาง ก่อนจะกล่าว “อวี้เอ๋อร์ เ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ผลักร่างลู่อวี้ฉิงให้ล้มลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะบดจูบที่ริมฝีปากนางอย่างรุนแรง...ทุกอย่างยังคงดำเนินอยู่เช่นนั้นเป็นานกว่าเขาจะยอมปล่อย จากนั้นจึงถามต่อด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เป็อย่างไร เชื่อแล้วสินะ”
ลู่อวี้ฉิงเชื่อในคำพูดนั้นของเขาแล้ว ทว่า ตอนที่แน่ใจในความจริงข้อนี้ ตัวนางกลับรู้สึกมึนงงไปทั้งร่าง
ลู่เหวินเจิ้นมองดูลู่อวี้ฉิงแล้วจึงยื่นมือตนไปปาดน้ำตาที่ไหลเปรอะเปื้อนออกจากใบหน้านาง “อวี้เอ๋อร์เด็กดี เ้าวางใจเถอะ ขอแค่เ้ารับใช้ข้าให้ดี ข้าก็จะไม่มีทางละเลยเ้าอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น ข้าจะรักใคร่เ้า เอ็นดูเ้าเป็อย่างดี ไม่ว่าเ้าจะปรารถนาสิ่งใด ข้าก็จะมอบให้ทั้งหมด”
ทว่า เมื่อเห็นว่าลู่อวี้ฉิงไม่มีท่าทีใดตอบสนอง เขาก็ส่งเสียงเฮอะเ็า “แต่หากเ้าคิดจะหลบหนีไปจากข้า คิดจะปฏิเสธข้า ข้าก็จะโยนเ้าออกไปด้านนอก ให้ผู้คุ้มกันเ่าั้ได้ลิ้มลองรสชาติของเ้า”
ประโยคนี้ทำให้ลู่อวี้ฉิงที่กำลังตกตะลึงอยู่ถึงกับดึงสติตนให้กลับมาได้ นางยังอยากมีชีวิตอยู่ จะตายไม่ได้
เมื่อคิดถึงความตาย จู่ๆ ลู่อวี้ฉิงก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง “อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า”
ลู่เหวินเจิ้นเห็นท่าทางนางเช่นนี้ก็ไม่คิดรีรอ รีบอุ้มนางเดินเข้าไปยังห้องด้านใน และทันทีที่วางคนลงบนเตียงก็มิวายพูดจาข่มขู่เสียงขรึม “หากไม่อยากตาย เช่นนั้นก็จงเอาอกเอาใจข้าให้ดี หากว่าทำให้ข้ามีความสุข ข้าไม่เพียงจะไม่ให้เ้าตาย แต่ยังจะรักใคร่เ้าเป็อย่างดีอีกด้วย”
ลู่อวี้ฉิงมองลู่เหวินเจิ้นไปทีหนึ่ง ในใจนางรู้สึกเ็ปยิ่ง ไม่ จะเป็เช่นนี้ไม่ได้ นางยังคิดจะแต่งให้หานอ๋องหรือไม่ก็เจียงเฉิง
“ทำไม? ไม่ยินดีหรือ? ” ลู่เหวินเจิ้นมองดูนางสีหน้าดำคล้ำ ฝ่ามือใหญ่จึงยื่นออกไปจับคอนาง ขอแค่เขาออกแรงเพียงนิดก็สามารถบิดหักคอของนางได้เลย
ลู่อวี้ฉิงรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากบริเวณลำคอ ใจนางเริ่มสั่นสะท้าน แท้จริงแล้วเมื่อคืนนี้ที่ได้รู้ว่าตนจะได้ออกจากเมือง นางยังอดไม่ได้ที่จะดีใจ และมีความสุขเป็อย่างมาก อีกทั้ง เช้านี้ตอนมาถึงที่นี่ คนยังซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้นางไปไม่น้อย ทว่ามิคาดสิ่งที่รอตนอยู่แท้จริงแล้วจะเป็เช่นนี้
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] สำนักราชเลขาธิการใหญ่(内阁)เป็สถาบันสูงสุดของการปกครอง ทำหน้าที่ตัดสินใจหารือนโยบายต่างๆ ในการบริหารประเทศ เทียบได้กับคณะรัฐมนตรีในปัจจุบัน
[2] สุนัขระกาเยี่ยมวิมาน(鸡犬升天)เปรียบเทียว่าถ้าใครคนหนึ่งในตระกูลได้ดี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็จะพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย