หลิงซ่วนจือเขียนคัมภีร์หลิงฮวงขึ้นมาก่อนที่เขาจะเสียชีวิต และส่วนสำคัญที่สุดคือตัวเลขทั้งเก้า
เลขทั้งเก้าคืออะไรกัน? มันมีเก้าเป็เลขฐาน หรือจะสื่อถึงผลรวมของตัวเลขเก้าตัว?
ในอดีต หลิงซ่วนจือเป็ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในหลิงฮวง แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้อื่น แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือความเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ภาคคำนวณ
เมื่อหนิงเทียนพลิกดูตัวเลขทั้งเก้า เขาก็ถูกพวกมันดึงดูดทันที
ตัวเลขเก้าตัวแบ่งออกเป็เก้าขั้นตอน ราวกับเป็การยกกำลังหนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อยๆ จนถึงเก้า
สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งการคำนวณขั้นสูง จากตื้นไปถึงลึก ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดเดาได้
หนิงเทียนไม่เคยััการคำนวณที่ซับซ้อนเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อเขาถูกดึงดูด แผนที่จิติญญาในร่างกายของเขาก็เริ่มตื่นตัว
ตัวอย่างเช่น แผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณแรกอันประกอบด้วยเก้ากระบวนท่าที่ซับซ้อนของบงกชสีมรกต ซึ่งในอดีตหนิงเทียนก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แม้เขาจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็เข้าใจเพียงพื้นฐาน ไม่อาจเข้าถึงที่มาของมัน
ทว่าหลังจากดูตัวเลขทั้งเก้าแล้ว หนิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าทุกสรรพสิ่งในโลกไม่สามารถหลีกหนีจากขอบเขตของตัวเลขมหัศจรรย์เหล่านี้ได้
หนิงเทียนผสมผสานเอกลักษณ์ของตน และใช้แผนที่จิติญญาเป็แหล่งอ้างอิง จากนั้นเขาก็เริ่มศึกษาอย่างละเอียดและสามารถบรรลุห้าบทแรกได้อย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์
คัมภีร์หลิงฮวงมีเนื้อหาทั้งหมดเก้าบท ที่ยิ่งศึกษาลึกลงไปก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้น แต่เขากลับสามารถเข้าใจห้าบทแรกได้ในหนึ่งลมหายใจ ทั้งยังเชี่ยวชาญการเปลี่ยนแปลงของศาสตร์การคำนวณมากกว่าห้าหมื่นรูปแบบ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากระดับการบำเพ็ญของเขาแล้วก็ถือว่าค่อนข้างน่ายกย่อง
คัมภีร์หลิงฮวงกำลังสั่นไหวและเกิดการเผาไหม้หน้าแล้วหน้าเล่า ทุกบทที่หนิงเทียนบรรลุแล้วจะถูกกำจัดโดยอัตโนมัติ จนยามนี้เหลือเพียงสี่บทสุดท้ายและหน้าปกเท่านั้น
หนิงเทียนรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก หลังจากปิดคัมภีร์หลิงฮวงลงแล้ว เขาก็หยิบหินิญญาออกมาหลายร้อยก้อนและนั่งบำเพ็ญอยู่ครึ่งชั่วยาม ก่อนจะเดินออกจากหอตำราไป
ชิวซานอวิ๋นไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่กลับมีศิษย์จากสำนักอื่นเข้ามาแทน
แล้วพวกเขามาทำไมน่ะหรือ?
ก็เพราะหอภาพเขียนและหอหมากรุกต่างมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ ทุกคนจึงเชื่อว่าจะมีสมบัติอยู่ในหอตำราด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาล้วนหยุดอยู่เพียงชั้นสามเท่านั้น
เมื่อหนิงเทียนปรากฏตัวขึ้น คนหกคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นก็รีบกรูกันเข้ามาอย่างไม่ยอมแพ้
“เฮ้! มีคนลงมา รีบหยุดเขาไว้!” ทั้งหกคนนี้ไม่ได้มาจากสำนักเดียวกัน แต่เพื่อสอบถามสถานการณ์ในหอแห่งนี้ พวกเขาจึงช่วยกันล้อมหนิงเทียนอย่างเป็เอกฉันท์
“เ้าปีนขึ้นไปได้กี่ชั้น? ข้างในมีสมบัติอะไรบ้าง? จงเปิดแหวนมิติให้เราตรวจสอบเดี๋ยวนี้!” ศิษย์หลักหยวนซิวถามอย่างกระตือรือร้น พร้อมประกายแห่งความโลภในดวงตา
นอกจากนี้ยังมีคนที่โจมตีโดยตรงจากด้านข้าง คนผู้นั้น้าปล้นทรัพย์สินของหนิงเทียน เพื่อตรวจสอบว่ามีสมบัติซ่อนอยู่หรือไม่
หนิงเทียนจ้องมองผู้ลงมือด้วยดวงตาเ็าที่เผยให้เห็นการข่มขู่
คนผู้นั้นใมาก แต่ก็พยายามใช้ความโกรธกลบเกลื่อน “กล้าจ้องข้าหรือเ้าเด็กเหลือขอ? เ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?”
สีหน้าของคนผู้นั้นดุร้ายขึ้นทันที ฝ่ามือของเขากลายเป็กรงเล็บ พลังิญญาในฝ่ามือหมุนราวกระแสน้ำวนสีแดงที่ปล่อยคลื่นผันผวนอย่างรุนแรงออกมา
นี่คือหยวนซิวขอบเขตผนึกดาราขั้นเจ็ด การที่เขาสามารถผ่านเส้นทางปรักหักพังมาถึงหอตำราได้ แสดงให้เห็นว่าเขามีความแข็งแกร่งและมีโชคลาภอย่างยิ่ง
ส่วนหนิงเทียนอยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าเท่านั้น สิ่งนี้ไม่สามารถซ่อนจากสายตาของเหล่าศิษย์หลักได้ ดังนั้น ทั้งหกคนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับหนิงเทียนอย่างจริงจัง
“เ้าคนแซ่จาง ข้าเจอคนผู้นี้ก่อน!”
ศิษย์คนหนึ่งโกรธจัดและรีบลงมือทันที เขากลัวว่าหนิงเทียนจะตกอยู่ในมือของศิษย์แซ่จางเสียก่อน
หนิงเทียนแสดงสีหน้าไม่แยแส มีความคล้ายคลึงหลายประการระหว่างตัวเลขทั้งเก้ากับวิถีธรรมชาติของสุ่ยหลิง หลังจากเขาเข้าใจห้าบทแรกของคัมภีร์แล้ว จิตใจของเขาในยามนี้ก็สงบและคมชัดขึ้นมาก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของศิษย์หลักหยวนซิว หนิงเทียนก็สามารถคิดวิธีตอบโต้ได้ถึงสิบเจ็ดวิธีในชั่วพริบตา ซึ่งเื่เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน
หนิงเทียนเลือกวิธีที่รุนแรงและซื่อตรงที่สุด นั่นคือการต่อยเพียงครั้งเดียว เส้นสีทองบนหมัดของเขาดุจเปลวเพลิงที่บรรจุมวลพลังมหาศาล
“เ้ากล้าดีอย่างไร!” ศิษย์แซ่จางโมโหมาก เขาเสริมความแข็งแกร่งเพิ่มอีกสามจุด ทำให้การแสดงออกของเขาดุร้ายยิ่งขึ้น
ั์ตาของหนิงเทียนยังคงนิ่งเฉย เมื่อทะลวงพันชั้นปะทะเข้ากับกรงเล็บข้างขวาของศัตรู พลังหมัดอันรุนแรงก็ขัดเกลาเป็หลายพันเส้นในทันที จากนั้นก็รวมเข้ากับวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น
ต่อมาหนิงเทียนก็ใช้กำลังเคลื่อนตัวไปด้านหลัง เขาหลีกเลี่ยงการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม และมือซ้ายสะบัดดอกไม้บินออกมาเป็คมมีดที่หมุนวนอย่างงดงามราวทุ่งเพลิง
“เ้าหนู...อ๊าก!” ไม่รอให้คนแซ่จางพูดจบ ร่างของเขาก็ะเิทันที
เหตุการณ์น่าสลดนี้เกิดจากวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นที่ลอบโจมตีจากภายใน ซึ่งค่อนข้างน่ากลัวและยากต่อการป้องกัน
“เ้าเด็กหน้าเหม็น! กล้าดีอย่างไรมาทำร้าย...อ๊าก! มือของข้า!” ศิษย์หยวนซิวอีกคนพยายามเหวี่ยงกระบี่เข้ามา ก่อนที่แขนขวาของเขาจะะเิออกจนต้องกรีดร้องโหยหวนเช่นกัน
หนิงเทียนก้าวเดินอย่างสงบอย่างไม่อาจคาดเดาความคิดได้ การรวมกันของเลขเก้าหลักและวิถีธรรมชาติทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
ทั้งที่เผชิญกับการโจมตีของคนจำนวนมาก ทว่าหนิงเทียนแทบจะจัดการทั้งหมดด้วยปลายนิ้วเดียว เขาปลดปล่อยทะลวงพันชั้นออกมาผสานกับกระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น พร้อมประยุกต์ใช้การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ทั้งสองอย่างชาญฉลาดจนกลายเป็การจู่โจมที่ไร้เทียมทาน
“บอกข้ามา! เหตุใดพวกเ้าถึงอยู่ที่นี่? มีอะไรอยู่ในหอภาพเขียนและหอหมากรุก?”
หนิงเทียนปล้นคนไปหลายคน ทั้งยังทุบตีจนพวกเขาคุกเข่ายอมรับความพ่ายแพ้ และยอมบอกสิ่งที่พวกเขารู้อย่างตรงไปตรงมา
“แล้วสถานการณ์ที่หอฉินเล่า?”
“สมบัติในหอฉินนั้นเป็ปริศนา ข้าไม่ทราบได้ว่าผู้ใดได้มันไป”
หนิงเทียนที่ได้ฟังดังนั้นก็หันหลังจากไป เขาเดินบนถนนรกร้างเพียงลำพัง พืชพรรณโดยรอบไหวเอนไปมา พร้อมปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความประสงค์ร้ายอย่างรุนแรง
“เสียงิญญานับพันยังคงควบคุมพฤกษาและิญญาอสูรภายในเมืองอยู่อีกหรือ? เช่นนั้นศิษย์แต่ละสำนักคงจะเหลือไม่มากแล้ว”
หนิงเทียนมองไปรอบๆ แล้วชะลอความเร็วลง ก่อนจะมีอักขระปรากฏขึ้นในตันเถียนของเขา
นั่นคือสิ่งที่หนิงเทียนพบบริเวณเนินเล็กๆ ในหุบเขาบุปผชาติั้แ่คราแรกที่เขาเข้าสู่แดนลับ
ในเวลานั้นหนิงเทียนไม่รู้ว่าอักขระนี้คืออะไร จนกระทั่งเขาเข้าใจเลขทั้งเก้าหลักและได้รู้ว่าอักขระนี้ประกอบด้วยบรรทัดนับไม่ถ้วน ซึ่งรวมตัวเป็รอยประทับิญญาที่ฝังลงในดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์ เพื่อสร้างเป็สื่อกลางควบคุมจิตใจ
องค์ประกอบของอักขระประเภทนี้มีพื้นฐานมาจากเลขเก้าหลัก ซึ่งคนทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้
มันเปรียบเสมือนพีระมิดเก้าชั้น ซึ่งประกอบด้วยเลขเก้า เก้าสิบเก้า เก้าร้อยเก้าสิบเก้า เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าไปเรื่อยๆ จากบนลงล่าง และต้องใช้พลังจิตอย่างมหาศาลในการควบคุม
ทว่า ด้วยระดับการบำเพ็ญของหนิงเทียนในขณะนี้ เขาแทบไม่สามารถขัดเกลารอยประทับิญญาชั้นสี่ที่ต้องควบคุมรอยประทับทั้งหมดหกพันห้าร้อยหกสิบเอ็ดจุดได้ด้วยซ้ำ ดังนั้น เขาจึงวางแผนควบคุมพวกมันโดยใช้ยุทธศาสตร์ครอง์ เพื่อปลูกฝังรอยประทับิญญาลงในดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์โดยรอบ
หนิงเทียนดำดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่อง นี่นับเป็ครั้งแรกที่มีการปลูกฝังรอยประทับจิติญญาลงในต้นไม้แปดสิบเอ็ดต้น ก่อนที่เขาจะพบว่าการควบคุมจิตใจประเภทนี้แตกต่างจากการรุกรานของยุทธศาสตร์ครอง์
ยุทธศาสตร์ครอง์เป็การบีบบังคับ พืชที่ถูกรุกรานจะไม่สามารถต่อต้านได้ และเพียงแต่ทำตามคำสั่งเหมือนหุ่นเชิดเท่านั้น ในขณะที่การควบคุมทางจิตเป็การควบคุมเชิงรุก ซึ่งสามารถสื่อสารกับอสูริญญาที่ถูกควบคุมได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
หนิงเทียนตื่นเต้นกับความสำเร็จในคราแรกอย่างมาก ในครั้งที่สองเขาจึงเพิ่มความยาก ทำให้จำนวนอสูริญญาที่ควบคุมได้เพิ่มขึ้นจากแปดสิบเอ็ดเป็สองร้อย สามร้อย และห้าร้อย
หนิงเทียนตระหนักได้ว่า ยิ่งเขาควบคุมอสูริญญาพร้อมๆ กันมากเท่าใด เขาก็จะยิ่งสูญเสียพลังจิตมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งอสูริญญาที่ถูกควบคุมมีระดับสูง พลังจิตของเขาก็จะยิ่งถูกใช้มากขึ้นด้วย
เมื่อหนิงเทียนปลดปล่อยรอยประทับิญญาหกพันห้าร้อยหกสิบเอ็ดดวงในหนึ่งลมหายใจ เขาก็ยืนหยัดอยู่ได้เพียงครึ่งเค่อเท่านั้น ก่อนจะทรุดตัวลง
แม้พลังจิตของหนิงเทียนจะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่จุดอ่อนของเขาก็คือระดับที่ต่ำเกินไป
หนิงเทียนค่อยๆ ลดจำนวนอสูริญญาภายใต้การควบคุมลง ทำให้พลังิญญานับไม่ถ้วนกลับคืนสู่บรรดาอสูริญญา ซึ่งช่วยให้เขากำจัดความเหนื่อยล้าและเติมเต็มพลังงานอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้แย่งชิงสมบัติในหอภาพเขียนสิ้นสุดลงนานแล้ว ทว่าศิษย์สำนักร้อยบุปผากลับถูกศิษย์ของสำนักชื่อหยวนปังปิดล้อมไว้
ย้อนกลับไปในตอนที่เยี่ยหลิงหลานสังหารบุคคลสำคัญสองคนของสำนักชื่อหยวนปังจนทำให้ทั้งใต้หล้าตกตะลึง แม้เื่นี้จะถูกระงับโดยจวนหยวน แต่สำนักชื่อหยวนปังก็คร่ำครวญเกี่ยวกับเื่นี้มาตลอด ทั้งยังมองว่ามันเป็ความอัปยศอย่างยิ่ง
เมื่อตรวจสอบสาเหตุแล้ว ผู้กระทำผิดก็คือหนิงเทียนแห่งสำนักร้อยบุปผา
แม้ผู้าุโของสำนักชื่อหยวนปังจะไม่สะดวกในการลงมืออย่างเปิดเผย แต่พวกเขาก็สั่งศิษย์ของตนว่าตราบใดที่มีโอกาส พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยสำนักร้อยบุปผาไป และอนุญาตให้ศิษย์ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเปลี่ยนผ่านสามารถจัดการหนิงเทียนได้
ซิ่งอวี่เจวียนและสหายร่วมสำนักทั้งเจ็ดถูกศิษย์ของสำนักชื่อหยวนปังมากกว่าหนึ่งโหลปิดล้อม ด้วยจำนวนและความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ศิษย์สำนักร้อยบุปผาจึงทำได้เพียงบุกฝ่าอย่างสิ้นหวัง เป็เหตุให้มีผู้เสียชีวิตสามราย าเ็สี่ราย และมีเพียงซิ่งอวี่เจวียนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหลบหนีไปได้
ซิ่งอวี่เจวียนอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตผนึกดาราขั้นแปด ความแข็งแกร่งของนางค่อนข้างดี ทว่ายามนี้นางาเ็สาหัสและตกเป็เป้าหมายในการไล่ล่าของสำนักชื่อหยวนปัง
“วันนั้นสตรีนางนี้พยายามปกป้องหนิงเทียนอย่างถึงที่สุด นางต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับเขาเป็แน่ เ้านั่นสร้างความสูญเสียอย่างหนักให้สำนักชื่อหยวนปังของเรา วันนี้เราก็จะเฉือนร่างนางผู้นี้ออกทีละน้อย อย่าปล่อยให้นางได้ตายอย่างสงบ!”
“จับนางไว้และเปลื้องผ้านางให้หมด! ทรมานนางจนกว่าเราจะพอใจแล้วค่อยๆ ทำให้นางขายหน้า ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำร้ายสำนักชื่อหยวนปังของเรา มันผู้นั้นจะต้องเสียใจ!”
ใบหน้าซีดเซียวของซิ่งอวี่เจวียนเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธแค้น ปากของนางแผดเสียงคำรามอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะปลดปล่อยการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
“ศิษย์น้อง เ้ารีบหนีไปเถิด” ศิษย์สำนักร้อยบุปผาทั้งสามที่าเ็สาหัสเริ่มต่อสู้อย่างสิ้นหวัง เพียงเพื่อเปิดทางให้ซิ่งอวี่เจวียนหลบหนี
“สังหารสามคนนี้เสีย!” อู่เจี้ยนหงออกคำสั่งฆ่าด้วยสีหน้าเ็า เขาสวมชุดเกราะเหล็ก รูปร่างสูงใหญ่ และทรงพลังอย่างยิ่ง
“ศิษย์น้อง...อ๊าก!”
“ศิษย์พี่!” ซิ่งอวี่เจวียนร้องดังก้อง ร่างสหายร่วมสำนักผู้หนึ่งถูกตัดขาดครึ่ง และครึ่งร่างที่เหลือก็ยังคงถูกโจมตีอย่างไม่รามือ
พลันดอกบัวแกว่งไกว เกิดลมหมุนราวเสาพายุ จิติญญาการต่อสู้ของซิ่งอวี่เจวียนสั่งให้นางยอมตายดีกว่ารับความพ่ายแพ้ และยามนี้นางก็เริ่มโจมตีแทนการปัดป้องเพียงอย่างเดียว
สำนักชื่อหยวนปังเป็สำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหยวนซิว บรรดาศิษย์หลักล้วนเป็ผู้นำของเชื้อสายหยวนซิว แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน พวกเขาย่อมสามารถบดขยี้จื๋อซิวได้โดยตรง
แม้ซิ่งอวี่เจวียนจะโจมตีอย่างหนักหน่วง แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชนะ ร่างบางลอยล่องไปไกล แขนเสื้อของนางถูกเป่าเป็ชิ้นๆ และมีรูเืบริเวณช่องท้อง
นางกรีดร้องโหยหวนสองครั้งราวกับถูกมีดคมแทงทะลุหัวใจ ทั้งยังพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา ก่อนจะะโเรียกศิษย์พี่ทั้งน้ำตา
“ถึงตาเ้าแล้ว จงคุกเข่ายอมรับโทษเสียเถิด!”
ศิษย์หลักของสำนักชื่อหยวนปังผู้มีการเคลื่อนไหวราวสายฟ้าฟาดฝ่ามือลงมาจนซิ่งอวี่เจวียนกระอักเื ก่อนจะกรีดร้องอย่างไม่ยินยอม พร้อมกับร่างที่ลอยไปด้านหลัง
ครู่ต่อมา รอยฝ่ามือสีแดงค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหลังของซิ่งอวี่เจวียน เืแดงฉานไหลทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด เสื้อผ้าของนางฉีกขาด และทำได้เพียงกรีดร้องก่อนจะล้มลงกับพื้น
“นางตัวดี เ้าควรค่อยๆ เพลิดเพลินกับสิ่งนี้”
ร่างหนึ่งปรากฏต่อหน้าซิ่งอวี่เจวียนแล้วยกเท้าขวาเหยียบหัวของนาง ซึ่งการกระทำนี้สร้างความอับอายให้นางอย่างยิ่ง
ซิ่งอวี่เจวียนกรีดร้องอย่างทรมาน ดวงตาของนางแสดงความโกรธไม่รู้จบ แม้นางจะาเ็เจียนตาย แต่นางก็ยังเบี่ยงศีรษะอย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางยอมตายมากกว่าถูกทำให้ขายหน้าเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ซิ่งอวี่เจวียนนั้นาเ็สาหัสเกินไป และไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเตะครั้งนี้ได้เลย
ใกล้กับหอภาพเขียน มีพืชพรรณหนาทึบ ใบเถาวัลย์สั่นไหว และคลื่นผันผวนแปลกประหลาดราวสายลมกรดก็เข้าปกคลุมสถานที่แห่งนี้ในชั่วพริบตา
ซิ่งอวี่เจวียนรับรู้ได้ถึงอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านออกมาจากสักแห่งในเมือง
หญ้าเขียวขจีบนพื้นแปรเปลี่ยนเป็ปราณกระบี่ที่รุนแรง ใบไม้ร่วงหล่นปลิวว่อนไปตามสายลม และแทงทะลุหลอดลมของบรรดาศิษย์หลักจากสำนักชื่อหยวนปังทันที
