สำนักิเซียน ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงลิบปกคลุมด้วยหมอกจาง ๆ ตลอดฤดูกาล เร้นห่างจากโลกภายนอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ขึ้นชื่อว่าเป็หนึ่งในสาม ของสำนักฝึกฝนเซียน ที่ทุกหนึ่งพันปี จะส่งบรรดาเซียนน้อยขึ้นไปรับใช้เหล่าเทพต่าง ๆ บนสรวง์ ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้ถือเป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเหล่าเทพทั้งหลาย ที่ล้วนเคยเป็ศิษย์ของสำนักิเซียนใช้อำนาจแห่งเทพ ร่ายมนตร์เป็เกราะคุ้มครองสถานที่นี้ไว้ เพื่อไม่ให้อำนาจของเหล่ามารเข้ามาทำลายได้
มู่เฉิงหนิงเป็เ้าสำนักที่มีอายุยาวนานหลายหมื่นปีทิพย์ เฝ้าอบรมสั่งสอนศิษย์ทุกคน ให้บำเพ็ญเพียรอย่างเคร่งครัด เพื่อได้สำเร็จเป็เซียน ขึ้นไปรับใช้เหล่าเทพบน์ โดยมีตราสัญลักษณ์ของสำนักไว้ติดกายตราบจนสิ้นอายุขัย
“หนิงเอ๋อ” น้ำเสียงของอาจารย์หญิง เรียกชื่อศิษย์ผู้หนึ่งที่แอบย่องเข้ามารวมกับศิษย์พี่ทั้งหลาย ก่อนสายตาทุกคนจะหันมาจับจ้องนางเป็จุดเดียวกัน
“ข้าโดนจับได้เสียแล้ว” หญิงสาวในชุดสีขาวดุจเม็ดมุก ผมดำเงายาวสวยจรดหลัง มีท่าทีอึกอัก พลันหลับตาลงอย่างจำนนเมื่อถูกจับได้ นางเป็ศิษย์น้องเล็กที่มักมีพฤติกรรมแอบงีบหลับตามสวนดอกไม้ และกลับมาไม่ทันเรียนเช่นนี้เสมอ เป็ภาพชินตาของเหล่าศิษย์พี่ทั้งหลาย นางเลื่อนสายมองทุกคนพร้อมสีหน้าสลด ก่อนสบตาอาจารย์หญิงด้วยท่าทางสำนึกผิด
“ศิษย์ขอโทษที่มาช้า ศิษย์จะไปรับโทษ นั่งคุกเข่าหน้าป้ายสำนักเป็เวลาหนึ่งชั่วยาม” หญิงสาวในชุดขาวสะอาดตา เตรียมหันตัวเดินไปรับโทษอย่างรู้หน้าที่ หากแต่นางเดินก้มหน้าออกไปได้สองสามก้าว
“วันนี้ไม่ต้องรับโทษ เ้ากลับมานั่งในที่ของเ้า” น้ำเสียงราบเรียบของอาจารย์หญิง ทำให้หนิงเอ๋อเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
“เอ๊..เหตุใดวันนี้อาจารย์ไม่คิดเอาผิดข้า” สิ้นความคิดหนิงเอ๋อจึงหันกลับมาตามคำสั่ง พร้อมศิษย์ร่วมสำนักละความสนใจจากนาง แล้วหันมาตั้งใจฟังอาจารย์หญิงอย่างพร้อมเพรียง
มู่เฉิงหนิงถอนหายใจออกมาบางเบา แล้วเลื่อนสายตามองตรงศิษย์ทุกคนอย่างมีความหมาย แม้นางจะมีอายุยาวนานหลายหมื่นปีทิพย์แล้วก็ตาม ทว่าด้วยความเป็เทพเซียนใบหน้าของนางยังคงความงดงามไว้ไม่เสื่อมคลาย
“พวกเ้าเป็ศิษย์รุ่นที่เก้าของข้า ต่างฝึกฝนบารมีกันมายาวนาน จวนครบหนึ่งพันปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้าตอบตามจริง ว่าอดใจหายไม่ได้ หนึ่งพันปีก่อนพวกเ้าถือกำเนิดขึ้น ด้วยอำนาจแห่งบุญครั้งที่เป็มนุษย์ เทพแห่งดวงชะตาก็พาพวกเ้ามาให้ข้าเฝ้าอบรมสั่งสอน” เ้าสำนักพูดพร้อมสายลมเย็นพัดผ่าน แสงระยิบแห่งบารมีเปล่งประกายขึ้นปกคลุมทางเข้าสำนัก พร้อมนางเลื่อนสายตามองไป แล้วถอนหายใจ ออกมา
“ยามนี้พวกเ้าฝึกฝนสำเร็จเป็เซียนน้อยแล้ว ไม่ว่าข้าสอนศิษย์มากี่รุ่น ข้ารู้สึกใจหายทุกครั้ง เพราะการพลัดพรากนั้นเ็ป ไม่ว่ามนุษย์ เซียน หรือเทพ ต่างหลีกหนีกฎนี้ไม่พ้น... พวกเ้าจงจำไว้ หลังจากขึ้นไปเป็เซียนน้อย ทำหน้าที่บน์แล้วต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้มาก อย่าได้ทำผิดใด ๆ ต้องปฏิบัติตัวให้สมกับที่ได้รับการอบรมสั่งสอน มาจากสำนักิเซียน”
“ทำไมหลังจากพวกเราเป็เซียนแล้ว พวกเราต้องขึ้นไปทำหน้าที่บน์ด้วย ในเมื่อพวกเราอยู่กับอาจารย์ก็มีความสุขดี” ศิษย์คนที่สี่เอ่ยถามพร้อมใบหน้าเศร้า
“ทุกอย่างเป็ไปตามกฎแห่งเบื้องบน ไม่มีใครหลีกหนีพ้น เมื่อพวกเป็เซียนน้อย ก็ต้องฝึกฝนตัวเองเรียนรู้ธรรมเนียมและข้อปฏิบัติต่าง ๆ บน์ เพื่อเลื่อนขั้นขึ้นเป็เทพ ดังเช่นศิษย์รุ่นอื่น ๆ ของข้า”
“เช่นนั้นอาจารย์ไม่ต้องห่วง พวกจะตั้งมั่นทำหน้าที่ให้ดีที่สุด หากแม้นมีวาสนาข้าจะเป็เทพในสักวัน" ก่อนรอยยิ้มของอาจารย์หญิงจะคลี่ออกอย่างเมตตาเช่นเดิม
“หลังจากวันที่เทพแห่งชะตามารับพวกเ้า ขึ้นไปทำหน้าที่บน์ ข้าก็คงไม่ได้เห็นพวกเ้าอีก” คำพูดของเ้าสำนักทำให้บรรยากาศเศร้าลงทันที ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานของนาง ศิษย์ทุก ต่างก้มหน้าฟังคำของอาจารย์หญิงอย่างเงียบ ๆ บ้างก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ด้วยความอาลัยที่ต้องจากสำนักไป
เวลานี้สำนักิเซียน มีเสียงร้องของนกอินทรีั์ ที่บินผ่านไปไกล ๆ และเสียงของน้ำตกที่ดังอยู่ไม่ห่างนัก เหล่าศิษย์ทั้งหลายยังคงนั่งปาดน้ำตาและฟังเสียงเ่าั้ไปพร้อม ๆ กัน เมื่อรู้ว่าเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนัก มู่เฉิงหนิงร่ายพลังเทพ แล้วหยิบตราสัญลักษณ์ประจำสำนักขึ้นมาเก้าชิ้นมองอย่างอาลัย แล้วเงยหน้าทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าอีกครั้ง
“อีกไม่นาน เทพแห่งชะตาก็จะพารุ่นที่สิบ มาให้ข้าอบรมสั่งสอน ส่วนพวกเ้ารุ่นเก้า ก็ต้องไปเรียนรู้ธรรมเนียมบน์ หากมีความดีความชอบ เป็ที่ต้องใจแก่าาแห่ง์ ก็จะได้รับพระราชทานตำแหน่งที่สูงขึ้นจนเป็เทพในที่สุด”
