ตอนที่ 2
ผ่านมาหลายวันแล้วหลังจากที่ได้เจอกับพายในคืนนั้น ฟิชเข้ามาทำงานที่บริษัทตามปกติ ในแต่ละวันเขาต้องทำอะไรบ้างหรือมีนัดกับใครทั้งหุ้นส่วนและลูกค้า โดยมีคุณฟิล์มซึ่งเป็เลขาส่วนตัวที่คอยจัดการตารางงานให้กับเขาทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะมีเลขาแค่คนเดียว
การเป็ผู้บริหารไม่ได้ง่ายเลยสักนิด เพราะทั้งงาน ภาระ หน้าที่และความรับผิดชอบมากมายโดยเฉพาะเขาที่ต้องบริหารบริษัทแม่ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอีกจำนวนไม่น้อยที่เป็มรดกจากคุณแม่และคุณตาซึ่งอยู่ในความดูแลของเขาทั้งหมด
*บริษัทแม่คือ บริษัทที่มีอำนาจควบคุมบริษัทอื่น (บริษัทย่อย) โดยการถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงมากกว่า 50%
เดิมทีเขาก็แค่เด็กคนหนึ่งที่เรียนและเที่ยวเล่นอย่างคนปกติทั่วไป สิ่งเดียวที่เป็ปัญหามาตลอดสำหรับเขาคือพ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน เมื่อก่อนเขาไม่เข้าใจสักนิดว่าอะไรที่สามารถทำให้คนไม่รักกันถึงอยู่ร่วมกันได้ แต่มาตอนนี้เขารู้แล้วว่าทุกอย่างก็เพื่อผลประโยชน์ อำนาจ และเงินทอง แต่ส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือพวกท่านทั้งคู่ทำเพื่อเขา
ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งเขาอายุได้ 15 ปี รถของเราเกิดอุบัติเหตุในระหว่างที่แม่กำลังไปส่งเขาที่โรงเรียน ฟิชหลับใหลอยู่ในห้องไอซียูเกือบสัปดาห์ คุณตาตามหาแพทย์ผู้เชียวชาญที่สุดในประเทศมาเพื่อยื้อชีวิตเขาเอาไว้และสุดท้ายปาฏิหาริย์ก็มีจริง หลังจากเขาฟื้นก็ได้รับรู้ถึงการจากไปของแม่ การสูญเสียบุคคลอันเป็ที่รักทำให้เขาแทบคลั่งเพราะโลกทั้งใบของเขามันได้แตกสลายไม่มีชิ้นดี
ในขณะที่เขากำลังเสียใจ แต่ทุกอย่างยังต้องเดินหน้าต่อ ทรัพย์สมบัติในชื่อของแม่และหุ้นบริษัทในเครือของเวธาวีตกเป็ของเขาทั้งหมด จะมีสิทธิ์ขาดก็ต่อเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ โดยคนเป็พ่อไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินตรงส่วนนี้แม้แต่นิดเดียว สิ่งที่พ่อได้จากแม่คือสินสมรสที่มีร่วมกันเท่านั้น ซึ่งในใบพินัยกรรมได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจนโดยลายลักษณ์อักษรของคนเป็แม่
5 ปีต่อมาคุณตาของเขาก็เสียด้วยอาการที่ป่วยเรื้อรังเป็เวลานาน แพทย์ระบุว่าส่วนหนึ่งเป็เพราะท่านตรอมใจเื่ลูกสาว คุณตาเริ่มมีอาการั้แ่ที่แม่ของเขาจากไป
และดูเหมือนความสัมพันธ์ของพ่อกับเขามันแย่ลงมาก หลังจากที่ได้เปิดพินัยกรรมของคุณตาเพราะทรัพย์สินทุกอย่างของตระกูลเวธาวีเป็ของเขาแต่เพียงผู้เดียว มีอำนาจและสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจทั้งหมดโดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากใคร
เขายังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแม้ว่าวันเวลาจะผ่านเลยมาถึง 7 ปี วินาทีที่ทนายความของตระกูลอ่านพินัยกรรมของคุณตา
“ทำงานแทบตายแต่ทำไมคุณพ่อถึงไม่ยกอะไรให้ฉันเลย จะลำเอียงเกินไปแล้ว”
คนเป็พ่อเอ่ยขึ้นด้วยความแค้นเคือง มือหนากำหมัดแน่น ร่างกำยำสั่นสะท้านด้วยความโกรธจัด
“ใจเย็นๆ ก่อนครับ คุณท่านระบุเอาไว้ว่า คุณธนากรได้รับหุ้นส่วนของบริษัทในเครือเวธาวี 10% และเงินสดอีก 500 ล้านครับ”
“มันจะไปพออะไร มีเป็หมื่นล้านแสนล้านแต่ให้ฉันแค่เศษเงิน”
เมื่อได้ฟังยิ่งทำให้โกรธมากขึ้น เขาคนนี้ทำงานให้กับเวธาวีมายี่สิบปีเต็มแต่กลับได้รับผลตอบแทนเพียงน้อยนิด
“คุณธนากรมีสิทธิ์ที่จะรับหรือไม่รับครับ เพราะหากคุณไม่รับเท่ากับว่าทุกอย่างของเวธาวีจะตกเป็ของคุณศรันย์ครับ”
“โถ่เว้ย !!”
ฟิชได้แต่มองคนเป็พ่อเดินจากไปด้วยความเสียใจ เขาไม่ได้้าทรัพย์สินเงินทองมากมายแบบนี้
“คุณทนายครับ ถ้าเกิดผมจะยกมรดกบางส่วนให้กับคุณพ่อ สามารถทำได้ไหมครับ ?”
“ได้ครับ มันเป็สิทธิ์ของคุณศรันย์”
จากวันนั้นพ่อก็ไม่เคยมองเขาด้วยสายตาเป็มิตรอีกเลย ภายใต้ใบหน้าที่ดูอบอุ่นนั่นมีความไม่พอใจแฝงอยู่เสมอ และเขารับรู้ได้ถึงความเกลียดชังที่อีกฝ่ายแสดงออก ทุกครั้งที่เราคุยกันมักมีเื่ของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ พ่อเข้ามาพูดคุยถึงโครงการที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“ฉันขอ 30% จากโครงการ VVB”
“ผมให้พ่อไม่ได้ครับ มันมากเกินไป”
“จะไปมากอะไร แกได้ไปตั้ง 70% แบ่งให้ฉันสัก 30% เวธาวีคงไม่เจ้งเพราะโครงการนี้หรอกมั้ง ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะให้เขายกเลิกสัญญาทันที”
“ผมให้ได้มากสุดแค่ 20% เท่านั้นครับ ถ้ามากกว่านั้นพ่อคงต้องให้เขาหาเหตุผลดีๆ ในการยกเลิกสัญญา”
“ก็ได้ๆ 20% ตกลงตามนั้น”
“พ่อจะไปไหนครับ อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนไหม วันนี้ครบรอบวันตายของคุณแม่”
ถึงแม้ว่ามันจะเป็อย่างนี้ทุกครั้งหลังจากพ่อได้ในสิ่งที่้า แต่ฟิชก็ยังเลือกที่จะถามเพราะวันนี้มันสำคัญสำหรับเขา
“ไม่ละ ฉันมีคุยธุระกับคุณอรฤดี” พ่อพูดจบก็เดินจากไปในทันที
ฟิชหยิบรูปของแม่ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาดู ั์ตาคู่คมเต็มไปด้วยความเศร้า พ่อไม่เคยมีความผูกพันหรือนึกถึงหัวใจของแม่สักนิด ั้แ่ที่แม่จากไปอีกฝ่ายก็มีผู้หญิงใหม่ทันทีและพาเข้ามาอยู่ในบ้านหลังจากคุณตาเสีย
นั่นจึงเป็สาเหตุที่ทำให้เขาเลือกอยู่คอนโด ประมาณสามเดือนเขาถึงจะกลับบ้านสักครั้งเพื่อเยี่ยมคุณป้าแม่บ้านที่เคยเลี้ยงดูเขาตอนเด็กๆ เขาเคยชวนคุณป้าออกมาอยู่ข้างนอกด้วยกัน แต่ท่านก็ไม่ยอมเพราะท่านรักและอยากดูแลบ้านหลังนั้นให้เหมือนตอนที่คุณตายังอยู่ แม้ว่าที่นั่นจะไม่มีความสงบสุขเลยก็ตาม
“ตุบ โอ้ย !!!”
เพราะความเหม่อลอยทำให้ฟิชเผลอเดินชนเข้ากับคุณฟิล์มที่หอบเอกสารกองโตเข้ามา ข้อมือหนากระแทกเข้ากับขอบโต๊ะเต็มแรง
“คุณฟิชผมขอโทษครับ เจ็บมากไหม ?”
ฟิล์มรีบวางเอกสารแล้วมาดูข้อมือหนาของเ้านายด้วยความร้อนใจ
“ไม่เป็ไรหรอกครับ ฉันแค่เจ็บที่ข้อมือนิดหน่อย” ฟิชส่ายหน้ายิ้มๆ
“ไม่หน่อยแล้วครับ ข้อมือแดงมากเลยเดี๋ยวมันต้องช้ำเป็สีม่วงแน่ ๆ ผมว่าไปหาหมอดีกว่านะครับ”
“เื่เล็กน้อยน่าเดี๋ยวก็หาย นายก็เป็ห่วงฉันเกินไปนะฟิล์ม”
“ก็ต้องเป็ห่วงสิครับเ้านายของผมมีแค่คนเดียวนะ และอีกอย่างคุณฟิชชอบดื้อ”
“เออๆ ฉันไปหาหมอก็ได้ บ่นเป็แม่ฉันเลย”
“ฮ่าๆๆ ก็คุณฟิชชอบดื้อจริงๆ นิครับ”
สุดท้ายฟิชก็ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการตามที่เลขาส่วนตัวบอก ผลเอกซเรย์ออกมาปรากฏว่าไม่มีตรงไหนแตกหรือหัก แค่ข้อมือซ้นเท่านั้น
แต่เขาก็ต้องขอบคุณเลขาส่วนตัวที่ทำให้เขาได้เจอกับพายโดยบังเอิญ จึงทำให้เขาได้รู้ว่าพายเป็แพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แม้ว่าเขาจะแชทคุยกันบ้างแต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้พัฒนาอะไรมาก ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเว้นระยะห่างกับเขาพอประมาณ ฟิชจึงถือโอกาสนี้ชวนร่างบางทานมื้อเย็นด้วยกัน ซึ่งพายก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เรานัดกันที่ร้านกาแฟข้างโรงพยาบาลหลังจากอีกฝ่ายเลิกงาน
ฟิชส่งยิ้มหล่อไปให้เมื่อพายเปิดประตูเข้ามาในร้านเดินตรงมาหาเขา
“คุณจะดื่มอะไรก่อนไหม ?”
“เอาน้ำแตงโมปั่นแล้วกันครับ ไม่ใส่น้ำเชื่อม”
“ครับเดี๋ยวผมไปสั่งให้ รอสักครู่นะครับ” ฟิชบอกแล้วลุกขึ้นไปสั่งเครื่องดื่มที่พาย้าให้ทันที
ในระหว่างที่ไปสั่งและรอเครื่องดื่ม รอยยิ้มสวยดูมีเสน่ห์หลงใหลทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้จริงๆ ฟิชเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมแก้วแตงโมปั่นที่อยู่ในมือหนา
“น้ำแตงโมปั่นไม่ใส่น้ำเชื่อมได้แล้วครับ”
“ขอบคุณครับ” พายเอ่ยขอบคุณพร้อมคลี่ยิ้มหวาน หยิบแก้วแตงโมปั่นขึ้นมาดูดกินอย่างอารมณ์ดี
“อร่อยเหรอครับ สีหน้าของพายดูฟินมากจนผมอยากดื่มด้วยเลย”
“ถ้าไม่รังเกียจ ชิมได้นะครับ”
พายลุกขึ้นไปขอหลอดจากพนักงานมาเพิ่มแล้วยื่นให้กับฟิช
“ไม่รังเกียจเลยครับ”
ความจริงฟิชอยากใช้หลอดเดียวกับร่างบางด้วยซ้ำ แต่เขาก็เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย ฟิชรับหลอดมาพร้อมรอยยิ้มโปรยเสน่ห์ ก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะรับเขาไว้พิจารณา
“Trrrrrrrrr………..”
โทรศัพท์ดังขึ้นทำให้บทสนทนาของทั้งคู่สิ้นสุดลงไปโดยปริยายก่อนที่พายจะหยิบขึ้นมาดูและกดปิดเสียงเก็บมันไว้ที่เดิม
“ไม่รับสายเหรอครับ ?”
“คิมโทรมาครับ”
“คุณพายไม่รับสายจะดีเหรอ เขาจะโกรธรึเปล่า ?” พายเพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบอะไร
“ผมขอถามคุณพายตรง ๆ ได้ไหม ?”
“ครับ ถามได้ทุกเื่เลย เอ่อคุณฟิชเรียกชื่อพายเฉยๆ ก็ได้ครับ เรียกคุณทุกคำมันดูแปลก”
“ได้สิครับ ว่าแต่พายมีแฟนแล้วหรือว่ายังโสดครับ ?”
“ผมยังโสด มีอะไรเหรอครับ”
“เอ่อ คืนนั้นดูคุณคิมเขาจะหึงพายมากๆ ผมเลยคิดว่าพวกคุณกำลังคบกันอยู่”
ฟิชพูดออกไปตามตรง ผู้ชายด้วยกันมันมองกันออก ดูก็รู้ว่าคิมทั้งหึงทั้งหวงคนตรงหน้า เขาเพียงแค่ไม่รู้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันแบบไหน
“เพื่อนกันเขาไม่หึงกันหรอกครับ”
ฟิชพูดต่อเมื่อพายเอาแต่นั่งยิ้ม
“ครับเพราะทุกอย่างมันชัดเจนั้แ่แรก เราจึงขีดเส้นไว้แค่คำว่าเพื่อนครับ” พายตอบเสียงใสราวกับว่าไม่ใช่เื่ที่ต้องใส่ใจ
“ฟิชจะว่าอะไรไหม ถ้าพายจะขอเลื่อนไปทานข้าวกันวันหลัง พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ”
“เอาที่พายสะดวกเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก ไว้เราค่อยนัดกันใหม่ก็ได้ครับ”
ถึงแม้จะแอบเสียดายแต่ฟิชก็ไม่คิดจะดันทุรังยื้ออีกฝ่ายเอาไว้ เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกอึดอัด
“ขอบคุณนะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อน”
“แล้วเจอกันครับ”
……………………………………………………
