ซูฉีฉีรู้ว่าเหลยอวี๊เฟิงตกอยู่ในมือของม่อเวิ่นเสวียนได้ก็เพราะคุ้มครองมารดาของตนเมื่อได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองนางก็นึกถึงมารดาของตนที่ดับชีวิตอย่างอนาถในกองเพลิงอีกครั้ง...
มือที่แต่เดิมกำลังเลิกผ้าม่านอยู่นั้นก็ได้วางลงเบาๆ
นางหรี่ตาลงก่อนจะเอียงตัวไปด้านข้างพิงอยู่กับพนังของรถม้าด้านใน
ม่อเวิ่นเฉินที่แต่เดิมคิดจะหยอกล้อเหลยอวี๊เฟิงอย่างนึกสนุกนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ซูฉีฉี
เมื่อเหลยอวี๊เฟิงเห็นดังนี้เขาก็ขมวดคิ้วเบาๆก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นให้กับม่อเวิ่นเฉิน
ความหมายของเขาก็คืออย่าเล่นละครจนคิดเป็จริงไปเสียได้
พวกเขานั้นได้พนันกันก็จริงอยู่แต่คิดไม่ถึงว่าม่อเวิ่นเฉินจะตั้งใจมากถึงเพียงนี้
ม่อเวิ่นเฉินมิได้สนใจเหลยอวี๊เฟิงและเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่ออีก ทำเพียงแค่หลับตานิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
เขาเองก็จำได้ว่าตนได้พนันเอาไว้กับเหลยอวี๊เฟิงดาบเสวียนหยวนนั้นเขาจะต้องเอามาให้ได้ เพราะฉะนั้น...
แต่แล้วเขาก็ส่ายศีรษะอีกครั้งเขาบอกกับตนเองว่า การรักซูฉีฉีนั้นมิใช่เพราะดาบเสวียนหยวน ไม่ใช่อย่างแน่นอน
การพนันนั้นเป็เพียงแค่การให้ซูฉีฉีหลงรักเขาเท่านั้น
และเขาก็รู้สึกว่าในใจของซูฉีฉีนั้นได้มีตำแหน่งไว้ให้เขาแล้วนางมิเป็เหมือนเช่นแต่ก่อนที่ปิดกั้นหัวใจของตนเองไว้อย่างแนบสนิทไม่กล้าเปิดมันออกมาอีก
ความจริงที่ซูฉีฉีเป็เช่นนี้ก็เพราะเขา ม่อเวิ่นเฉินกระมัง
เมื่อคิดถึงเื่ราวในอดีตที่ผ่านมาสายตาของเขาที่มองซูฉีฉีก็อ่อนโยนลงไปมาก
“ยังมีคนอยากจะเอาชีวิตของข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่กันแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่” เหลยอวี๊เฟิงเดิมก็เป็คนที่ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้บรรยากาศในรถม้าก็ดันแปลกประหลาดจนทำให้เขารู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว
ต่อให้ซูฉีฉีจะอยู่ที่นี่ด้วยเขาก็ยังคงแก้นิสัยนี้ออกไปไม่ได้
ม่อเวิ่นเฉินหัวเราะออกมา “ชีวิตของเ้ายังไงเสียก็มีค่าพอจะแลกกับป้ายคุมทหารในมือข้าเชียวนะ”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความิ่หยาม ทำให้เหลยอวี๊เฟิงต้องจ้องกลับไปด้วยแววตาเปี่ยมด้วยโทสะ
ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้ซูฉีฉีที่หลับตาอยู่ด้านข้างอดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา
บรรยากาศดีขึ้นมิน้อย ซูฉีฉีแหงนหน้าขึ้น ใบหน้าของนางยังคงสะอาดหมดจดเสื้อผ้าสีขาวสะอาดที่ไร้ซึ่งเครื่องประดับตกแต่งยิ่งทำให้นางดูเหมือนดอกบัวที่สะอาดปราศจากคราบโคลนแปดเปื้อน ใสสะอาดงามบริสุทธิ์
“คิดว่าคงไม่ใช่ฝีมือของฝ่าา”ในใจของซูฉีฉีพอจะคาดเดาได้แล้วว่าเป็ใครแม้ว่านางจะไม่มีหลักฐานและไร้ซึ่งเบาะแสแต่ว่าคนที่อยากจะให้นางตายนั้นมีไม่มากนัก
แต่ว่าเื่นี้นางมิได้เอ่ยออกมาตรงๆ นางจำเป็ต้องยืมปากของเหลยอวี๊เฟิงในการเอ่ยมันออกมา เพราะถึงอย่างไรเสียสตรีผู้นั้นก็เป็ญาติผู้น้องของม่อเวิ่นเฉิน อีกทั้งต่อหน้าม่อเวิ่นเฉิน ผู้หญิงคนนั้นยังแสดงออกถึงความดีงามไร้ที่ติอีกด้วย
นางเพิ่งจะได้หัวใจของม่อเวิ่นเฉินมาไม่อยากจะขุดเอาเื่ทุกอย่างขึ้นมาพูดอีกทั้งนางเองก็มิใช่คนที่ชอบพูดจาว่าร้ายคนอื่น
ยิ่งไม่ใช่ประเภทที่จะพูดจาฟ้องร้องอีกด้วย
เื่ที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมดนางจะต้องหาทางให้ผู้หญิงคนนั้นตอบแทนอย่างสาสมแน่นอน ครั้งนี้ก็ไม่เป็ข้อยกเว้นเช่นกัน
นางซูฉีฉีไม่คิดจะแก่งแย่งกับใครแต่หากมีคนมาหาเื่นาง นางก็จะทำให้เขาตอบแทนอีกเป็เท่าตัว
“เหลิ่งเหยียนไปตรวจสอบเื่นี้แล้วคิดว่าอีกไม่นานก็คงได้คำตอบ” ดวงตาของม่อเวิ่นเฉินปรากฎ ความเยือกเย็นออกมาอีกครั้งไม่เคยมีผู้ใดรอดพ้นจากการตรวจสอบของเขา ต่อให้ตอนนั้นเขาจะฆ่านักฆ่าไปจนหมดเขาก็ยังคงสามารถตรวจสอบหาผู้ที่อยู่เื้ัพบ
หลายปีมานี้ ลูกน้องของเขาไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้ง
เหลยอวี๊เฟิงจ้องไปที่ซูฉีฉีแวบหนึ่งแต่กลับไม่เอ่ยอะไรออกมา เขาเองก็รู้ว่าคนผู้นั้นเป็ใคร ทว่าในเวลาเช่นนี้ เขาไม่มีหลักฐานเพราะเหตุนั้นเขาจะไม่พูดมันออกมาลอยๆ เขาทำเพียงแค่ยิ้มเย็นออกมา ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นดูเหมือนว่าซูฉีฉีผู้นี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าตนเสียอีก ช่างน่าสนใจจริงๆ
ซูฉีฉีรู้สึกได้ถึงสายตาของเหลยอวี๊เฟิงทว่านางยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม สีหน้าเรียบเฉย ทำตัวประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซูฉีฉีรู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ม่อเวิ่นเฉินประพฤติไม่ดีกับตนนั้นเหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนล้วนเห็นใจตน ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเช่นเดิมอีกแล้วในใจของพวกเขานางกลายเป็ภาระอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะครั้งนี้ม่อเวิ่นเฉินเสียสละชีวิตเพื่อช่วยนางพวกเขายิ่งยอมรับในการมีอยู่ของนางไม่ได้แล้วกระมัง สิ่งที่นางทำได้มีเพียงแค่พยายามทำตนให้คู่ควรพอจะยืนอยู่ข้างกายม่อเวิ่นเฉิน
และผู้หญิงที่คู่ควรพอจะอยู่ข้างกายเขานั้นจำเป็ต้องแข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็ทางด้านพลังหรือว่าความสามารถก็ล้วนแต่ต้องแข็งแกร่งแข็งแกร่งจนสามารถปกป้องตัวเองได้ ไม่เป็ภาระให้กับม่อเวิ่นเฉิน
คิดว่าม่อเวิ่นเฉินเองก็คงอยากได้ผู้หญิงเช่นนั้นเหมือนกัน
แต่ว่าซูฉีฉีเป็เพียงหนอนหนังสือชำนาญเพียงกาพย์กลอนดนตรีงานศิลป์เท่านั้น...
พื้นที่ของสำนักเหลยนั้นกว้างใหญ่มากเรียกได้ว่าใหญ่กว่าเมืองอ้าวที่ม่อเวิ่นเฉินปกครองอีกเท่าหนึ่งเลยก็ว่าได้บนถนนนั้นมีผู้คนเดินผ่านไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนก่อให้เกิดบรรยากาศหรรษารื่นรมย์ไม่น้อย
ทว่าสถาปัตยกรรมของเมืองนี้กลับทำให้คนรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ้างกระทั่งก้อนหินบนท้องถนนยังกระจายไอแห่งความเยือกเย็นออกมา
แม้ว่าประชากรของที่นี่ล้วนมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าแต่กลับมีท่วงท่าของความแข็งแกร่งองอาจเผยออกมาจากด้านใน
เห็นได้ชัดว่าคนที่นี่ล้วนมีพื้นฐานวรยุทธ์กันอยู่บ้างอีกทั้งยังเป็นักรบจึงทำให้บรรยากาศของเมืองนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็เมืองที่ชื่นชอบในการสู้รบ
รถม้าค่อยๆวิ่งผ่านถนนและผู้คนก็ล้วนแต่หลีกทางให้รถม้าวิ่งอย่างสะดวก เพียงเพราะว่าในรถม้านั้นมีเหลยอวี๊เฟิงเ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักเหลยอยู่
แม้ว่าตลอดทั้งปีนั้นจะไม่เห็นเ้าสำนักเลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่ว่าเขากลับเป็เ้าสำนักที่ใจดีมีเมตตากว่าเ้าสำนักคนก่อนมากนักอีกทั้งยังไม่เก็บภาษีที่ดินและการดำรงชีวิตของชาวบ้านที่นี่อีกด้วยกระทั่งฮ่องเต้เองก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามายุ่งได้
สำนักเหลยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับราชสำนักจริงๆเพราะว่าตำแหน่งของมันอยู่ตรงชายแดนระหว่างแคว้นต้าเยียนและหนานเจียง
ปีนั้นตอนที่ต้าเยียนได้บุกเข้าโจมตีหนานเจียงก็เป็เพราะว่ามีสำนักเหลยกั้นอยู่ทำให้ลงมือได้ไม่ถนัดนัก
แน่นอนว่าแม้พื้นที่ของสำนักเหลยนั้นจะเทียบไม่ได้กับแคว้นๆหนึ่ง แต่ว่าความสามารถของพวกเขานั้นมีมากนักอีกทั้งยังไม่เป็มิตรกับต้าเยียนมาโดยตลอด จึงได้ลอบหาเื่ต้าเยียนขณะบุกมาทำา
แน่นอนว่าเื่เ่าั้ล้วนเป็เื่ในอดีตไปแล้ว
เพราะเมื่อถึงสมัยของเหลยอวี๊เฟิงนั้นสำนักเหลยกลับมีความสนิทสนมชิดเชื้อกับท่านอ๋องม่อเวิ่นเฉินอีกทั้งสำนักเหลยทั้งหมดก็ล้วนยอมทำงานให้กับม่อเวิ่นเฉินอีกด้วย
จุดนี้ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใด และไม่มีคนเบื่อถึงขั้นที่จะไปตรวจสอบเื่นี้ด้วย
พวกซูฉีฉีได้ลงจากรถม้าแล้วนางเดินไปทางตัวสำนักพลางมองสำรวจเมืองเล็กแห่งนี้ เมืองที่ยึดเอาสีดำเป็หลัก บรรยากาศโดยรอบล้วนเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
เมื่อเห็นสิ่งก่อสร้างที่แสนใหญ่โตพวกนี้แล้วก็ทำให้คนรู้สึกนับถือออกมาจากใจ
ที่นี่ ดูสง่างามมากกว่าวังหลวงของต้าเยียนเสียอีก
มิเสียแรงที่เป็สำนักพันปีไม่มีผู้ใดสามารถทำให้สั่นคลอนได้
ม่อเวิ่นเฉินนั้นมีอาการดีขึ้นจนเกือบจะหายดีแล้วเขาเดินอยู่ข้างซูฉีฉีอย่างช้าๆทางเหลยอวี๊เฟิงนั้นต้องมีคนพยุงถึงจะสามารถเดินไปด้านหน้าได้สีหน้าของเขามิสู้ดีนัก
เพียงเพราะว่าภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้เป็เช่นนี้
ทว่าต่อให้เป็เช่นนี้ ก็ยังมีกลุ่มสาวงามจำนวนมากพุ่งตัวกันเข้ามาทักทายเขาอย่างคึกคักเพราะถึงอย่างไรเขาก็ทำตัวเสเพลจนเป็ปกติเสียแล้ว คนในเมืองเล็กๆนี้ทั้งหมดล้วนรู้ว่าเขาชอบให้เป็ที่จับตามอง และยิ่งชอบที่จะหยอกล้อสาวงาม
ไม่นานซูฉีฉีและม่อเวิ่นเฉินก็ถูกกลุ่มสาวงามเบียดจนไปยืนอยู่ด้านข้างพวกเขามองไปยังเหลยอวี๊เฟิงที่ไม่สามารถก้าวเดินไปได้กำลังทักทายและเล่นหูเล่นตากับสาวงามแต่ละคนทั้งสองล้วนมีสีหน้าเบื่อหน่าย
ม่อเวิ่นเฉินส่ายศีรษะเขาเคยชินกับท่าทางเช่นนี้ของเหลยอวี๊เฟิงแล้ว
เพียงแต่ว่ากับสาธารณชนนั้นเหลยอวี๊เฟิงกลับเป็คนที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมอีกทั้งจะจัดการเื่อันใดนั้นเขามักจะทำตามที่ตน้าเสมอเทียบกับตอนนี้แล้วช่างต่างกันเสียจริงๆ
กระทั่งซูฉีฉียังถูกรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของเหลยอวี๊เฟิงทำให้นิ่งค้างไป คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะมีด้านนี้ด้วย
หลังจากที่ทักทายกับเหล่าสาวงามเสร็จแล้วเหลยอวี๊เฟิงจึงถูกคนพยุงออกมาจากกลุ่มคนได้อย่างยากลำบากทว่าบนใบหน้าเขายังคงแสดงออกถึงความพึงพอใจและสุขสำราญ ทำให้ม่อเวิ่นเฉินต้องมองเขาอย่างเบื่อหน่าย
ทว่าเหลยอวี๊เฟิงก็หาได้สนใจไม่ ตอนนี้เขาสนแต่หน้าตาของตนในสังคมเท่านั้น ที่นี่นั้นเป็พื้นที่ของเขาสาวงามเ่าั้ย่อมต้องอยู่ในการดูแลของเขา เขานั้นไม่เหมือนกับม่อเวิ่นเฉินที่ไม่รู้จักการใช้ชีวิตไม่รู้จักรสนิยม
ในจวนอ๋องที่กว้างใหญ่เช่นนั้นตอนที่ซูฉีฉียังไม่ได้แต่งเข้าจวน ในนั้นกลับมีเพียงแค่ผู้หญิงเช่นฮวาเชียนจือคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งสตรีเช่นนั้นก็ถือได้ว่ามีรูปโฉมงดงามไร้ที่ติกระนั้นม่อเวิ่นเฉินก็ไม่แม้แต่จะเหลียวมองสักครั้ง ช่างไม่รู้จักชื่นชมสาวงามเสียจริงๆ
ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลุดออกจากกลุ่มสาวงามเ่าั้ได้พวกเขาก็ค่อยๆ เดินไปด้านหน้ากันต่อ
ด้านหน้ามีอาชาตัวหนึ่งกำลังวิ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยมิสนเสียงกรีดร้องโวยวายของคนที่เดินอยู่บนถนนแม้แต่น้อย
สีหน้าของม่อเวิ่นเฉินคล้ำลงดวงตามืดดำมากขึ้น ก่อนจะรีบดึงแขนของซูฉีฉีให้ทั้งร่างของนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตนและเตรียมพร้อมที่จะลงมือกับอาชาที่กำลังมุ่งหน้ามาทุกเมื่อ
เหลยอวี๊เฟิงที่อยู่ด้านข้างกลับส่ายหน้าออกมาอย่างจนปัญญา “เ้าเด็กบ้านี่ เมื่อไหร่ถึงจะโตเสียที...”