เมื่อได้ยินที่เหลยอวี๊เฟิงเอ่ยขึ้นม่อเวิ่นเฉินถึงสังเกตเห็นว่าที่แท้คนที่ขี่ม้ามุ่งหน้ามาทางนี้ก็คือคุณหนูเล็กแห่งสกุลเหลย เหลยอวี่เหยา
แม่หนูคนนี้มักจะทำอะไรโดยไม่สนใจสิ่งใดอยู่เสมอ
ม้าวิ่งทะยานมาจนถึงเบื้องหน้าพวกเขาทั้งสามจากนั้นเหลยอวี่เหยาก็รีบดึงสายบังเหียนอย่างแรงก่อนจะพุ่งตัวเข้ากอดเหลยอวี๊เฟิงที่อยู่เบื้องหน้า “พี่ใหญ่ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว หลายวันที่ท่านไม่อยู่เ้าพวกนั้นไม่ยอมให้ข้าออกจากบ้านเลย...ข้าแทบจะเฉาตายอยู่แล้ว...”
นางพูดพลางยกมือขึ้นตบๆ ไหล่ของเหลยอวี๊เฟิง ช่างเป็สตรีที่องอาจเสียจริงๆ ซูฉีฉีลอบนึกอยู่ในใจพลางพยายามไม่แสดงท่าทีชื่นชมนางออกมาให้เห็น
ม่อเวิ่นเฉินที่โอบซูฉีฉีไว้อยู่นั้นมีสีหน้าเยือกเย็นไม่เอ่ยคำใดออกมา เขาคุ้นชินกับนิสัยโผงผางของหญิงสาวผู้นี้เสียแล้ว
เหลยอวี๊เฟิงนั้นได้ถูกน้องสาวของเขาตีจนไอออกมาไม่หยุด ท่าทางเสเพลกระล่อนเมื่อครู่ได้หายไปหมดแล้วตอนนี้เขามีสีหน้าบึ้งตึงพลางหาทางหลบหนีจากเงื้อมมือของแม่หนูน้อยผู้นี้ ทว่าผ่านไปเนิ่นนานเขาก็ยังไม่สามารถดันตัวเหลยอวี่เหยาออกไปได้
ม่อเวิ่นเฉินตัดสินใจจะช่วยสหายของเขาสักหน่อยจึงกระแอมออกมาเบาๆ มิเช่นนั้น ตัวเขาที่ซูฉีฉีเพิ่งจะพยายามช่วยออกมาจากยมบาลนั้นเกรงว่าคงต้องถูกส่งกลับไปอีกเป็แน่
เมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ เหลยอวี่เหยาถึงจะยอมปล่อยมือจากเหลยอวี๊เฟิงก่อนจะหันไปมองม่อเวิ่นเฉินด้วยสีหน้าตื่นเต้น “พี่เวิ่นเฉินก็มาด้วยหรือ ดีจริงๆ...”
เมื่อเอ่ยเสร็จนางก็เตรียมพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ทว่ากลับถูกม่อเวิ่นเฉินพลิกตัวหลบได้อย่างแเี มือของเขายังคงโอบซูฉีฉีเอาไว้
เหลยอวี่เหยาในตอนนี้ถึงจะสังเกตถึงการมีตัวตนของซูฉีฉีก่อนจะขยับลูกตาขึ้นลงเป็การสำรวจนางรอบหนึ่ง
และซูฉีฉีเองก็อาศัยจังหวะนี้มองสำรวจเหลยอวี่เหยารอบหนึ่งเช่นกันนางมีความละม้ายคล้ายเหลยอวี๊เฟิงถึงแปดส่วน ทั่วทั้งร่างนั้นเต็มไปด้วยความสดใสร่าเริงดวงตากลมโตนั้นกำลังกะพริบปริบๆ ขณะจ้องไปที่ซูฉีฉีผมของนางถูกรวบขึ้นไปทั้งหมดและถักเป็เปียเล็กๆ สิบกว่าเส้นเผยให้เห็นหน้าผากอันสะอาดสะอ้าน นางสวมเสื้อผ้าแนบกับลำตัวทำให้ดูทะมัดทะแมงเฉกเช่นบุรุษ
รูปโฉมเช่นนี้ช่างประจวบเหมาะกับนิสัยของนาง
“ท่านผู้นี้คงจะเป็พี่สะใภ้สินะ”หลังจากที่เหลยอวี่เหยามองพิจารณาอยู่นานนางก็เอ่ยถามออกมาอย่างมิค่อยพึงพอใจนัก
“สวัสดีน้องสาว”ซูฉีฉีเห็นแววตาไม่เป็มิตรในดวงตาของเหลยอวี่เหยาอย่างชัดเจนในใจก็คิดว่าในจวนอ๋องนั้นมีคนหนึ่งก็ถือว่าแล้วไปมาถึงสำนักเหลยยังมีอีกคนหนึ่งเสียได้
ทว่านางก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมาพลางเอ่ยถามกลับไปเสียงเรียบ ดูสุขุมเยือกเย็น สง่างามมีมารยาท
เหลยอวี่เหยาเหล่มองไปที่ซูฉีฉีแวบหนึ่งพลางส่ายหน้า “เป็ดั่งเช่นข่าวลือจริงๆ รูปโฉมไม่งดงาม”
เมื่อประโยคนี้เอ่ยจบสีหน้าของเหลยอวี๊เฟิงและม่อเวิ่นเฉินล้วนเปลี่ยนไปทันที
จริงอยู่ที่โฉมหน้าของซูฉีฉีนั้นมิได้งามสะดุดตาแต่ว่าถูกคนเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้า สำหรับม่อเวิ่นเฉินแล้วก็ถือเป็การท้าทายอย่างหนึ่ง
“อวี่เหยา”นานๆ เหลยอวี๊เฟิงจะจริงจังสักครั้งท่วงท่าของเขาแฝงไปด้วยอำนาจพลางเอ่ยเสียงต่ำออกมาเบาๆ
ม่อเวิ่นเฉินมีสีหน้าคล้ำเข้มขณะจ้องไปที่เหลยอวี่เหยาดวงตาของเขาไม่เป็มิตรนัก
ซูฉีฉีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่กลับยิ้มออกมาอย่างไม่ถือสานางไม่ถือสาจริงๆ เพราะนางเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจถ้าหากเหลยอวี่เหยาพูดว่านางมีรูปโฉมงดงามดุจนางฟ้านั้นอาจทำให้นางรู้สึกแย่เสียมากกว่า
แต่ว่าตอนนี้ที่ต้องอับอายขายหน้านั้นกลับเป็ม่อเวิ่นเฉิน เพราะฉะนั้นในใจของนางก็ไม่อาจสงบลงได้เท่าใดนัก
เมื่อเห็นเหลยอวี๊เฟิงมีโทสะและม่อเวิ่นเฉินเองก็มีท่าทีประดุจพายุกำลังจะโหมกระหน่ำมานั้นเหลยอวี่เหยาถึงได้ยอมรามือเล็กน้อยพลางกระทืบเท้าออกมาอย่างไม่พอใจ “สวัสดีพี่สะใภ้”
มีความไม่พอใจอยู่บ้างในน้ำเสียง
“เอาเถอะพวกเราเดินทางมาตั้งไกลก็ล้วนแต่เหนื่อยกันแล้ว เ้าไปเที่ยวเล่นเถิดแต่อย่าก่อเื่เป็อันขาด”สีหน้าของเหลยอวี๊เฟิงยังคงไม่ดีขึ้นเขารู้มาโดยตลอดว่ารูปโฉมของซูฉีฉีนั้นถือเป็การดูิ่อย่างหนึ่งสำหรับม่อเวิ่นเฉิน
มิใช่เพราะว่านางมีรูปโฉมที่ไม่งดงามแต่เพราะว่าไม่งดงามพอจึงถูกฮ่องเต้โยนมาให้กับเขา
ไม่สิคือเป็คนที่ฮ่องเต้โยนทิ้งเพราะไม่้าแล้วก็ยัดเยียนมาให้กับม่อเวิ่นเฉิน
แม้ว่าโดยปกติแล้วเหลยอวี่เหยาจะโดนตามใจจนเสียนิสัยแต่ว่าตอนนี้กลับรู้สถานการณ์ นางทำปากยื่นๆ รับคำแล้วจึงจากไป
ก่อนจากไปยังหันไปจ้องซูฉีฉีอีกครั้งหนึ่งในดวงตาเต็มไปด้วยความท้าทาย
“ดูเหมือนว่าจะต้องหาบ้านสักหลังแต่งอวี่เหยาออกไปเสียแล้วนางเป็เช่นนี้พลางแต่จะก่อเื่ก่อราวไปทั่ว” เหลยอวี๊เฟิงแสดงท่าทีหนักใจออกมา
พลางเอ่ยกับม่อเวิ่นเฉินอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เห็นด้วย”ม่อเวิ่นเฉินเองก็มิได้เกรงใจ เอ่ยตอบรับเขาไปเรียบๆ สองคำ
เขาได้ปล่อยมือจากซูฉีฉีแล้ว ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมุ่งตรงไปด้านหน้าทว่าบรรยากาศกลับไม่รื่นเริงเหมือนดั่งเดิมอีก
เหลยอวี๊เฟิงได้สั่งให้คนจัดห้องพักสองห้องให้กับม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีจากนั้นเขาก็ขอตัวไปจัดการเื่ของภายในสำนักแล้ว
มิใช่เพราะว่าเหลยอวี๊เฟิงคิดอย่างไรมากเพราะสองห้องพักนั้นเป็คำขอของซูฉีฉีเอง นางยังไม่เคยชินกับการที่จะพักห้องเดียวกับม่อเวิ่นเฉิน แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเข้ากันได้ดีแล้วแต่ว่าก็ยังห่างจากการรักใคร่กันอยู่เพียงก้าวหนึ่ง
และก้าวหนึ่งนั้น ใน่เวลาอันสั้นนี้คนทั้งสองก็ยังไม่มีใครกล้าก้าวข้ามไป
บางทีอาจเป็เพราะประโยคเมื่อครู่ของเหลยอวี่เหยาซูฉีฉีถึงได้มีระยะห่างกับม่อเวิ่นเฉินอีกครั้งและม่อเวิ่นเฉินที่เห็นทุกอย่างในสายตาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพิ่มเติม
เขารู้ว่าทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลา
ก็เหมือนกับการที่เขายอมรับในตัวซูฉีฉีซูฉีฉีเองก็ต้องใช้เวลาในการที่จะยอมรับเขาม่อเวิ่นเฉินกระมัง
พวกเขามิได้ไปเมืองอ้าวแต่กลับเปลี่ยนทิศทางมาที่สำนักเหลยจุดประสงค์มีอยู่อย่างเดียวก็คือรักษาอาการาเ็ให้กับเหลยอวี๊เฟิงที่นี่เป็พื้นที่ของเขา อยากได้อะไรก็ย่อมได้ สมุนไพร ยาคุณภาพทุกชนิดสมบัติเงินทอง ไม่มีสิ่งใดขาดสักอย่าง
เพราะฉะนั้นร่างกายของเหลยอวี๊เฟิงที่อยู่ภายใต้การดูแลของซูฉีฉีจึงหายดีไปถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว
และเหลยอวี่เหยาทุกวันก็จะมาก่อกวนม่อเวิ่นเฉินครั้งหนึ่งแต่กลับปลีกตัวออกห่างจากซูฉีฉีหรือจะเรียกได้ว่าทำเหมือนนางไม่มีตัวตนเสียจะดีกว่า
ทว่านี่กลับทำให้ซูฉีฉีรู้สึกนิ่งสงบนางมิชอบสตรีที่ขี้โวยวายเช่นนั้น
ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้วเมื่อเห็นว่าอาการาเ็ของเหลยอวี๊เฟิงนั้นเกือบจะหายดีแล้วม่อเวิ่นเฉินก็เอ่ยเื่เดินทางกลับเมืองอ้าวขึ้น
ซูฉีฉีเองก็มีท่าทีสบายๆ มิได้ร้องขออะไรนางเพียงแค่ติดตามม่อเวิ่นเฉินเท่านั้นที่นางรักษาอาการาเ็ให้กับเหลยอวี๊เฟิงก็เป็เพราะว่านางเห็นแก่ที่เขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อม่อเวิ่นเฉิน
ความจริงแล้ว ที่เหลยอวี๊เฟิงคุ้มครองมารดาของตนนั้นก็เพราะได้รับคำสั่งจากม่อเวิ่นเฉิน
ตอนที่นักฆ่าบุกเข้าโจมตีนั้นนางเอาตัวเข้าบังเหลยอวี๊เฟิงโดยไม่สนชีวิตตนเองนั้นก็เป็เพราะว่านางเห็นแก่ที่เขาได้ช่วยนางเอาไว้ในครั้งแรกที่พบกัน
“ต้องไปแล้วจริงๆหรือ” เหลยอวี๊เฟิงหันไปมองม่อเวิ่นเฉินพลางเอ่ยอย่างมิค่อยพอใจนัก “เมืองอ้าวไม่มีเ้าก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองก็เหมือนกับสำนักเหลยที่ไม่มีข้าอยู่นี่”
ม่อเวิ่นเฉินกลอกตามองเขา “สำนักเหลยไม่มีเ้าจะยิ่งอุดมสมบูรณ์หรือไม่ก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น”
“เ้า...” สีหน้าของเหลยอวี๊เฟิงไม่ดีนักเสมือนว่าเขาใกล้ถึงจุดที่จะะเิโทสะแล้วทว่าเขากลับไม่ได้มีโทสะจริงๆจากนั้นเขาก็หันไปมองด้านนอกพลางเห็นซูฉีฉีกำลังยืนนิ่งชื่นชมดอกไม้อยู่ใต้ต้นเหมยจึงขยับเดินเข้าไปใกล้ม่อเวิ่นเฉินอีกก้าวหนึ่ง “ดูเหมือนว่าเ้าใกล้จะชนะแล้ว”
ม่อเวิ่นเฉินกระตุกยิ้มที่มุมปากมิได้เอ่ยอะไรออกมา ทว่าสายตาของเขาก็หันไปมองซูฉีฉีเช่นกัน
ต้นเหมยกำลังออกดอกผลิบานอยู่เต็มต้น ซูฉีฉีที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวบริสุทธ์ผมของนางมิได้รวบขึ้นแต่กลับปล่อยให้มันพาดผ่านไหล่ของตนและแผ่กระจายอยู่เต็มแผ่นหลังบนเสื้อผ้านั้นไม่มีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียวบนศีรษะของนางก็ไม่ได้ประดับอะไรไว้เช่นกัน นางในตอนนี้ดูงามสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน
ภาพเบื้องหน้าทำให้ม่อเวิ่นเฉินต้องตกตะลึงอยู่บ้าง ความสง่างามของซูฉีฉีนั้นเป็อะไรที่ซูเมิ่งหรูไม่อาจเทียบได้ แม้ว่าด้วยโฉมหน้าแล้วซูเมิ่งหรูจะเหนือกว่านาง
ถูกต้อง ม่อเวิ่นเฉินได้ชนะ เพราะซูฉีฉีได้หลงรักม่อเวิ่นเฉินเข้าจริงๆเสียแล้ว เป็ความรักอย่างต่ำต้อย ยินยอมทำเพื่อเขาทุกอย่าง
“ดาบเสวียนหยวนจะเอามาให้ได้เมื่อใด”ผ่านไปเนิ่นนานม่อเวิ่นเฉินถึงจะดึงสายตาของตนกลับมาพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ
และเหลยอวี๊เฟิงเองก็ดึงสายตาของตนกลับมาเช่นกันพร้อมกับหัวเราะออกมา “นางรักเ้าแต่นางกลับคอยหลบหน้าเ้า อย่างนี้ข้าก็ไม่ถึงว่าแพ้กระมัง”
แม้ว่าเขาจะไม่สนใจดาบเสวียนหยวนแต่ว่าพ่ายแพ้อย่างนี้ ในใจเขาก็ไม่ยินยอม
เขาคิดว่าซูฉีฉีนั้นปกป้องตนเองมากเกินไป การที่จะให้นางเปิดใจรักใครสักคนอย่างจริงจังนั้นเป็เื่ที่ยากมาก
แน่นอนว่าระหว่างทางที่มานั้นม่อเวิ่นเฉินก็ได้ทำให้ซูฉีฉีหวั่นไหวแล้วจริงๆ