เนี่ยเทียนมองซากกิ้งก่าดินตัวนั้นเงียบๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้ถอนสายตากลับมา หันมามองกิ่งไม้ใหญ่ตรงหน้าที่เสียบชิ้นเนื้อกิ้งก่าดินไว้ แล้วดึงมันขึ้นมาจากพื้นทราย
คราวนี้เขาไม่ได้รีบใช้คาถาหลอมลมปราณมาดูดซับพลังงานในเนื้อสัตว์ แต่กลืนเนื้อกิ้งก่าดินอย่างต่อเนื่อง
กินติดต่อกันหลายสิบจิน เมื่อเขารู้สึกว่าท้องรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาจึงหลับตาลงใหม่ ัักับกระแสอบอุ่นที่ลอยขึ้นมาในช่องท้องอีกครั้ง
พลังงานที่ดุเดือดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัวแผ่ออกมาจากกระเพาะอาหารและลำไส้ของเขา ขณะที่เขาใช้คาถาหลอมลมปราณมาชักนำมัน เขาก็พบว่าตัวเองไม่สามารถเอาพลังงานเ่าั้หลอมรวมเข้าไปในมหาสมุทริญญาได้หมด
ผ่านไปไม่นานนัก มหาสมุทริญญาที่ขาดพลังิญญาไปสองส่วนของเขาก็ถูกเติมพลังงานจนเต็ม
เมื่อมหาสมุทริญญาเต็มเปี่ยม พลังงานที่ไหลทะลักทลายอย่างต่อเนื่องจึงถูกมหาสมุทริญญาทำการเปลี่ยนแปลงให้ขยายใหญ่ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!
“สัตว์วิเศษระดับสอง พลังงานเพิ่มขึ้นเจ็ดเท่า!” ใบหน้าเขานิ่งเฉย แต่ในใจกลับปีติยินดีอย่างบ้าคลั่ง
เดิมทีเขาวางแผนไว้ว่าเมื่อผ่านไปอีกสองเดือนจะใช้เืเนื้อของสัตว์วิเศษเ่าั้มาเพิ่มขอบเขตจากหลอมลมปราณขั้นเจ็ดไปยังหลอมลมปราณขั้นแปด
ทว่าการปรากฏตัวของกิ้งก่าดินที่เป็สัตว์วิเศษระดับสอง พลังงานที่เพิ่มขึ้นมาถึงเจ็ดเท่าในเนื้อของมัน ทำให้เขามองเห็นหนทางใหม่ในพริบตา!
“กิ้งก่าดินตัวนั้น หากข้าได้กินทั้งหมดคนเดียว ใช้เวลาแค่สิบวัน ข้าก็น่าจะเหยียบย่างเข้าสู่หลอมลมปราณขั้นแปดได้ง่ายขึ้น!”
เขาที่เบิกบานใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานก็พบว่าเมื่อมหาสมุทริญญาถูกเติมเต็มด้วยพลังิญญา พลังงานที่มาจากช่องท้องของเขาก็เริ่มแผ่ออกไปยังกระดูกและเืเนื้อมากขึ้น
พลังงานที่ก่อเกิดจากเนื้อของกิ้งก่าดินซึ่งเพิ่งกินไปเมื่อครู่นี้มีมหาศาลเกินไป ทำให้มหาสมุทริญญาของเขาไม่สามารถย่อยได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ
เวลานี้ เขารู้สึกคล้ายว่าอยู่ๆ ร่างกายของเขา ก็กลายสภาพมาเป็ฟองน้ำ กำลังดูดซับพลังงานที่แผ่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง
แล้วก็ไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ๆ อุณหภูมิในร่างของเขาถึงได้พุ่งขึ้นสูง ราวกับกลายมาเป็เตาหลอมขนาดั์หนึ่งเตา
ไม่นานนักเขาก็เหงื่อท่วมร่าง อุณหภูมิรอบด้านเสมือนได้รับอิทธิพลจึงไต่ระดับขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
สถานที่แห่งนี้คือทะเลทรายร้าง เดิมทีก็ร้อนแผดเผาอยู่แล้ว ในสถานการณ์ปกติทั่วไป ผู้ประลองที่อยู่ที่นี่แค่เคลื่อนกายก็เหงื่อออกไปทั่วทั้งตัวอยู่แล้ว
เมื่อพลังงานความร้อนที่ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แผ่ออกมาจากร่างของเขา ศีรษะของเขาจึงร้อนระอุจนเ็ป ผิวพรรณของเขาเริ่มกลายเป็แดงก่ำ
“นี่...”
อยู่ๆ เขาก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ในปีนั้นที่ตัวเองเป็ไข้ขึ้นสูงติดต่อกันหลายวันหลังจากต่อสู้กับเนี่ยหง
“คงไม่เหมือนคราวที่แล้วหรอกกระมัง?” เขาแอบเป็กังวล
“อุ่ย! ข้ารู้สึกไม่สบายท้องนิดหน่อย ขอไปปลดทุกข์ก่อนนะ” เวลานี้ เจิ้งรุ่ยที่กำลังคุยโวอยู่อีกฝั่งหนึ่งมีสีหน้าประดักประเดิด รีบวิ่งออกไปไกล
เขาเพิ่งไปได้ไม่นาน พันเทาเองก็เอามือกุมท้องกะทันหัน แล้วก็จากไปด้วยสีหน้าเหยเกเช่นกัน
อันอิ่งที่มองคนทั้งสอง เดิมทีคิดจะเอ่ยกระเซ้าสักสองสามคำ ทว่าร่างของนางก็ต้องสั่นะเืขึ้นมา
“คือว่า พวกเ้าจับตามองคนของสำนักหลิงอวิ๋นหน่อยก็แล้วกัน เผื่อว่าสำนักโลหิตจะย้อนกลับมา” นางแสร้งทำเป็เอ่ยกำชับด้วยท่าทีเรียบเฉย แล้วอยู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นยืน เดินออกไปข้างนอก “ข้าจะไปตรวจดูรอบๆ เสียหน่อย”
ชั่วพริบตาเดียว พวกอันอิ่งสามคนต่างก็ทยอยจากไป แต่ละคนมีสีหน้าเหยเก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เจิ้งรุ่ยกลับมาก่อนเป็คนแรก เขาเพิ่งจะนั่งลง ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไรหน้าก็เปลี่ยนสีอีกครั้ง
“พี่ใหญ่เจิ้ง เ้าเป็อะไรหรือ?” กัวฉีถามด้วยความเป็ห่วง
“ท้องเสีย” เจิ้งรุ่ยหน้ามุ่ย อธิบายเร็วๆ หนึ่งประโยคก็รีบผลุนผลันจากไปอีกครั้ง
เขาเพิ่งไปได้ไม่นาน พันเทาก็กลับมา เช่นเดียวกัน ยังนั่งไม่ทันได้นานเท่าไหร่ก็ต้องรีบลุกออกไปด้วยสีหน้าเหยเก
ส่วนอันอิ่งไม่ได้กลับมาั้แ่แรก เหมือนว่าไปลาดตระเวนในจุดที่ห่างออกไปไกลมาก
ผ่านไปพอครึ่งชั่วยาม พวกอันอิ่งสามคนถึงจะทยอยกันกลับมา แต่ละคนสีหน้าอ่อนเพลีย ราวกับหมดเรี่ยวหมดแรง
“เ้าก็ท้องเสียรึ?” พันเทาถาม
“เ้าก็ด้วยหรือ?” อันอิ่งตอบรับ
“หา! พวกเ้าท้องเสียกันหมดเลยรึ?” เจิ้งรุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าซีดขาว
“พี่อันอิ่ง ก่อนหน้านี้... พวกเ้าล้วนกินเนื้อกิ้งก่าดิน” เจียงเหมียวมุ่ยปาก หัวเราะเสียงเบาว่า “ทุกคนล้วนบอกว่าเนื้อของกิ้งก่าดินขมเกินไป ไม่มีใครอยากกิน มีเพียงพวกเ้าสามคนเท่านั้นที่บอกว่าเนื้อของมันรสเลิศ ต้องกินให้ได้”
“เป็เพราะเนื้อกิ้งก่าดินรึ?” พันเทาตะลึง
เหมือนว่าจะคิดอะไรขึ้นได้กะทันหัน เขาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ทอดสายตามองไกลไปยังเนี่ยเทียน
“เ้าหมอนั่นกินเยอะที่สุดเลย!” อันอิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาโดยพลัน
ครู่เดียวสายตาทั้งหมดก็มารวมตัวกันอยู่บนร่างของเนี่ยเทียน
จากนั้นพวกเขาจึงพบว่าิัของเนี่ยเทียนเป็สีแดงก่ำไปทั่วร่าง เหงื่อโทรมกายหยดลงมาราวสายฝน ประหนึ่งกำลังถูกย่างอยู่บนเตา
“เขา ท่าทางของเขา... ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมือนกับพวกเ้านัก” ถงฮ่าวกล่าว
“ข้าจะไปดูว่าเขาเป็อย่างไรบ้าง” เจียงเหมียวลุกขึ้นยืน เดินมาหาเนี่ยเทียนเป็คนแรก ั์ตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าไปดูด้วย” พันเทาลุกขึ้นตาม
ขณะที่พวกเขาเดินมาทางเนี่ยเทียนนั้นเอง เนี่ยเทียนที่หยุดการบำเพ็ญตบะแล้วลืมตาขึ้นมาเช่นกัน
เขาััไม่ได้ถึงพลังงานที่ปล่อยออกมาเพิ่มขึ้นจากช่องท้อง รู้ว่าเนื้อกิ้งก่าดินเ่าั้ที่เขากินเข้าไปได้ย่อยไปหมดแล้ว
ทว่าตอนนี้เขายังคงเหงื่อไหลท่วมตัวไม่หยุด อุณหภูมิสูงในร่างกายเผาไหม้จนเขามึนหัวตาลาย
แต่เขาไม่ได้หมดสติไปเหมือนครั้งก่อน
เขาสังเกตเห็นว่าเหงื่อที่ไหลออกมาจากรูขุมขนของเขานั้นขุ่นมัว ราวกับว่าในเหงื่อมีคราบสกปรกมากมายผสมมาด้วย
หลังจากที่สิ่งสกปรกในร่างถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ ทำให้อุณหภูมิสูงเกินจำเป็ในร่างของเขาค่อยๆ ลดต่ำลง
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่นัก ตอนที่เจียงเหมียวและพันเทาใกล้จะเข้ามาใกล้ ผิวที่แดงก่ำราวกับกุ้งของเขาจึงกลับคืนมาเป็ปกติแล้ว
“ตึง ตึง!”
ในหูของเขา เสียงฝีเท้าของเจียงเหมียวและพันเทาเหมือนว่าจะดังกว่าปกติเยอะมาก
ตอนที่เขามองไปยังพันเทาก็ค้นพบได้ในทันทีว่าแค่ตนมองแวบเดียวก็สามารถมองเห็นเส้นขนที่ละเอียดอ่อนซึ่งมองเป็สิ่งที่ไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่าตรงมุมปากของพันเทา
“ความสามารถในการฟังและการมองเห็นก็แข็งแกร่งขึ้นมาเยอะมากด้วย!” เขาพลันตกตะลึงไปกับการค้นพบของตัวเอง
เมื่อลุกพรวดขึ้นยืน เขาก็ััได้ทันทีว่าร่างตัวเองเบาราวกับขนนก ปลอดโปร่งโล่งไปทั้งร่าง ราวกับเพิ่งผ่านการเปลี่ยนสภาพที่ลึกลับมา
“เนี่ยเทียน เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?” พันเทาลูบคลำท้องของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไอแห้งๆ อยู่สองครั้ง “เ้า... รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างหรือไม่?”
“เมื่อครู่นี้รู้สึกร้อนไปทั้งตัว ตอนนี้ดีแล้ว ไม่เป็ไรแล้วล่ะ” เนี่ยเทียนกล่าว
“ไม่รู้สึกไม่สบายท้อง อยากจะถ่ายท้องบ้างหรือ?” พันเทาถามอีกครั้ง
เนี่ยเทียนส่ายหน้าลูกเดียว “เหตุใดถึงถามข้าเช่นนี้เล่า?”
พันเทายิ้มเจื่อน “ข้า อันอิ่ง แล้วก็เจิ้งรุ่ย พอกินเนื้อกิ้งก่าดินเข้าไปแล้ว ล้วนท้องเสียกันหมด ถ่ายจนข้าหมดแรง พลังชีวิตสูญเสียอย่างหนักจริงๆ”
“พันเทาหุบปาก!” อันอิ่งพูดด้วยใบหน้าแดงแปร๊ด
อย่างไรเสียนางก็เป็สตรี เมื่อเื่แบบนี้เกิดขึ้นกับนาง เดิมทีก็ทำให้นางรู้สึกอึดอัดขัดเขินอยู่แล้ว แน่นอนว่านางย่อมไม่ยินดีหากถูกใครพูดถึงในทำนองนี้
พันเทาหัวเราะหึๆ ขยิบตาให้เนี่ยเทียนหนึ่งครั้ง “เนื้อกิ้งก่าดินที่เ้ากินมากกว่าที่พวกเราสามคนกินรวมกันเป็สิบๆ เท่า แล้วเ้าจะไม่เป็อะไรเลยสักนิดเชียวหรือ?”
“พวกเ้าท้องเสียกันหมดเลยรึ” ในใจของเนี่ยเทียนไม่รู้สึกใกลับดีใจด้วยซ้ำ แสร้งทำท่าทีห่วงใยแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็อะไรกันใช่หรือไม่? พวกเ้าไม่เหมือนข้า ข้าร่างกายแข็งแรงบึกบึน เนื้อกิ้งก่าดินข้าสามารถย่อยได้ทั้งหมด ส่วนพวกเ้าล้วนเป็พวกผู้สูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงมาราวกับไข่ในหินมาั้แ่เล็ก ต้องระวังให้มาก อย่ากินอะไรที่มันทำร้ายร่างกายใน่เวลาคับขันเช่นนี้”
เมื่อเขาพบว่าเนื้อกิ้งก่าดินมีพลังงานมากกว่าเนื้อสัตว์ระดับหนึ่งมากถึงเจ็ดเท่า เขาก็เล็งกิ้งก่าดินตัวนั้นไว้เป็ที่เรียบร้อย
และเมื่อครู่นี้ เขาก็พบอีกว่าพลังงานที่ไม่ได้หลอมรวมเข้าไปในมหาสมุทริญญาของเขา หลังจากกระจายไปทั่วเืเนื้อแล้ว มันมีประโยชน์มหาศาลกับเืเนื้อของเขาเช่นกัน
เขาแอบตัดสินใจแล้วว่า สองวันนี้จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น จะพยายามกินเนื้อกิ้งก่าดินตัวนั้นให้มากที่สุด
เขาคิดอาศัยจำนวนในการกินอาหารของตัวเองแย่งชิงเนื้อพวกนั้นมาจากทุกคน เพื่อเพิ่มพลังงานของตัวเองให้สูงขึ้นโดยเร็วที่สุด
นึกไม่ถึงว่าพวกอันอิ่งที่กินเนื้อกิ้งก่าดินจะพากันท้องเสีย
ในใจเขาอดกู่ร้องว่า “์ช่วยข้าแท้ๆ!” ไม่ได้
“เอ่อ เ้าไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว” พันเทากลอกตาใส่เขาหนึ่งครั้ง แอบด่าในใจว่า “เ้าตัวประหลาดนี่...”
พวกเขาสามคนแค่กินเนื้อกิ้งก่าดินไปหนึ่งจินกว่าก็รับไม่ไหวจนท้องเสียปรู๊ดปร๊าดกันหมด
ที่เนี่ยเทียนกินคือสิบกว่าเท่าของพวกเขาทั้งสามคน นอกจากความรู้สึกผิดปกติเล็กน้อยก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้กลับดูแข็งแกร่งและฮึกเหิมประดุจดั่งัและเสือที่ผาดโผน
เขานับถือความพิลึกพิลั่นของเนี่ยเทียนจริงๆ
“พี่อันอิ่ง พวกเรามาคุยกันเถอะว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไปดี?”
และเวลานี้เอง เจียงหลิงจูที่ใช้หินวิเศษฟื้นคืนพลัง ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมา นางะโเรียกจากจุดที่พวกนางนั่งรวมตัวกันว่า “เนี่ยเทียน เ้าก็มาด้วยเถอะ”
“ไป พวกเราไปกัน” พันเทาเองก็เอ่ยเชื้อเชิญ
“ไม่ล่ะ ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย อยากจะพักอีกสักครู่ พวกเ้าคุยกันเองก็พอแล้ว” เนี่ยเทียนส่ายหัว ยิ้มเล็กน้อยให้กับเจียงเหมียวที่มีใบหน้าห่วงใย กล่าวว่า “ข้าไม่เป็อะไรแล้ว ขอบคุณเ้ามากที่เป็ห่วง”
“อ้อ ไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็อะรก็ดีแล้ว” เจียงเหมียวรีบพูด
เนี่ยเทียนไม่พูดอะไรอีก ไม่สนใจคำเชิญของพันเทา นั่งลงแล้วหลับตาอีกครั้ง
เขาที่ไม่มีเหงื่อไหลออกมาราวกับฝนตกอย่างก่อนหน้านี้รู้สึกว่าพลังกายและพลังใจเปี่ยมล้นเกินสิ่งใดเปรียบ นี่ทำให้เขารู้สึกอยากลองใช้กระแสจิตไปัักับขอบเขตรอบด้านอีกครั้ง
เขาทำสมาธิให้แน่วแน่ ปลดปล่อยพลังจิตออกไปเงียบๆ แผ่ขยายไปรอบด้านโดยมีเขาเป็จุดศูนย์กลาง
สิบลมหายใจให้หลัง เขาเบิกตาโพลง ั์ตาเปล่งประกายแวววาว
“ปกคลุมขอบเขตเจ็ดสิบเมตร!”
-----