และแล้ว... ยังไม่ทันถึงยามเย็น โม่ฮว่าเหวินก็มาหาด้วยตนเอง ทั้งยังนำเทียบเชิญงานเลี้ยงชมบุปผามาด้วย
“เหตุไฉนถงเอ๋อร์จึงเลินเล่อทิ้งเทียบเชิญไว้ในสวนเยี่ยงนั้นเล่า หากมิใช่บ่าวไพร่เก็บได้แล้วนำส่งมาคืน เกรงว่าคงจะพลาดงานเลี้ยงชมบุปผาที่ปีหนึ่งจะจัดขึ้นเพียงครั้งเดียวไปเสียแล้ว งานเย็บปักเหล่านี้ยกให้เหล่าสาวใช้ทำไปเถิด อย่าให้เสียสายตาตนเองเลย”
เห็นโม่เสวี่ยถงนั่งปักผ้าเงียบๆ อยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าของโม่ฮว่าเหวินก็ทอยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา วางเทียบเชิญที่ถืออยู่ในมือลงหน้าโม่เสวี่ยถง
“ท่านพ่อ ท่านไปได้มาจากที่ไหนหรือเ้าคะ ท่านยายบอกกับข้าว่างานเลี้ยงชมบุปผาในวังหลวงใกล้จะมาถึงตั้งนานแล้ว ทั้งยังส่งจดหมายมาเตือนให้ตัดชุดใหม่ด้วย ข้าก็ยังนึกประหลาดใจอยู่ว่าไฉนจึงไม่เคยได้รับเทียบเชิญ แสดงว่าพรุ่งนี้ก็เป็วันงานแล้วใช่หรือไม่” โม่เสวี่ยถงลุกขึ้นยืน ดวงตาพลันสว่างวาบ
“ก่อนหน้านี้เ้าไม่ได้รับเลยหรือ” โม่ฮว่าเหวินมุ่นคิ้วขมวด “แล้วตอนนี้เื่เสื้อผ้า...”
“ไม่มีเลยเ้าค่ะ แต่ก็ไม่เป็ไร ถงเอ๋อร์ไหว้วานโม่อี๋เหนียงช่วยจัดการเื่เสื้อผ้าให้นานแล้ว ดังนั้นท่านพ่อมิต้องกังวลว่าถงเอ๋อร์จะไม่มีอาภรณ์สำหรับใส่ไปงานเลี้ยงนะเ้าคะ” ดวงตาประกายหยดน้ำกะพริบปริบๆ ฉายแววเ้าเล่ห์ สีหน้ายิ้มระรื่นอย่างลำพองใจ ดวงหน้าเล็กจ้อยเท่าฝ่ามือช้อนขึ้นมอง ชวนให้คนนึกเอ็นดูรักใคร่
“เ้าให้โม่อี๋เหนียงจัดการเื่อาภรณ์ให้ั้แ่เมื่อไร ไม่เคยได้ยินนางเอ่ยถึงว่าเ้า้าตัดชุดใหม่เลย เ้าจำสับสนไปหรือไม่” โม่ฮว่าเหวินเอ่ยถาม เดิมทีคิดจะมาถามเื่นี้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะเก็บเทียบเชิญได้ในสวนดอกไม้ พอได้ยินโม่เสวี่ยถงกล่าวเช่นนี้ ก็ยิ่งเกิดความเคลือบแคลงใจ
“ไม่นะเ้าคะ หลังจากได้รับจดหมายจากท่านยาย ข้าก็ให้โม่หลันพาคนไปแจ้งโม่อี๋เหนียง ตอนนั้นโม่จิ่นสาวใช้ประจำตัวของพี่หญิงใหญ่เดินผ่านมา นางบอกว่าเป็ทางผ่านพอดี จะช่วยแวะนำความไปบอกโม่อี๋เหนียงให้เ้าค่ะ เอ... หรือว่าโม่จิ่นจะลืมหนอ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันดีล่ะเ้าคะท่านพ่อ พรุ่งนี้ก็เป็วันงานแล้วด้วย ถงเอ๋อร์จะใส่ชุดไหนไปเล่า”
พอได้ยินโม่ฮว่าเหวินถามเช่นนี้ โม่เสวี่ยถงพลันกระวนกระวายใจขึ้นมา หน้านิ่วคิ้วขมวดยุ่ง ริมฝีปากเล็กมุ่ยยื่นออกมาอย่างคนถูกกลั่นแกล้งให้ได้รับความไม่เป็ธรรม
ในแคว้นต้าฉินการที่บุตรธิดาจะไว้ทุกข์แสดงความกตัญญูต่อบิดามารดาผู้วายชนม์ ไม่ได้ถึงกับห้ามออกจากเรือนไปไหนเป็เวลาสามปี หากเป็งานเข้าสังคมทั่วไปก็สามารถไปได้ งานเลี้ยงนี้นับเป็งานเปิดตัวโม่เสวี่ยถงสู่สาธารณะครั้งแรกหลังจากกลับมาเมืองหลวง สวี่เหล่าไท่จวินกลัวว่าคนจวนโม่จะไม่ทุ่มเทใจเต็มที่ วันนี้จึงให้คนส่งจดหมายมาบอกโม่เสวี่ยถงว่าได้เตรียมอาภรณ์ที่เรียบง่ายเหมาะสมไว้ให้แล้ว ให้นางส่งคนไปรับ แต่โม่เสวี่ยถงยังไม่บอกโม่ฮว่าเหวินเวลานี้
เมื่อเห็นแววตาของบุตรสาวเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หน้ามุ่ยเต็มไปด้วยความวิตกกังวล โม่ฮว่าเหวินก็รีบกล่าวปลอบประโลม “อย่าวิตกไปเลย พ่อจะคิดหาวิธีให้เ้าเอง” กล่าวจบก็เคาะไปที่หน้าผากของนางอย่างรักใคร่ “ดูเถิด หน้าของเ้ายับยุ่งไปหมดแล้ว ขืนยังทำหน้ามุ่ยอยู่แบบนี้เดี๋ยวกลายเป็กบน้อย หมดสวยล่ะแย่เลย”
“ท่านพ่อล่ะก็...” โม่เสวี่ยถงลูบหน้าผากพลางบ่นกระเง้ากระงอด
โม่ฮว่าเหวินปลอบใจบุตรสาวอีกสองสามประโยค แต่ยามที่โม่เสวี่ยถงลากให้นั่งลงดื่มน้ำชา สีหน้าพลันขรึมขึ้นโดยไม่รู้ตัว โม่อี๋เหนียงก็วุ่นวายอยู่กับการจัดการตัดชุดกระโปรงหรูหรางดงามให้กับโม่เสวี่ยิ่ที่ห้องตัดเย็บอยู่ตลอดใน่สองสามวันมานี้ ก็แสดงว่ามิได้ลืมเื่ชุดของคุณหนูใหญ่ แล้วจะมีเจตนาลืมเื่ชุดของคุณหนูสามได้อย่างไร
เื่ของถงเอ๋อร์ คนรับใช้ประจำตัวของิ่เอ๋อร์ขันอาสาไปจัดการให้ แต่ผู้ที่ไปแจ้งกลับแจ้งแต่ของิ่เอ๋อร์ มิได้บอกของถงเอ๋อร์ เขาจะต้องตรวจสอบให้กระจ่างแจ้ง ดูจากวันที่ิ่เอ๋อร์้าอาภรณ์ชุดใหม่ แล้วยังเื่เทียบเชิญที่เก็บได้ในสวนดอกไม้ ทำให้โม่ฮว่าเหวินเกิดลางสังหรณ์ว่าเื่นี้จะต้องมีนอกมีในเป็แน่
สำหรับเื่เสื้อผ้า ก็คงได้แต่คัดเลือกคนจากข้างนอกมาจัดการตัดชุดให้ แม้เวลาแค่คืนเดียวจะกะทันหันมาก แต่ยังดีที่ตอนนี้ยังไม่ถึงตอนเย็น อีกสักครู่แค่ให้คนไปตามช่างตัดเย็บแพรพรรณที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงมาวัดตัวให้ถงเอ๋อร์ หากเร่งทำงานทั้งคืนก็น่าจะเสร็จทัน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ โม่อวี้ก็เลิกม่านขึ้นสองมือยกถาดใบหนึ่งเดินเข้ามา มีอาภรณ์พับเป็ระเบียบเรียบร้อยชุดหนึ่งวางอยู่้า นางย่อตัวคารวะโม่ฮว่าเหวิน หลังจากนั้นก็ผลิยิ้มไปยืนอยู่ด้านข้าง สงวนวาจาอยู่
“โม่อวี้ไปเอาอาภรณ์ชุดนี้มาจากไหน เป็ของคุณหนูสามหรือ” โม่ฮว่าเหวินยิ้มถาม ดวงตาทอประกายออกมาวูบหนึ่ง สายตาจับจ้องอยู่ที่อาภรณ์ไหมปักลายดูเรียบหรูที่อยู่ในถาด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็ชุดกระโปรงของสตรี
“เป็ชุดของคุณหนูเ้าค่ะนายท่าน จวนฝู่กั๋วกงเพิ่งให้คนส่งมาให้เมื่อครู่นี้ คงกลัวว่าคุณหนูจะขาดแคลนอาภรณ์สำหรับวันพรุ่งนี้ จึงให้คนส่งมาให้เป็พิเศษ เหล่าไท่จวินไม่เพียงแต่ส่งอาภรณ์มา แต่ยังส่งเครื่องประดับศีรษะชุดใหญ่มาให้ด้วยเ้าค่ะ” โม่อวี้ตอบด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
แต่โม่ฮว่าเหวินกลับสีหน้าดำทะมึน เกิดความรู้สึกเหมือนถูกคนต่อยเข้าหนึ่งหมัด แต่พอคิดจะสวนกลับ กลับรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ไร้กำลังดั่งชกลงไปบนปุยนุ่น นี่มันเื่บ้าอะไร บุตรสาวภรรยาเอกของตนเองอยากไปร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาในวังหลวง กลับไม่มีอาภรณ์จะใส่ ต้องให้บ้านอื่นหาเสื้อผ้ามาส่งให้ แล้วจะให้สกุลโม่เอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่จะให้พูดคำว่าไม่เอา เขาก็พูดไม่ออก เพราะถงเอ๋อร์ก็ไม่มีอาภรณ์ใส่ไปงานเลี้ยงจริงๆ นอกจากนี้ิ่เอ๋อร์ที่ไม่มีคุณสมบัติไปร่วมงานกลับตัดชุดหรูหรางดงาม แล้วจะไม่ให้โม่ฮว่าเหวินหน้าดำยิ่งกว่าก้นหม้อได้อย่างไร เห็นดวงตาของบุตรสาวเป็กระกายวิบวับจับอยู่ที่อาภรณ์ตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถงเอ๋อร์ชอบหรือ”
โม่เสวี่ยถงพยักหน้าอย่างแรง ดวงตาสดใสฉายแววยิ้มพร่างพราย จูงมือโม่ฮว่าเหวินอย่างสนิทสนมไปดูอาภรณ์ชุดนั้นด้วยกัน แต่พอเห็นสีหน้ากลัดกลุ้มของผู้เป็บิดา ก็หยุดเท้าหันไปยิ้มฉอเลาะ “ครานี้ท่านพ่อไม่ทราบว่าถงเอ๋อร์ยังไม่มีชุด ดังนั้นพรุ่งนี้ถงเอ๋อร์จะสวมชุดที่ท่านยายส่งมาไปก่อน ครั้งหน้าหากท่านพ่อช่วยจัดหาชุดใหม่ให้ ถงเอ๋อร์ก็จะสวมชุดที่ท่านพ่อส่งมาแน่นอนเ้าค่ะ”
เห็นบุตรสาวไม่มีทีท่าถือสาหาความแม้แต่น้อย โม่ฮว่าเหวินก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ
ไม่ได้พบกันมาปีกว่า นับวันบุตรสาวก็ยิ่งน่ารักเฉลียวฉลาดมากขึ้น รู้ว่าเขาไม่รู้สึกยินดีก็ยังรู้จักพูดปลอบใจ เด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่งถูกทอดทิ้งไว้เมืองอวิ๋นเฉิงไร้คนเหลียวแล คงมีชีวิตลำบากไม่น้อย หาไม่แล้วเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมจนเอาแต่ใจจะเปลี่ยนมาเป็เด็กช่างสังเกตที่อ่านสีหน้าคนออก ทั้งยังรู้ความเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่แม้จะเป็เช่นนี้ ดวงตากระจ่างสดใสคู่นั้นก็ยังเผยความน่ารัก บริสุทธิ์ดีงามไร้เดียงสา เื่นี้เห็นอยู่ว่านางถูกคนกลั่นแกล้งชัดๆ แต่กลับใจกว้างไม่ติดตามเอาเื่แม้แต่น้อย ซ้ำยังมาปลอบใจเขาอีก แล้วจะไม่ให้โม่ฮว่าเหวินรู้สึกปวดใจได้อย่างไร ยิ่งรู้สึกว่าไม่อาจให้บุตรสาวที่เปลี่ยนมาเป็เด็กน่ารักและรู้ความต้องถูกกลั่นแกล้งเอาเปรียบอีก
เขายื่นมือมาลูบศีรษะนางอย่างอดใจไม่ได้ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้ อีกสองวันพ่อจะให้ช่างตัดเย็บมาตัดชุดให้เ้าใหม่สองสามชุด ดูเ้าสิ สวมแต่เสื้อผ้าแต่ละชุดมีแต่สีสันจืดชืด ดูพี่หญิงใหญ่ของเ้าแล้วหันมาเทียบกับเ้า คุณหนูบ้านไหนเขาแต่งตัวราวกับสาวใช้เยี่ยงนี้กันบ้าง”
“ท่านพ่อ ผมของข้าถูกท่านทำยุ่งหมดแล้ว” โม่เสวี่ยถงทำปากยื่นบ่นอุบอิบ กลอกตาหมุนไปรอบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถงเอ๋อร์สู้พี่หญิงใหญ่ไม่ได้หรอกเ้าค่ะ พี่หญิงทั้งสวยและมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ทั้งรู้เื่มีเหตุผล กตัญญูต่อท่านพ่อ ไม่เหมือนถงเอ๋อร์ที่เป็เด็กกะโปโลไม่รู้เื่ราวก็ย่อมจะดูเหมือนสาวใช้คนหนึ่ง แล้วดูท่านพ่อสิ ยังจะมาทำให้คนเขาผมยุ่งแบบนี้อีก ตอนนี้ถงเอ๋อร์ไม่กลายเป็เด็กโง่ไปแล้วหรือนี่”
คราวนี้ไม่รอให้นางพูดจบ โม่ฮว่าเหวินก็หัวเราะแล้วเขกหน้าผากนางอีกที กล่าวว่า “ถึงเ้าจะเป็เด็กโง่ แต่ก็เป็เด็กโง่ลูกของพ่อ เป็เด็กโง่ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อที่สุด และเป็เด็กโง่ที่ฉลาดรู้เื่เป็ที่สุดด้วย”
“ไม่ใช่เสียหน่อย พี่หญิงใหญ่ต่างหากที่ใช่” โม่เสวี่ยถงดึงแขนโม่ฮว่าเหวินด้วยท่าทางกระเง้ากระงอด
“โอ๋... ถงเอ๋อร์ของเรากำลังกินน้ำส้มอยู่หรือนี่” เห็นโม่เสวี่ยถงออดอ้อนอย่างน่ารักและเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมเยี่ยงนั้น ความรู้สึกขัดเคืองใจที่สวี่เหล่าไท่จวินส่งอาภรณ์มาให้พลันหายวับเข้ากลีบเมฆไป ขอเพียงถงเอ๋อร์ชอบก็พอ อีกประเดี๋ยวจะไปกำชับกับโม่อี๋เหนียง คราวหน้าให้นางใส่ใจกับถงเอ๋อร์ให้มากขึ้น มีของดีต้องนำมาให้ถงเอ๋อร์ก่อน
...
เรือนฝูฉิง
โม่เสวี่ยิ่เอนกายอยู่บนตั่ง สุขภาพของนางแข็งแรงดีมาโดยตลอด อาการป่วยที่แสร้งอุปโลกน์ขึ้นมาก็เป็เพียงแผนการที่รู้อยู่แก่ใจ วันนี้ท้องฟ้าสดใสเจ็ดแปดส่วน แต่นางก็ยังคงแสร้งนอนป่วย นับั้แ่ฟางอี๋เหนียงถูกกักบริเวณ มีบางเื่ที่นางต้องไปจัดการด้วยตนเอง รวมถึงเื่เทียบเชิญของโม่เสวี่ยถงด้วย
เมื่อได้ยินว่าโม่ฮว่าเหวินเก็บเทียบเชิญใบนั้นได้และไปยังเรือนชิงเวย สีหน้าแช่มชื่นของโม่เสวี่ยิ่เผยแววเยาะหยันออกมาทันใด แล้วทอดสายตาไปที่ฟางอี๋เหนียงผู้ถูกสั่งกักบริเวณอยู่ชัดๆ แต่กลับมานั่งอยู่ข้างตนเองเวลานี้ด้วยรอยยิ้มดูแคลน เอ่ยวาจาถากถาง “อี๋เหนียงกล่าวไว้มิใช่หรือว่านังสารเลวนั่นไม่มีทางไปร่วมงานได้แน่นอน แล้วไฉนพรุ่งนี้นางยังคงไปได้อยู่เล่า มิหนำซ้ำท่านพ่อยังนำเทียบเชิญส่งไปให้นาง ไหนเมื่อก่อนอี๋เหนียงเคยคุยฟุ้งว่าตนเองเก่งกาจหนักหนา ไฉนกลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กอ่อนหัดที่อายุเพียงสิบสามปีเล่า”
แม้ว่าหางตาที่กระดกขึ้นจะดูอ่อนล้า แต่รัศมีอำนาจยังดูเหนือกว่าฟางอี๋เหนียงขั้นหนึ่ง สีหน้าแววตาราวกับฉาบด้วยแผ่นน้ำแข็ง ปรายตามองผู้เป็มารดาอย่างดูิ่เหยียดหยาม
“นังแพศยานั่นเ้าเล่ห์นัก จงใจดึงเื่นี้ออกมา ข้าประมาทเกินไปจึงตกหลุมพรางของนางเข้า” ฟางอี๋เหนียงเองยามนี้ก็ปวดหัวยิ่ง พอได้ยินคำกล่าวเยาะหยันของบุตรสาว ก็กล่าวด้วยท่าทางอ่อนเพลียราวกับคนป่วย เกิดความละอายใจเล็กน้อย นางถูกกักขังมาสองวัน แม้ว่าด้านอาหารการกินจะไม่บกพร่อง แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวดูเหมือนคนไม่สบาย เพียงไม่กี่วันหางตาก็มีริ้วรอยเพิ่มขึ้นมาสองสามเส้นดูแก่ตัวลงไปหลายปี
เห็นท่าทางแบบนี้ของมารดา โม่เสวี่ยิ่ก็ยิ่งรู้สึกขัดตานัก คร้านจะแสร้งทำเป็อ่อนแอต่อหน้านางอีก
“อี๋เหนียงใจร้อนเกินไป พอนางสารเลวนั่นกลับมา ท่านก็รอไม่ไหวจะลงมือท่าเดียว เร่งให้ข้าออกไปทำให้นางอับอายที่หน้าประตูเมือง แต่ก็ทำอะไรนางไม่ได้แม้แต่น้อย ต่อมาก็ยังไม่เข็ดสร้างเื่ที่วัดเป้าเอินอีก แต่แล้วแผนของอี๋เหนียงก็พลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไฉนข้าถึงมีมารดาโง่งมเช่นนี้ ช่างโชคร้ายแท้ๆ” โม่เสวี่ยิ่ตัดบทการแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ของนางด้วยน้ำเสียงกระด้างกระเดื่อง ริมฝีปากเผยความไม่พอใจ
เดิมทีแค่เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอายุแค่สิบสามปีคนหนึ่งให้ฟางอี๋เหนียงออกหน้าจัดการคนเดียวก็พอ นางเป็คุณหนูใหญ่สกุลโม่ เพียงรักษาภาพลักษณ์สุภาพอ่อนโยน กตัญญูรู้คุณ วางตัวเหมาะสม มีคุณธรรมความสามารถก็เพียงพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าบัดนี้กลับถูกลากลงน้ำมาด้วย ไขว่คว้าสิ่งใดไม่ได้เลย แล้วจะไม่ให้นางโกรธเป็ฟืนเป็ไฟได้อย่างไร
เมื่อถูกบุตรสาวกล่าวถากถางเช่นนี้ ฟางอี๋เหนียงก็หน้าแดงก่ำ แก้ต่างแบบข้างๆ คูๆ “นังแพศยานั่นไม่รู้จักเจียมตัวจริงๆ”
“อี๋เหนียงต่างหากที่ไม่รู้จักเจียมตัว หากทำอะไรนางไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ไยต้องทู่ซี้โผล่หัวออกไปให้ได้ ไม่เพียงแต่ไม่เกิดผลอันใดแล้วยังจะชักนำภัยมาถึงตัว เวลานี้อี๋เหนียงใช้เวลาใคร่ครวญให้ดีเถิดว่าตอนนี้ท่านพ่อกำลังคิดสิ่งใดอยู่”
โม่เสวี่ยิ่ดวงตาแข็งกร้าว กล่าวกระทบกระเทียบอย่างไม่พอใจ “หัวใจของท่านพ่อต่างหากที่เป็สิ่งที่ท่านสมควรจะจัดการให้อยู่หมัด หากอี๋เหนียงไม่ได้รับการสนับสนุนจากท่านพ่อ ต่อให้ดิ้นรนเก่งแล้วมีประโยชน์อันใด สิ่งที่ท่านควรทำตอนนี้ไม่ใช่ไปท้าทายอำนาจท่านพ่อ แต่เป็การทำให้พี่ชายมีความสำคัญในหัวใจของท่านพ่อเพิ่มขึ้นต่างหาก”
โม่เสวี่ยิ่กำลังอารมณ์ไม่ดี ยามนี้จึงไม่อาจปกปิดสีหน้าดูิ่เหยียดหยามฟางอี๋เหนียงแม้แต่น้อย เป็แค่อนุภรรยาคนหนึ่ง แค่จะให้นางได้เชิดหน้าชูตาก็ไม่อาจทำได้ เป็แค่ตัวไร้ค่าโง่งมสิ้นดี ไม่มองเลยว่าตนเองเป็ผู้ใด กล้าไปหาเื่กับบิดา พาให้ตนเองพลอยโชคร้ายไปด้วย
เื่งานเลี้ยงชมบุปผาเดิมทีก็ไม่นับว่าเป็เื่ใหญ่อันใด หากไม่เกิดเื่เื่ของฟางอี๋เหนียงขึ้น แม้บิดาจะรู้ก็จะคิดถึงว่านางเป็บุตรสาวคนโต ปีที่แล้วนางก็ไปร่วมงานด้วย ปีนี้หากไม่พาไปก็จะรู้สึกผิดและจะหาวิธีให้เอง แต่ตอนนี้เป็อย่างไร เื่แล้วเื่เล่าทบกันเข้าไป แล้วนางจะกล้าไปพูดอะไรต่อหน้าบิดาได้ ได้ยินว่าบิดากำลังตรวจสอบเื่นี้ แม้แต่เทียบเชิญยังไม่กล้าเก็บ ต้องเอาไปโยนไว้ในที่ที่โม่ฮว่าเหวินเดินผ่านทาง
แล้วอย่างนี้ผู้ที่มีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงมาโดยตลอดอย่างโม่เสวี่ยิ่จะทนรับไหวได้อย่างไร คราวนี้แม้แต่มารดาแท้ๆ อย่างฟางอี๋เหนียงนางก็ยังโกรธเคือง แววตาเต็มไปด้วยการดูิ่เหยียดหยามไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย เอ่ยปากแต่ละคำเรียกแต่อี๋เหนียง กดนางจนต่ำต้อยไร้ราคา สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เมื่อถูกบุตรสาวแท้ๆ กระทำหยามิ่เช่นนี้ ฟางอี๋เหนียงก็โมโหโทโส ตาขวางตะคอกเสียงดุดัน “เ้าอย่ามาว่าแต่ข้า ดูตนเองให้ดีก่อนเถิด นางแพศยานั่นข้าจัดการเองได้ ส่วนทางบิดาของเ้า ข้าย่อมจบเื่ได้”
“จบเื่? ท่านอยากจะจบเื่ เื่ก็จบได้ง่ายๆ งั้นหรือ อี๋เหนียง... ท่านไม่ดูสถานะของตนเองบ้างเลย เมื่อก่อนจะเล่นเล่ห์เพทุบายอย่างไรท่านพ่อก็ไม่เคยแคลงใจในตัวท่าน แต่ตอนนี้ท่านก่อเื่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความหวาดระแวงเล็กๆ ในใจที่มีต่อท่านป่านนี้ก็คงลุกลามใหญ่โตขึ้นมาแล้ว ท่านเอาความคิดที่จะไปจัดการโม่เสวี่ยถง ไปให้ความสำคัญกับท่านพ่อจะดีกว่า เป็ผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังคิดแต่จะกดหัวลั่วเสียอยู่ได้ คนก็ตายไปแล้ว จะไปหาเื่กับนางให้เปลืองแรงทำไม ในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสถานะและอำนาจบารมีอีกแล้ว แค่คว้าเอาไว้ให้ได้เป็พอ”
โม่เสวี่ยิ่หัวเราะเยาะหยัน ตอกหน้าฟางอี๋เหนียงอย่างไม่เกรงใจ
“เ้าไม่เคยเจออย่างข้าย่อมพูดได้ เื่ของข้าไม่ต้องมายุ่ง จัดการตัวเองให้ดีก็พอ” เมื่อถูกคำพูดของโม่เสวี่ยิ่ขยี้เข้ามากลางใจ ฟางอี๋เหนียงก็ทนไม่ได้ถลึงตาดุใส่อย่างร้ายกาจ