“ข้าย่อมดูแลตนเองเป็อย่างดี ขอแต่ครั้งหน้าอี๋เหนียงโปรดจัดการธุระของตนเองให้เรียบร้อยด้วยเถิด อย่าให้นายหญิงก็เป็ไม่ได้ ซ้ำยังเสียฐานะอนุภรรยาผู้แสนดีไปด้วยเล่า ความอดทนของท่านพ่อมีขีดจำกัด อี๋เหนียงจะทำสิ่งใดโปรดใคร่ครวญถึงข้ากับพี่ชายใหญ่สักนิด อย่าคิดทำแต่เื่ไม่ได้ความ หลงลืมแม้แต่สถานะของตนเอง ที่เมื่อก่อนฝู่กั๋วกงไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายจวนโม่ เพราะมีเื่หมางใจกับท่านพ่อ แต่ตอนนี้นังสารเลวนั่นกลับมาแล้ว มีบางเื่ที่ท่านไม่อาจทำหน้าใหญ่ได้อีก” โม่เสวี่ยิ่แค่นเสียงเยาะหยัน แล้วหันศีรษะไปหาโม่จิ่นที่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับอยู่นอกประตู
“เชิญฟางอี๋เหนียงกลับไปเถิด อีกประเดี๋ยวท่านพ่ออาจจะมาถามเอาเื่กับท่าน อย่างไรก็วิงวอนขอให้ช่วยฉลาดมากๆ หน่อย อย่าหน้ามืดตามัวไปยั่วโมโหท่านพ่อซ้ำอีก เื่นั้นก็หาจังหวะคุยกับท่านพ่อ แสร้งทำเป็น้อยเนื้อต่ำใจที่ได้รับความไม่เป็ธรรมสักหน่อย บางทีท่านพ่ออาจยอมปล่อยท่านไปก็ได้”
ฟางอี๋เหนียงยังคิดจะกล่าวอะไรอีก พอเห็นโม่เสวี่ยิ่หลับตาไปแล้ว ก็กระทืบเท้าด้วยความคับแค้นใจ แต่พอนึกได้ว่าโม่ฮว่าเหวินอาจมาหาก็ร้อนตัวกลัวความผิด หมุนตัวเดินออกไปทันที หลี่มามาที่รออยู่ด้านนอกเดินเข้ามา เอาเสื้อคลุมคลุมตัวให้แล้วพานางจากไปอย่างเร่งร้อน
“โม่จิ่น ไปดูซิว่าคนมาหรือยัง หากมาแล้วให้รออยู่ในสวน บอกว่าอีกสักครู่ข้าจะออกไป เตรียมชาต้อนรับเขาด้วย” โม่เสวี่ยิ่ที่อยู่ในห้องลืมตาขึ้น สีหน้าคืนกลับมาสู่ความสง่างามเหมือนเช่นเคย ยามนี้นางยังคงเป็คุณหนูใหญ่ผู้ใจกว้างและอ่อนโยนของจวนโม่อยู่ งานเลี้ยงชมบุปผานางต้องไปร่วมให้ได้ จะไม่ยอมให้นังสารเลวนั่นมาทำลายเื่ดีงามของตนเองเด็ดขาด
“เ้าค่ะ” โม่จิ่นก้มศีรษะตอบรับอยู่ด้านนอก ก่อนหมุนตัวจากไป
...
“อะไรนะ เทียบเชิญฉบับนี้เ้าเป็คนหยิบไปหรือ” ดวงตาของโม่ฮว่าเหวินเย็นะเื ฉายแววผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่มองบุตรสาวคนสุดท้องเต็มไปด้วยความเ็าห่างเหิน อายุสิบสามเหมือนกันแท้ๆ ถงเอ๋อร์โตกว่านางเพียงไม่กี่วัน กลับเป็ผู้ใหญ่รู้ความถึงเพียงนั้น แต่บุตรสาวคนเล็กที่น่ารักซึ่งอยู่ต่อหน้าเขาเวลานี้กลับวิสัยทัศน์สั้นนัก
เมื่อไรกันที่สาวน้อยคนหนึ่งถูกเลี้ยงจนกลายเป็เด็กที่มีความคิดตื้นเขินเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ขี้โมโหเอาแต่ใจ นี่ถึงกับแอบเก็บเทียบเชิญของถงเอ๋อร์มาซ่อนไว้
“นายท่าน ฉงเอ๋อร์ยังไม่รู้ความ มิได้ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ จะต้องมีใครเสี้ยมสอนชี้นำอยู่เื้ัเป็แน่ มิเช่นนั้นนางจะกล้าทำเื่แบบนี้ได้อย่างไร” ฉิงอี๋เหนียงคิดไม่ถึงว่าพอตรวจสอบไปตรวจสอบมา เื่นี้จะโยงมาถึงตัวโม่เสวี่ยฉงได้ คราวนี้ก็ยืนไม่อยู่ รีบคุกเข่าลงข้างโม่เสวี่ยฉงขอร้องให้นาง
“ยังกล้ามาพูดอีก ดูบุตรสาวคนดีที่เ้าสั่งสอนมา แม้แต่สถานะสูงต่ำ บุตรภรรยา บุตรอนุยังไม่รู้จักแยกแยะ ตัวเป็แค่บุตรอนุยังกล้ามาระรานถงเอ๋อร์ ผู้เป็บุตรสาวภรรยาเอกเช่นถงเอ๋อร์เท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติไปร่วมงานได้ หากให้บุตรสาวอนุภรรยาเล็กๆ คนหนึ่งไปก็มีแต่จะขายหน้าข้าเปล่าๆ ดังนั้นจงอย่าฝันเฟื่อง” โม่ฮว่าเหวินด่าทอด้วยน้ำเสียงดุดัน รู้สึกผิดหวังในตัวบุตรสาวผู้นี้เป็ที่สุด
“ท่านพ่อ ปีที่แล้วพี่หญิงใหญ่ยังไปร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาได้เลย หากพี่หญิงใหญ่ไปได้ แล้วเหตุใดฉงเอ๋อร์จึงไปไม่ได้เล่า ต่างก็เป็บุตรอนุกันทั้งนั้น ไฉนจึงมีแบ่งแยกสูงต่ำอันใดอีก อีกอย่างพี่หญิงสามก็เพิ่งเข้ามาเมืองหลวง ไปร่วมงานเลี้ยงแบบนั้นนางหรือจะรู้ว่าต้องระวังอันใดบ้าง ไม่สู้ให้ฉงเอ๋อร์ไปดีกว่า ยังพอ่ชิงความโดดเด่นมาให้ท่านพ่อได้บ้าง” โม่เสวี่ยฉงหวาดผวาจนหน้าซีด แต่กลับร้องไห้เถียงคอเป็เอ็น ไม่ยอมปล่อยวางเื่งานเลี้ยงชมบุปผา
“เ้าลูกอกตัญญู ยังกล้าเถียงอีกหรือ ช่างกำแหงนัก เด็กๆ มาพาตัวคุณหนูสี่ไปขังที่ห้องเก็บฟืน” โม่ฮว่าเหวินโกรธจนตัวสั่น เส้นเืที่ขมับตุบเต้นจนแทบะโออกมา
หญิงรับใช้าุโสองคนเข้ามาคุมตัวโม่เสวี่ยฉง
“ท่านพ่อ… ท่านพ่อ... ครั้งหน้าลูกไม่กล้าอีกแล้ว ต่อไปไม่ทำอีกแล้ว” เมื่อแลเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของผู้เป็บิดา ยามนี้โม่เสวี่ยฉงจะกล้าเอ่ยสิ่งใดอีก คุกเข่าตัวสั่นเทิ้มอยู่ที่พื้น ละล่ำละลักร้องขอให้ละเว้นโทษเสียงดังลั่น
“ครั้งหน้า? เ้ายังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ” โม่ฮว่าเหวินสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง หมุนตัวก้าวเท้าฉับๆ เดินออกไป ไม่นำพาต่อโม่เสวี่ยฉงที่ร้องไห้ถูกลากตัวตัวออกไปอยู่ด้านหลังอีก บุตรสาวคนนี้ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเสียใจอย่างยิ่ง ิ่เอ๋อร์รู้เื่เป็ผู้ใหญ่ เฟิงเอ๋อร์ก็เป็บุตรชายคนเดียว ถงเอ๋อร์ถูกทิ้งไว้เมืองอวิ๋นเฉิง มีแต่ฉงเอ๋อร์ที่เป็ลูกคนสุดท้อง ปรกติจะกระเง้ากระงอดเอาแต่ใจอย่างไรก็มีแต่คนโอ๋คนตามใจ ใครจะคิดว่านางจะกลายเป็เด็กนิสัยแบบนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
นิสัยแบบนี้มีแต่จะก่อหายนะ ในใจเขาคิดมานานแล้วว่าจะกำหนดการหาคู่ครองที่เหมาะสมให้โม่เสวี่ยฉงเสียที แต่เขาไม่้าตระกูลที่สูงส่งมั่งคั่งมากนัก ด้วยนิสัยเช่นนี้หากแต่งเข้าตระกูลแบบนั้น ไม่เพียงแต่จะพาตนเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเท่านั้น อาจจะชักนำหายนะมาสู่ครอบครัวอีกด้วย
...
ภายในเรือนชิงเวย
“คุณหนู นายท่านไปด่าทอฟางอี๋เหนียงถึงเรือนหลีหวา ต่อมากลับกล่าวว่าเื่นี้คุณหนูสี่เป็คนทำ จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกจริงๆ แม้ว่าคุณหนูสี่จะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่กลับทำเื่เช่นนี้ได้อย่างไรกันหนอ” โม่เหอนำเื่ที่ตนเองไปได้ยินมาเล่าให้โม่เสวี่ยถงฟังอย่างออกท่าทาง แต่ก็ไม่ลืมสะกิดโม่หลันซึ่งอยู่ข้างๆ ให้นางอธิบายแทนตนเอง
โม่เสวี่ยถงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โม่อวี้กำลังประทินผิวให้นางอยู่ พอฟังความจากโม่เหอแล้ว ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มเยาะหยันบางๆ ฟางอี๋เหนียงแสดงท่าทางยอมจำนนออกมาแล้วจริงๆ
“คุณหนูสี่เป็คนโง่งม เกรงว่าคงถูกฟางอี๋เหนียงกับคุณหนูใหญ่หลอกใช้เป็เครื่องมือกระมัง นี่คือที่ไหนกันเล่า ฟางอี๋เหนียงเป็คนควบคุมทุกอย่าง ต่อให้คุณหนูสี่เหิมเกริมเพียงใด หากนางสามารถนำเทียบเชิญออกมาได้โดยไม่มีฟางอี๋เหนียงคอยหนุนอยู่เื้ัสิ ถึงจะเป็เื่แปลก ต่อมากลับบอกว่าทำหายหาไม่เจอ คุณหนูใหญ่เตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์ไว้นานแล้ว เช่นนี้ยังไม่กระจ่างอีกหรือว่าผู้ที่้าไปร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาแท้จริงแล้วคือคุณหนูใหญ่ นายท่านก็ช่างกระไร ทำไมมองไม่เห็นเื่ราวเหล่านี้”
โม่อวี้เบ้ปากกล่าวอย่างไม่พอใจ นางมองดูด้วยสายตาคนนอก อีกทั้งยังรู้จักฟางอี๋เหนียงเป็อย่างดี ไหนเลยจะคิดไม่ได้ว่าเื่นี้ต้องมีฟางอี๋เหนียงชักใยอยู่เื้ั
แต่ทั้งฟางอี๋เหนียงและคุณหนูใหญ่ยังเพียรแสดงท่าทีว่าตนเองเป็ผู้บริสุทธิ์ถูกปรักปรำอย่างไม่ละอาย ช่างน่าโมโหจริงๆ
“มิน่าเล่าข้าจึงรู้สึกแปลกๆ ที่แท้โม่อวี้ เ้าก็ดูออกด้วย!” พอโม่เหอได้ยินเช่นนั้น ดวงตาพลันสว่างวาบ กระจ่างใจโดยพลันว่าเพราะเหตุใดตอนที่ตนเองได้ยินเื่นี้ จึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจบางอย่าง พอโม่อวี้ตีแผ่ความจริงของเื่ออกมา บัดนี้ก็ย่อมกล่าวยกย่อง
พวกนางเติบโตมาพร้อมกันั้แ่เด็ก ปรกติก็ไม่เคยเห็นว่าใครจะชื่นชมนับถือใคร พอโม่เหอเอ่ยปากขึ้นมาเวลานี้ ก็ทำให้โม่อวี้รู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์ จึงปรายตามองยิ้มอย่างลำพองใจกล่าวว่า “ทีหลังมีเื่อะไรก็ไม่ต้องไปถามโม่หลันแล้ว มาถามข้าก็ได้ อย่างเ้าน่ะนะ มีเื่ให้ข้าต้องชี้แนะอีกเป็กองพะเนิน”
“เชอะ! เ้านี่ชมเข้าหน่อยไม่ได้เลย คุณหนู... ดูสิเ้าคะ โม่อวี้รังแกบ่าวอีกแล้ว ไม่เห็นคุณหนูจะจัดการนางบ้างเลย” พอเห็นโม่อวี้อวดโอ่ด้วยความลำพองใจ โม่เหอก็ทนมองไม่ได้ วางกาน้ำชาในมือลงก่อนกล่าวอย่างฉุนเฉียว
“หากคุณหนูจะจัดการย่อมจัดการเ้านั่นแหละ ดูตัวเองสิ ก็แค่สาวใช้คนหนึ่งเหมือนกัน ยังกล้ามาชี้นำคุณหนูอีก คิดว่าตนเองเป็คุณหนูใหญ่หรืออย่างไร” โม่อวี้ก็ไม่ยอมคนเช่นกัน ยิ้มเยาะตีฝีปากโต้กลับ นางปล่อยผมของโม่เสวี่ยถงลง เตรียมพาคุณหนูของตนเข้านอน
“คุณหนูไม่ได้รู้เห็นอะไรกับพวกเ้าเสียหน่อย เอาล่ะ อย่าทะเลาะกันเลย พรุ่งนี้คุณหนูยังต้องเข้าวังอีกนะ” โม่หลันหัวเราะแล้วห้ามปรามสองคนไม่ให้ทะเลาะกัน ในขณะที่นำอาภรณ์ที่สวี่เหล่าไท่จวินเตรียมมาให้แขวนไว้ด้านข้าง เครื่องประดับศีรษะก็วางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อาภรณ์ชุดนั้นกับเครื่องประดับล้วนเป็ชุดเดียวกัน ไม่ดูฉูดฉาด แต่ก็ไม่เรียบจนจืดชืด กำลังพอเหมาะพอดี
“เอาล่ะๆ ข้าเป็ผู้ใหญ่ใจกว้างไม่เอาเื่กับเ้าก็ได้” โม่เหอย่นจมูกมองโม่อวี้อย่างยั่วยุ แต่แล้วตนเองกลับหัวเราะออกมาก่อน สองสามวันมานี้พวกนางต่างอารมณ์ดี พอคิดถึงว่าฟางอี๋เหนียงถูกนายท่านสั่งสอนก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
ช่วยคลายความคับข้องใจได้ดีนัก!
“พวกเ้าคิดว่าวันนี้ฟางอี๋เหนียงถูกกำราบแล้ว จะพลิกตัวกลับขึ้นมาไม่ได้จริงๆ หรือ” โม่เสวี่ยถงทอดกายนอนลง เส้นผมยาวสลวยแผ่คลุมหมอนหนุน ขับดวงหน้าให้แลดูขาวผ่องราวกับหยกขาว นางมองสาวใช้ประจำตัวสองสามคนที่อยู่ข้างกายด้วยสีหน้าอาบรอยยิ้มบางๆ
นับั้แ่มีชีวิตขึ้นมาใหม่ ยามนอนนางไม่ชอบเกล้าผมขึ้น ด้วยรู้สึกว่าแบบนั้นทำให้ตนเองรู้สึกอึดอัด
“แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรือเ้าคะคุณหนู” โม่อวี้กำลังจะดึงผ้าแพรมาคลุมให้ พอได้ยินคำถามของนาง ก็ชะงักกล่าวอย่างตกตะลึง
“โม่เหอก็กล่าวอยู่ไม่ใช่หรือว่าท่านพ่อด่าทอฟางอี๋เหนียงไปยกใหญ่ แต่สุดท้ายกลับพบว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวกับนาง แม้ว่าท่านพ่อจะมิได้กลับไปหาฟางอี๋เหนียงอีก ก็ย่อมรู้สึกละอายใจต่อนางอยู่บ้าง ฟางอี๋เหนียงจะต้องฉวยใช้ประโยชน์จากจุดนี้แน่นอน” ดวงตาของโม่เสวี่ยถงทอประกายวิบวับ ยิ้มกล่าวอย่างอ่อนโยน
“คุณหนูหมายความว่าฟางอี๋เหนียงจะใช้ประโยชน์จากเื่นี้ไปร่ำไห้ร้องทุกข์ให้นายท่านใจอ่อนหรือเ้าคะ” โม่หลันเป็สาวใช้ที่ฉลาดที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร พริบตาเดียวก็คิดถึงจุดสำคัญของเื่ได้ นางหยุดมือที่ง่วนจัดเตรียมของอยู่แล้วเอ่ยถามทันใด
“ฟางอี๋เหนียงเป็คนฉลาดหลักแหลม และพี่หญิงใหญ่ของข้าก็จะช่วยเหลือนางสุดกำลัง ไม่ช้าท่านพ่อก็นึกถึงเื่นี้ได้ ฟางอี๋เหนียงที่ต้องมารองรับอารมณ์โดยไม่รู้อิโน่อิเหน่ จึงกลายเป็ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม” โม่เสวี่ยถงกล่าวพลางยิ้มเยาะ สองสามวันนี้โม่เสวี่ยิ่จะต้องคิดหาวิธีลวงให้บิดาไปเรือนหลีหวา ถึงเวลานั้นก็ให้ฟางอี๋เหนียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่ได้รับความเป็ธรรม ไม่แน่อาจจะได้รับการปล่อยตัวออกมาจากเรือนหลีหวาก็เป็ได้
“แล้วอย่างนี้พวกเราจะทำอย่างไรเ้าคะคุณหนู” โม่อวี้เอ่ยถามอย่างร้อนใจ เมื่อนึกถึงอันตรายที่อาจเกิดจากเื่นี้
หากฟางอี๋เหนียงถูกปล่อยตัวออกมา ย่อมจะหาทางจัดการกับคุณหนูแน่ นายท่านเพิ่งขังนางไม่กี่วันยังไม่เจ็บไม่คัน สุดท้ายเื่ก็จะจบลงแบบไม่ถึงที่สุด เหล่าบ่าวไพร่ไหนเลยจะดูไม่ออก หากฟางอี๋เหนียงได้รับความโปรดปรานจากนายท่าน ชีวิตในภายภาคหน้าของคุณหนูก็ย่อมลำบากยากเข็ญยิ่งกว่าเดิม
“ไม่เป็ไร ท่านพ่อไม่ปล่อยนางออกมาหรอก” โม่เสวี่ยถงหาววอด พึมพำประโยคสุดท้ายก่อนจะหลับตาลง ดวงหน้าเล็กจ้อยที่งดงามไร้เดียงสาเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ไม่เ็า เห็นแล้วทำให้คนรู้สึกอบอุ่น ไม่เหมือนกับรอยยิ้มที่ทำให้คนหนาวสะท้านจากภายในออกมาภายนอกเช่นเมื่อก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงหลับตาลงแล้ว สาวใช้ทั้งสามก็ถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
ทันทีที่ออกมานอกห้อง โม่เหอก็อดใจไม่ไหวชี้เข้าไปในห้องแล้วกล่าวอย่างร้อนใจ “คุณหนู...”
“เอาล่ะ โม่เหออย่าพูดอะไรเลย คุณหนูย่อมมีแผนการในใจแล้ว พวกเราแค่รับคำสั่งและทำตามก็พอ” โม่หลันกล่าวตัดบทด้วยรอยยิ้ม จากการติดตามข้างกายอย่างใกล้ชิดใน่เวลาที่ผ่านมา เห็นการดำเนินงานของคุณหนูทั้งเฉลียวฉลาดและลุ่มลึกปานนี้ มีตรงไหนที่คล้ายกับสตรีอ่อนแอไร้ความสามารถอย่างเมื่อก่อนบ้าง
คุณหนูหาวิธีออกจากเมืองอวิ๋นเฉิงกลับมาเมืองหลวงได้ ทำลายแผนการของคุณหนูใหญ่ที่หน้าประตูเมือง จงใจซ้อนแผนใส่เข็มหนอนไหม์เข้าไปในอาภรณ์ที่ฟางอี๋เหนียงเตรียมไว้ให้ ทำให้ฟางอี๋เหนียงต้องถูกกักบริเวณ มีเื่ไหนที่มิได้แสดงว่าคุณหนูเป็ผู้มีความคิดล้ำลึกอีกบ้าง นางไม่ใช่โม่เสวี่ยถงผู้ขลาดเขลาไร้ประโยชน์ในวันวานอีกแล้ว เช่นนั้นจะมีเหตุผลใดที่จะไม่เชื่อถือคุณหนูอีกเล่า
“แต่ว่า พวกเราก็คงต้องกล่าวเตือนด้วยกระมัง” โม่เหอหน้ามุ่ย
“เตือนย่อมต้องเตือน แต่ไม่อนุญาตให้กระทำสิ่งใดโดยพลการ อันอาจเป็เหตุให้คุณหนูเสียแผนได้” รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่หลันพลันหายไป กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าไม่ทำให้คุณหนูเสียเื่หรอกน่า คุณหนูฉลาดขนาดนั้น ไหนเลยจะให้ข้าทำเสียเื่ได้” โม่เหอหน้ายู่ด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ยังรับคำ
“เ้ารู้ว่าคุณหนูเฉลียวฉลาด แล้วยังจะไปวิตกอะไรแทนคุณหนูอีกเล่า คุณหนูบอกแล้วว่านายท่านไม่ปล่อยฟางอี๋เหนียงออกมา ก็ย่อมต้องเป็เช่นนั้นแน่นอน” ยามนี้โม่อวี้เชื่อมั่นในแผนการของโม่เสวี่ยถงเป็อย่างยิ่ง กระดกมุมปากขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ตระหนกไปกับคำพูดเมื่อครู่ของโม่เหอ
ก็คุณหนูบอกแล้วว่าไม่มีเื่อย่างไรเล่า!
ครานี้โม่เหอจึงยิ้มออก รับของจุกจิกมาจากมือของโม่หลัน ขณะที่คิดจะหยิบอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยออกมา มือก็หยิบขวดหยกขาวใบหนึ่งมาพลิกดู แล้วเอ่ยถาม “นี่เป็ของผู้ใด ขวดดีๆ แบบนี้จะทิ้งขว้างมั่วซั่วได้อย่างไร”
“ไม่รู้สิ ขวดนี้ดูสวยดีจริงๆ” โม่อวี้เปิดฝาออกดมกลิ่นอย่างไม่ตั้งใจ “หอมจริงๆ”
“เ้าอย่าหยิบไปมั่วซั่ว อีกประเดี๋ยวก็เอาไปเก็บในห้องให้คุณหนู อย่าให้หายเล่า ่นี้คุณหนูกำลังทดลองยาสมุนไพร ไม่แน่อาจจะได้ใช้” โม่หลันกล่าวโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมอง
“ได้ เดี๋ยวข้าจะเอาไปวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งของคุณหนู ถึงเวลาใช้สอยจะได้สะดวกหน่อย”