นี่มันอะไรกัน หาญกล้ามาก่อความวุ่นวายถึงห้องหนังสือของเขาเชียวหรือ! ความกรุ่นโกรธในหัวใจที่มีต่อฟางอี๋เหนียงพลันะเิตูม เส้นเืที่หน้าผากเต้นตุบๆ ตวาดด่าทอด้วยน้ำเสียงดุดัน “ให้คนลากออกไป โบยให้หนักคนละสามสิบไม้ แล้วขับไล่คนในครอบครัวของพวกนางออกไปจากจวนโม่ให้หมด” ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี ฟางอี๋เหนียงคิดว่าตนเองเป็นายหญิงของจวนนี้ไปแล้วจริงๆ หรือไร ถึงได้กล้าท้าทายอำนาจของเขาเช่นนี้!
สตรีสามานย์เช่นนี้ที่ผ่านมาเขามองพลาดไปได้อย่างไร นึกว่านางเป็สตรีผู้ดีงามเพียบพร้อม เพื่อนางเขาถึงกับทิ้งถงเอ๋อร์ไว้ที่เมืองอวิ๋นเฉิง เมื่อคิดถึงว่าบุตรสาวเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด โม่ฮว่าเหวินก็ยิ่งปวดใจ ยิ่งเห็นดวงตาประกายหยดน้ำใสแจ๋วของนางที่มองตนอยู่เบื้องหน้า ความโกรธเกลียดทั้งหมดจึงไปลงที่ฟางอี๋เหนียงในบัดดล
“นะ... นายท่าน!” บ่าวชายตะลึงงัน
เพียงสามสิบไม้ก็สามารถเอาชีวิตคนได้แล้ว ต่อให้ไม่ตายก็ต้องพิกลพิการ มิหนำซ้ำยังให้ขับไล่คนทั้งครอบครัวออกไปจากจวนอีก
“ยังไม่รีบไปอีก” โม่ฮว่าเหวินตะคอก
“ขอรับ!” บ่าวชายถูกตวาดจนลนลานไปหมด ั้แ่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นโม่ฮว่าเหวินโมโหขนาดนี้มาก่อน จึงไม่รอช้ารีบหมุนตัววิ่งไปด้านนอกทันที
“ท่านพ่อ อย่าโมโหไปเลยเ้าค่ะ เื่ในเรือนหลัง...” เมื่อเห็นบิดาโกรธจัดถึงเพียงนั้น ดวงตาของโม่เสวี่ยถงฉายแวววิตกกังวล ก้าวเข้าไปดึงแขนเสื้อของโม่ฮว่าเหวินกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ “ฟางอี๋เหนียง...”
“ไม่ต้องเอ่ยถึงนางอีก ถงเอ๋อร์แค่พักรักษาตัวให้หายก็พอ ส่วนเื่อื่นๆ พ่อจะจัดการเอง” ยามนี้แค่ได้ยินชื่อฟางอี๋เหนียง โม่ฮว่าเหวินก็รู้สึกหงุดหงิดแล้ว
“เ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงผงกศีรษะอย่างว่าง่าย แล้วเปลี่ยนเื่คุยอย่างชาญฉลาด “ท่านพ่อเ้าคะ อีกสองสามวันถงเอ๋อร์จะไปบ้านท่านตา ท่านพ่อไปส่งได้หรือไม่ ถงเอ๋อร์อยากให้ท่านพ่อไปด้วยกันเ้าค่ะ”
เหตุเพราะเมื่อครั้งเดินทางเข้าเมืองหลวง ถูกพี่ชายคนโตของภรรยากีดกันไม่ให้เข้าเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างจวนโม่กับจวนฝู่กั๋วกงก็จืดจางลง ั้แ่ย้ายมาอยู่เมืองหลวงได้ปีกว่า นอกจาก่เทศกาลที่ส่งของขวัญไปให้ เขาก็ไม่เคยย่างเท้าเข้าประตูจวนฝู่กั๋วกงอีกเลย ยามนี้เห็นบุตรสาวจ้องมองตนด้วยดวงตาบริสุทธิ์สดใสไม่แปดเปื้อนธุลี หัวใจพลันอ่อนยวบ ไม่อาจเอ่ยคำปฏิเสธออกมาได้ พยักหน้าตอบรับไปโดยไม่รู้ตัว
พอได้ยินดังนั้น โม่เสวี่ยถงก็ดีใจจนออกนอกหน้า มุมปากกระดกยิ้มอย่างน่ารัก “ขอบพระคุณเ้าค่ะท่านพ่อ ถึงเวลาท่านพ่อก็ห้ามลืมเด็ดขาดเลยนะเ้าคะ” น้ำเสียงขู่ฟอดทีเล่นที่จริง
“ไม่ลืมแน่นอน สองวันนี้ถงเอ๋อร์ก็พักผ่อนอยู่แต่ในเรือนให้มากๆ รอขาหายเจ็บเมื่อไร ค่อยไปเรียนจรรยามารยาทที่จวนของท่านตา จะให้ท่านยายของเ้าเป็กังวลใจมิได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นพ่อคงถูกเล่นงานแย่แน่” โม่ฮว่าเหวินอารมณ์ดีขึ้น เอื้อมมือมาลูบศีรษะของโม่เสวี่ยถงด้วยความรู้สึกพึงพอใจที่ได้เห็นดวงหน้าเล็กระบายยิ้มงามปานบุปผาของธิดาตัวน้อย เอ่ยวาจายั่วล้ออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แววตาที่มองโม่เสวี่ยถงยิ่งอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ
“เ้าค่ะท่านพ่อ ถงเอ๋อร์จะเชื่อฟังทุกอย่าง จะรักษาตัวให้หาย กตัญญูต่อท่านพ่อให้มากๆ”
“ท่านพ่อเ้าคะ... พ่อบ้านมายืนรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว คงมาหาท่านพ่อใช่หรือไม่ ความจริงถงเอ๋อร์ก็เห็นั้แ่เมื่อครู่นี้แล้ว นี่ถ้าท่านพ่อไม่เอ่ยปากตอบตกลง ถงเอ๋อร์ก็ไม่บอกหรอก คิกๆ” โม่เสวี่ยถงชี้ไปที่พ่อบ้านซึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ กล่าวอย่างกระหยิ่มใจ
เห็นบุตรสาวมีสีหน้ายิ้มย่องราวกับแผนร้ายประสบความสำเร็จ หินก้อนใหญ่ที่ทับอยู่ในหัวใจโม่ฮว่าเหวินก็พลันทลายลง บุตรสาวของเขาน่ารักถึงเพียงนี้ จะทำเื่ชั่วร้ายแบบนั้นได้อย่างไร โม่ฮว่าเหวินยื่นมือมาลูบผมของนางอย่างรักใคร่ กล่าวหยอกเย้า “นี่พ่อถูกถงเอ๋อร์รวบรัดเบ็ดเสร็จแล้วใช่ไหมนี่”
“ถึงอย่างไรตอนนี้ท่านพ่อก็รับปากแล้ว ห้ามคืนคำเด็ดขาดนะเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงแววตาเป็ประกายระยิบระยับ ราวกับผิวน้ำกระเพื่อมเป็ระลอกอย่างมีความสุข
“ได้ พ่อจะไปบ้านท่านยายเป็เพื่อนเ้า ไม่คืนคำแน่นอน” โม่ฮว่าเหวินอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ความกลัดกลุ้มในอกพลันมลายหายสิ้น
“ท่านพ่อยังมีงาน เช่นนั้นถงเอ๋อร์ขออำลากลับก่อนเ้าค่ะ”
“ไปเถิดๆ” โม่ฮว่าเหวินโบกมือยิ้ม แล้วหันไปสั่งโม่อวี้ให้ประคองโม่เสวี่ยถงเดินไปดีๆ จากนั้นก็เดินนำพ่อบ้านออกไปจากสวนดอกไม้
สามวันต่อจากนั้น โม่เสวี่ยถงเก็บตัวรักษาอาการาเ็อยู่ภายในเรือนชิงเวย แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในจวนโม่ก็เข้าหูนางตลอดไม่ได้ขาด
เริ่มจากหญิงรับใช้าุโสองคนที่ถูกโบยจนเกือบตาย แม้แต่ครอบครัวก็ถูกขายออกไปทั้งหมด ครั้นแล้วก็ไม่มีใครกล้าไปสร้างความรำคาญใจให้โม่ฮว่าเหวินอีกเลย ต่อมาโม่อี๋เหนียงก็ให้หยาผอ[1] จัดการขายสาวใช้ปากเสียสองคนออกไปจากจวน สาวใช้สองคนนั้นล้วนเป็คนในเรือนหลีหวาของฟางอี๋เหนียงทั้งสิ้น
โม่เสวี่ยถงจัดการเื่ราวอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ผู้ใดจับพิรุธได้เด็ดขาด
โม่เหอหัวเราะคิกคักนำจดหมายเข้ามาให้โม่เสวี่ยถงแต่เช้าตรู่ “คุณหนู จวนฝู่กั๋วกงส่งจดหมายมาเมื่อครู่นี้เ้าค่ะ”
จดหมายของท่านยาย... ริมฝีปากของโม่เสวี่ยถงหยักโค้งเป็รอยยิ้ม ดึงจดหมายมาเปิดออกพลางเอ่ยถาม “ได้ถามไปหรือไม่ว่าสุขภาพของท่านยายเป็อย่างไรบ้าง”
“บ่าวถามแล้วเ้าค่ะ คนผู้นั้นบอกว่าเหล่าไท่จวินสบายดีทุกอย่าง ั้แ่คุณหนูเข้ามาเมืองหลวง เหล่าไท่จวินก็กินข้าวได้เยอะขึ้นหลายชามทีเดียวเ้าค่ะ” โม่เหอตอบ
“อีกสองวันพวกเราก็จะไปจวนฝู่กั๋วกงกันแล้ว เดี๋ยวพวกเ้าช่วยเก็บเสื้อผ้าให้ข้าสักสองสามชุดนะ อะไรที่จุกจิกไม่ต้องเอาไป อย่าลืมเอาตำราแพทย์สองสามเล่มนั้นไปให้ข้าด้วยเล่า” โม่เสวี่ยถงกล่าวไปเรื่อยๆ แต่ความสนใจทั้งหมดกลับจดจ่ออยู่ที่จดหมายในมือ
“คุณหนูโปรดวางใจ โม่หลันเตรียมเก็บของให้เรียบร้อยนานแล้ว ทุกสิ่งล้วนเก็บลงในหีบหวายหมดแล้วเ้าค่ะ”
หลังจากอ่านจดหมายในมือแล้ว สีหน้าของโม่เสวี่ยถงพลันเปลี่ยนไป นางพับกระดาษจดหมายลงแล้วถามว่า “มีใครมาแจ้งพวกเราเื่งานเลี้ยงชมบุปผาแล้วหรือยัง”
“งานเลี้ยงชมบุปผา?” โม่เหอไตร่ตรองชั่วครู่ก็ส่ายหน้าอย่างงุนงง หัวคิ้วขมวดนึกไม่ออก แม้ว่านางจะออกไปสอบถามข่าวคราวอยู่เสมอ แต่ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงงานเลี้ยงชมบุปผาแม้แต่คนเดียว ไม่ทราบว่าเป็งานเลี้ยงของสกุลไหน คุณหนูจึงให้ความสำคัญถึงเพียงนี้
โม่เสวี่ยถงบีบจดหมายในมือ สีตาพลันเยือกเย็นขึ้น
งานเลี้ยงชมบุปผาในวังหลวง มีเพียงบุตรธิดาภรรยาเอกของขุนนางขั้นห้าขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าร่วมได้ ทุกปีบุตรธิดาภรรยาเอกของทุกจวนจะได้รับเทียบเชิญ เมื่อชาติภพก่อนหลังจากนางกลับถึงเมืองหลวงไม่นานก็ถูกทำให้เสียโฉม จึงพรางหน้าด้วยแพรโปร่งไปร่วมงานเลี้ยงชมบุปผา แต่คิดไม่ถึงว่างานเลี้ยงนั้นกลับเป็จุดเริ่มต้นแห่งความอัปยศในชีวิต
ภาพงานเลี้ยงนั้นเหมือนดั่งฝันร้ายฉายขึ้นทีละฉากอยู่เบื้องหน้าสายตา รายละเอียดทั้งหมดนางล้วนจดจำได้ชัดเจน ท่ามกลางความสันสนวุ่นวาย นางยกมือกุมศีรษะปิดบังใบหน้าของตนเองหลบไปอยู่ด้านข้างด้วยความหวาดกลัว ทุกคนต่างชี้หน้าพูดจาถากถาง แม้ว่าโม่หลันจะประคองนางอยู่ แต่กลับไม่อาจป้องกันคำพูดประหนึ่งคมมีดของคนเ่าั้ได้ ครานั้นนอกจากร่างกายที่ได้รับาเ็ ความภาคภูมิใจทั้งหมดของตนเองก็ถูกทำลายไปด้วย นับแต่นั้นมานางก็กลายเป็คนขวัญอ่อน ไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกเลย
น้ำถ้วยนั้นหกราดลงมาที่ผ้าแพรปิดหน้าของนาง โม่เสวี่ยิ่กระวีกระวาดเข้ามาช่วยเช็ดให้ แต่แล้วผ้าคลุมหน้าก็หลุดออก ทุกคนต่างพากันยิ้มเยาะ เอ่ยวาจาเสียดสี ราวกับนางเป็เนื้อเน่าที่โชยกลิ่นเหม็นตลบทำให้ผู้คนรู้สึกสะอิดสะเอียน...
ผู้ที่อยู่เื้ัเหตุการณ์ทั้งหมดย่อมเป็โม่เสวี่ยิ่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ยามนี้จุดที่โม่เสวี่ยถงอยากรู้มากที่สุดก็คือโม่เสวี่ยิ่เข้าวังไปได้อย่างไร จวนโม่มีบุตรสาวภรรยาเอกเพียงคนเดียว เป็ไปไม่ได้ที่วังหลวงจะส่งเทียบเชิญมาถึงสองฉบับ แล้วเหตุใดนางจึงเข้าไปได้ แม้ว่าตนเอง้าให้นางไปเป็เพื่อน องครักษ์ในวังจะปล่อยให้เข้าไปง่ายๆ กระนั้นหรือ ในหัวของนางเกิดคลื่นซัดเข้ามาระลอกหนึ่ง แต่ชั่วขณะนั้นก็ยังไม่อาจเข้าใจได้
ชาติภพก่อน เทียบเชิญฉบับนั้นโม่เสวี่ยิ่หยิบมาวางให้ถึงหน้า บอกกล่าวอย่างนุ่มนวลว่างานเลี้ยงชมบุปผาในครั้งนี้ ทางวังหลวงจัดขึ้นเพื่อเป็เกียรติแก่ขุนนาง จำเป็ต้องเข้าร่วม ตนเองเสียโฉมไหนเลยจะมีใจอยากไปงานเลี้ยง แต่นางกลับพูดกับตนเองอย่างอ่อนโยนว่านางจะเข้าวังไปช่วยระวังให้ แค่เข้าไปเดินในงาน ต้องไม่เกิดเื่แน่นอน
หลังจากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุที่ทำลายความเชื่อมั่นของตนเองจนหมดสิ้น...
อุบัติเหตุ? จะเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร... หากนี่เรียกว่าอุบัติเหตุ ชีวิตทั้งสองชาติสองภพนี้ก็ถือว่าเป็ความสูญเปล่าแล้ว
โม่เสวี่ยถงลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินไปที่ริมหน้าต่าง ผลักบานหน้าต่างให้เปิดออก แล้วมองออกไปด้านนอก ไม่รู้ว่าท้องฟ้าเปลี่ยนมาสดใสแบบนี้ั้แ่ตอนไหน ทั้งที่ฝนตกต่อเนื่องตลอดสองสามวัน แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังปลอดโปร่งได้ แต่ในหัวใจนางกลับยังรู้สึกกลัดกลุ้ม มองไม่เห็นความสดใสแม้แต่น้อย
โม่เสวี่ยถงหลุบตาลง ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนๆ ใบหน้าสงบนิ่ง เดินกลับมานั่งที่ตั่งอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “โม่เหอเ้าส่งคนไปถามโม่อี๋เหนียง พรุ่งนี้ข้าจะไปงานเลี้ยงชมบุปผา อาภรณ์สำหรับสวมใส่ตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
ชาติภพก่อนเพราะรูปโฉมของตนเองถูกทำลาย โม่เสวี่ยิ่จึงนำเทียบเชิญมามอบให้ด้วยตนเอง ชาติภพนี้นางไม่เห็นส่งข่าวใดๆ มา หรือคิดจะนำเทียบเชิญของตนเองไปใช้
“คุณหนู ท่านให้โม่อี๋เหนียงตัดชุดให้ั้แ่เมื่อไรเ้าคะ” โม่เหอถามด้วยความประหลาดใจ นางไม่เคยได้ยินคุณหนูเอ่ยถึงเื่นี้มาก่อนด้วยซ้ำ
“คุณหนู บ่าวไปเองเ้าค่ะ พอดีบ่าวจะไปเบิกเครื่องเย็บปักที่โม่อี๋เหนียงอยู่พอดี ตอนนี้เส้นไหมหลากสีในเรือนของเราไม่มีแล้ว เวลาคุณหนูจะใช้งานจะได้มีพรั่งพร้อม” โม่หลันเลิกม่านขึ้นเดินเข้ามา แล้วกล่าวรับเื่ต่อด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ นางขยิบตาให้โม่เหอตามนางออกไป สาวใช้โม่เหอก็ปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง
ภายในห้องจึงเหลือเพียงโม่เสวี่ยถงที่นั่งอยู่เงียบๆ มองไปที่จดหมาย ริมฝีปากคลี่ยิ้มเย็นะเื ต่อให้โม่เสวี่ยิ่กล้านำเทียบเชิญของบุตรสาวภรรยาเอกไปใช้ก็ต้องอาศัยที่พึ่ง พรุ่งนี้เป็วันงานเลี้ยงชมบุปผาแล้ว หากนางคิดจะไปร่วมงานก็ย่อมต้องตัดอาภรณ์ใหม่ด้วยแน่นอน
ชาติภพก่อน ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงใหญ่ โม่เสวี่ยิ่จะให้คนแอบตัดชุดที่งดงามอลังการที่สุดเป็การส่วนตัว และต้องเป็แบบที่ทันสมัยที่สุดด้วย หลายครั้งสาวใช้ของนางที่ชื่อโม่จิ่นก็จะไปขอยืมเครื่องประดับที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ตนเอง แน่นอนว่าในที่สุดนางก็ไม่เคยได้รับของเ่าั้คืนแม้แต่ชิ้นเดียว
ชาติภพนี้ นับว่าทั้งสองถูกกระชากหน้ากากออกมาแล้ว โม่เสวี่ยิ่ย่อมไม่อาจทำสิ่งใดให้คนจับผิดได้อีก แต่เื่ที่นางแอบยึดอาภรณ์ที่งดงามไว้เองกลับไม่ยอมลดละ อาภรณ์ชุดนั้นอยู่ในมือของช่างฝีมือชั้นยอดของจวนโม่ ่ก่อนที่ฟางอี๋เหนียงยังควบคุมจัดการหน้าที่ภายใน เื่นี้ก็มีเพียงคนสนิทของพวกนางเท่านั้นที่รู้
แต่ตอนนี้ย่อมต่างออกไป ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบงานเย็บปักคือโม่อี๋เหนียง เื่นี้ไม่อาจปิดบังได้ โม่เสวี่ยิ่ย่อมคิดไม่ถึงว่าฟางอี๋เหนียงจะถูกลดขั้นรวดเร็วเพียงนี้
บัดนี้ตนเองให้โม่อี๋เหนียงไปนำชุดที่ใช้ร่วมงานเลี้ยงออกมา โม่อี๋เหนียงย่อมไม่อาจนำชุดของตนเองออกมาได้ นางเพิ่งเข้ามาดูแลภายในได้ไม่นาน ไหนเลยจะกล้ารับผิดเื่แบบนี้ ดังนั้นย่อมต้องไปแจ้งกับบิดา ถึงเวลานั้นเื่ก็จะแดงออกมาแล้วกลายเป็เื่ใหญ่ โม่เสวี่ยิ่คิดจะฉวยโอกาสเข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาย่อมเป็ไปไม่ได้
ก่อนหน้านี้ฟางอี๋เหนียงเคยมีความสามารถอย่างไร แต่เมื่อบ่าวคนสนิทหลายคนถูกกำจัด ไม่ถูกโบยจนพิกลพิการก็ถูกขายทิ้ง ไหนเลยจะมีใครกล้าขัดคำสั่งของบิดาอีก และเวลานี้นางก็ยังถูกขังอยู่ในเรือนหลีหวา หลังจากเจอเหตุการณ์สองสามเื่นี้แล้ว จะไม่คิดหาความช่วยเหลือจากภายนอกได้อย่างไร
ยิ่งนางยื่นมือออกมายาวเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้ท่านพ่อเกลียดชังมากขึ้นเท่านั้น ตราบใดที่โม่เสวี่ยิ่ยังอยู่ เชื่อว่าฟางอี๋เหนียงจะต้องแกล้งแสดงทำสำออยเป็อ่อนแอในอีกไม่ช้านี้แน่
ชาติภพก่อน นางก็ลวงหลอกความไว้วางใจของท่านพ่อเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
แสร้งทำอ่อนแอหรือ นางก็ทำเป็!
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] หยาผอ หมายถึงหญิงที่มีอาชีพค้ามนุษย์