“อยากจะตามหาพระอาจารย์ฝึกธรรม?”
คำขอของหลินลั่วหรานนั้นช่างง่ายดาย แต่ใจของมู่เหล่ากลับอดที่จะสั่นไหวขึ้นมาไม่ได้การฝึกธรรมเดิมทีก็เป็เพียงส่วนน้อยอีกทั้งยังไม่เกี่ยวอะไรโลกแห่งการฝึกศาสตร์ในทุกวันนี้แล้วหลินลั่วหรานจะตามหาพวกเขาไปทำไม?
อีกอย่าง การฝึกศาสตร์ในทุกวันนี้ก็ยากขึ้นทุกทีในเมืองหลวงของโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย คนที่ศรัทธาในพระธรรมนั้นจะมีสักกี่คนกันเชียว?...ฝึกธรรมนั้นยากลำบากกว่าการฝึกศาสตร์เสียอีก
เขาคิดขึ้นมาดังนั้นแต่เพราะว่าหลินลั่วหรานไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือมาก่อน มู่เหล่าจึงบอกเื่ที่ยังมีผู้ฝึกธรรมที่พอจะหลงเหลืออยู่ไป
เมื่อได้รับการชี้นำจากมู่เหล่า หลินลั่วหรานก็ได้ผลสรุปขึ้นมาในใจก่อนจะเอ่ยขอบคุณมู่เหล่าที่แม้ว่าจะไม่ได้สนิทอะไรกันมากแต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอมาโดยตลอด อีกทั้งหลินลั่วหรานยังบอกเอาไว้ด้วยว่าวันที่เธอเข้าไปในเมืองหลวง เธอจะแวะเข้าไปเยี่ยม
เมื่อวางสายโทรศัพท์ไป มู่เหล่าก็ถอนหายใจออกมา
ชื่อเสียงของหลินลั่วหรานนั้นแพร่กระจายออกไปแล้วดูเหมือนว่าตอนนี้ตระกูลโจวก็คงจะเริ่มไม่พอใจขึ้นมาใช่ไหม? เขายังได้ยินพวกเด็กๆ พูดมาอีกว่า รูปภาพขี่อินทรีทองอะไรนั่นก็กำลังเผยแพร่ออกไปในอินเทอร์เน็ต ดูเหมือนว่ากำแพงที่ขวางกั้นระหว่างคนธรรมดาและผู้ฝึกศาสตร์ ก็เกิดรอยร้าวขึ้นเสียแล้ว
แม้ว่ามู่เหล่าจะมีอายุร้อยกว่าปี ผ่านจุดจบของระดับศักดินาความยากลำบากในตอนก่อตั้งประเทศ และความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นใน่หลายสิบปีที่ผ่านมาของโลกแต่ตอนนี้ตัวเขาก็ยังไม่แน่ใจนัก ว่าการทำลายกำแพงที่มีนี้เป็เื่ดีหรือร้ายกันแน่... มู่เหล่ามองลงไปยังโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก่อนจะฝืนยิ้มออกมาแม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าเทคโนโลยีของโลกในสมัยนี้เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ความตกต่ำของเวทมนตร์คงจะมาถึงจุดสุดท้ายแล้วล่ะ!
แล้วถ้าเป็แบบนั้นเส้นทางด้านหน้าของเหล่าผู้ฝึกศาสตร์ที่ยังคงอดทนกันอยู่นี่ จะเป็อย่างไรต่อไป?
จะเป็สาวน้อยตระกูลหลินหรือเปล่า?
เขาค่อยๆ จมลงไปในห้วงแห่งความคิด
คำถามที่มู่เหล่าคิดขึ้นมานั้น หลินลั่วหรานไม่อาจจะรับรู้ได้ตอนนี้สิ่งที่เธอ้าที่สุด ไม่ใช่การทำยา ไม่ใช่การแก้แค้น แม้แต่แผนเล็กๆของเธอก็ยังคงปล่อยวางแล้วกิ่งก้านของต้นท้อถูกน้ำหนักของลูกท้อทำให้โน้มเอียงลงมาเหล้าลิงหมักนั้นมีประโยชน์ต่อการฝึกศาสตร์ แต่กลับมีเพียงเท่าที่ลิงแก่ให้มาเท่านั้นยิ่งดื่มเท่าไร ก็น้อยลงไปทุกที หลินลั่วหรานจึงคิดอยากจะหมักมันขึ้นมาเอง
เธอนั้นเพิ่งกลับมาไม่กี่วัน แม้ว่าจะยืนหยัดนั่งสมาธิฝึกศาสตร์ในทุกๆ คืนแต่ว่าการดูดซึมพลังของเธอในทุกวันนี้ ไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างแต่ก่อนอีกต่อไปแล้วหยกก็ยังไม่ได้ทำการแลกเปลี่ยน ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ถ้าหากว่าต้องแย่งชิงพลังกัน ด้วยระดับของพ่อและเป่าเจียในตอนนี้ก็ไม่มีทางจะแย่งมันไปจากเธอได้เลยสักนิด
ดังนั้นตอนนี้หลินลั่วหรานจึงรู้สึกว่าตัวเองว่างมากเกินไปและคิดจะหมักเหล้าขึ้นมา
หมักเหล้าอย่างนั้นเหรอ วัตถุดิบก็มีอยู่มากมายหลินลั่วหรานตั้งใจจะหมักเหล้าผลไม้ในพื้นที่ลึกลับของเธอก็ไม่ได้มีเพียงแค่ลูกท้อแล้วเมื่อหลายวันก่อนเธอเห็นผลไม้วางอยู่ในบ้าน ก็เลยเอาแอปเปิ้ลเข้าไปปลูกด้วยแถมยังไปหาเถาองุ่นมาปลูกเอาไว้อีก เพียงไม่กี่วัน เธอก็มีแอปเปิ้ลลูกแดงและองุ่นที่หวานซ่อนเปรี้ยว รสชาติดีเสียยิ่งกว่าองุ่นพันธุ์ดีอีกด้วยแค่องุ่นป่าแบบนั้น สามารถปลูกออกมาเป็องุ่นชั้นดีได้แบบนี้มันก็น่าดีใจเกินพอแล้ว
ผู้เป็แม่นั้นดีใจมากที่ลูกสาวเพิ่มจำนวนชนิดผักผลไม้ในบ้าน ส่วนเื่ที่เธอไปเอาเถาองุ่นมาจากไหนนั้น? ใครจะต้องสนใจเื่นี้กัน!
เพราะว่า้าจะหมักเหล้า หลินลั่วหรานจึงพาหลินลั่วตงและก็สาวน้อยที่ตามติดไม่ห่างอีกคนขึ้นไปขุดดินเหนียวบนเขาความจริงเธอนั้นอยากจะเอาดินในพื้นที่ลึกลับออกมาทำเหยือกเหล้ามาก ดูเหมือนว่าจะมันจะสามารถช่วยไม่ได้พลังสูญหายไปแต่ว่าที่นี่นั้นอยู่ติดกับวัดเขาชิงเฉิง ตอนนี้แม้แต่จะเข้าไปในพื้นที่ลึกลับหลินลั่วหรานก็ยังเข้าไปน้อยครั้งมาก เพราะเธอเกรงว่าฮุยจู๋จะรู้เื่เข้าดังนั้นของที่จะทำให้สะดุดตา มีให้น้อยเอาไว้เสียบ้างก็คงจะดี
ย้ายกลับเข้าไปในเมืองดีไหมนะ?
รอให้ลั่วตงเปิดเทอมแล้วก็ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองน่าจะดีกว่าตอนนั้นก็คงจะมีหยกแล้ว พ่อกับเป่าเจียก็คงไม่จำเป็ต้องฝึกอยู่ที่นี่อีกต่อไป
ตอนนี้เสี่ยวจินนั้นรับมือได้ยากมากหลินลั่วหรานจึงไม่อยากจะให้มันโดยสารใครบินไปไหนโดยไม่จำเป็อีกแล้วอย่างไรตอนนี้เธอก็เป็ระดับพื้นฐานแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช้ดาบบินเธอก็สามารถควบคุมลมช่วยให้บินไปได้ดังนั้นเสี่ยวจินก็ให้อยู่ดูแลบ้านที่นี่น่าจะดีกว่า!
ทั้งสามเดินอยู่ในป่าเขา เสี่ยวถวนจึตัวน้อยะโไปมาโดยอยู่ในการดูแลของลั่วตงตลอด ไม่นานนักพวกเขาก็ได้เจอกับบ่อโคลนหากจะเอาดินเหนียวกลับไปก็คงจะสกปรกเกินไปดังนั้นเธอจึงตัดสินใจทำเหยือกเสียที่นี่ แล้วค่อยนำกลับไปทีเดียว
เสี่ยวถวนจึปั้นมนุษย์ดินเหนียวขึ้นมา ก่อนที่จะบอกว่านี่คือ “คุณอาลั่วตง” ของเธอ ใบหน้าของลั่วตงก็แดงขึ้นจนหลินลั่วหรานเกือบจะต้องะเิหัวเราะออกมา
ทุกวันนี้หลินลั่วหรานนั้นปั้นดินเสียจนชินมือแล้วเพื่อที่จะทำให้เด็กชายคนนี้หน้าแดงขึ้นไปอีกเธอจึงลงมือปั้นมนุษย์ดินเหนียวสองคนขึ้นมาและนั่นก็คือหลินลั่วตงและเสี่ยวถวนจึนั่นเอง เธอใช้ของในป่าย้อมสีสันขึ้นมาจนมันดูราวกับจะมีชีวิตจริงๆ
หลินลั่วตงมองตาไม่กะพริบ เสี่ยวถวนจึปรบมือเล็กๆ ของเธอจนเกิดเสียงดังแปะๆ ใบหน้าของเธอประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
ในตอนที่ขนเอาเหยือกเหล้า และถวนจึเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลนกลับมาถึงบ้านท้องฟ้าก็กลายเป็สีแดงของตะวันเสี้ยวสุดท้ายเสียแล้ว
ความจริงการหมักเหล้าผลไม้นั้นแสนจะง่ายดาย เพียงแค่ล้างผลไม้ให้สะอาดจากนั้นก็ใช้กระบองไม้ทุบเสียหน่อยให้น้ำผลไม้มันไหลออกมาเติมน้ำจากพื้นที่ลึกลับเข้าไป แล้วเพิ่มสมุนไพรวิเศษลงไปเล็กน้อยจากนั้นก็ปิดฝาให้สนิท
คนในบ้านหลินทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็พากันเข้ามาให้ความสนใจลูกท้อในพื้นที่ลึกลับนั้นได้ผลผลิตครั้งละหลายสิบกิโลกรัมต้นแอปเปิ้ลทั้งสองต้นก็มีแอปเปิ้ลกว่าห้าสิบกิโลกรัมส่วนองุ่นก็จะมีน้อยลงมาหน่อย หลินลั่วหรานทำเหยือกเหล้ากลับมาไม่น้อยจึงหมักเหล้าผลไม้ไปสิบกว่าเหยือก
เมื่อหลินลั่วหรานจัดการกับพลังในเหล้าเรียบร้อยแล้วเธอก็ใส่สมุนไพรที่ไม่ส่งผลกระทบต่อรสชาติลงไป ปิดเหยือกให้สนิทจากนั้นทุกคนก็ช่วยกันขนมันลงไปไว้ที่ห้องใต้ดินและคนที่มีความสุขที่สุดก็น่าจะเป็คนที่ได้รับาเ็หนักอย่างพ่อของหลินลั่วหรานก่อนหน้านี้เขานั้นเป็คนที่ไม่มีวันไหนห่างหายไปจากเหล้าเขาดื่มเหล้าจนราวกับมันเป็ของทานเล่น ดังนั้นเขาจึงตั้งตารอชิมเหล้าหมักของลูกสาวเป็อย่างมาก
เมื่อหมักเหล้าเสร็จเรียบร้อยแล้วงานของหลินลั่วหรานก็ยังไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น
ในพื้นที่ลึกลับสามารถช่วยลดเวลาในการเติบโตของพืชพรรณได้แต่ว่าต้นผลไม้ต้นหนึ่งนั้น สมมุติว่ามันมีระยะในการออกผลนานสิบปีเมื่อเก็บผลผลิตครบสิบครั้งแล้ว มันก็จะหมดอายุขัยลงหลินลั่วหรานจึงจำเป็ต้องปลูกมันขึ้นมาใหม่ สุดท้ายแล้วพวกผักผลไม้เหล่านี้ก็ยังคงเป็ของธรรมดาๆ เท่านั้น แม้ว่าจะได้รับการบำรุงปรับปรุงจากพื้นที่ลึกลับแต่ว่าก็ยังไม่อาจจะทำลายกฎธรรมชาติเหล่านี้ไปได้
เมื่อหลินลั่วหรานจัดการต้นท้อในพื้นที่ลึกลับเรียบร้อยและปลูกเมล็ดท้อรุ่นใหม่ลงไปแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าจะเอาบรรดาต้นไม้ที่ตัดเอาไว้ไปไว้ที่ไหนดี หากจะทิ้งไปก็ไม่รู้ว่ามันจะสามารถใช้ทำอะไรได้อีกไหมเธอจึงนำมันไปกองไว้ที่ใต้ต้นไม้หลังบ้านเสียก่อน
ในยามค่ำคืน คฤหาสน์ตระกูลหลินเต็มไปด้วยความเงียบสงบแต่หลินลั่วหรานกลับเตรียมสมุนไพรจำนวนหนึ่งออกมา แล้วตรงไปยังห้องใต้ดิน
หม้อปรุงยาที่ได้มาเมื่อสามปีก่อนถูกทิ้งเอาไว้อย่างโดดเดี่ยวที่ห้องใต้ดิน ภายนอกของมันเต็มไปด้วยเศษฝุ่นแต่ด้านในกลับยังสะอาดเหมือนใหม่ เธอปัดเศษฝุ่นเ่าั้ออกไปหลินลั่วหรานวางสมุนไพรที่ต้องใช้ลง ก่อนที่จะระลึกถึงสูตรยาขึ้นมาอีกครั้งจนเมื่อมั่นใจว่าเธอจำมันได้อย่างชัดเจนแล้ว ก็หายใจเข้าออกช้าๆ
ตอนที่เธอเพิ่งจะเริ่มฝึกศาสตร์ เธอก็เคย “ทำ” ยามาก่อนแล้ว แต่ว่าครั้งนั้นก็ใช้เพียงวิธีการทำแบบธรรมดาๆแต่กลับมีฤทธิ์ที่ดีได้มากขนาดนั้น เื่ของวัตถุดิบนั่นก็เป็ส่วนหนึ่งแต่ว่าน่าจะเป็สูตรยา “ผิวหยก” ที่อยู่ในตำรายาของตระกูลหลินต่างหาก ที่เป็ส่วนสำคัญ?
น่าเสียดายที่ส่วนท้ายของเล่มนั้นหายไป...เอาไว้มีเวลาก็น่าจะต้องไปนั่งศึกษาตำรายาที่เอาไว้รักษาโรคเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆ น้อยๆ นี่เอาไว้เสียแล้ว
เธอรวบรวมสมาธิกลับมา หลินลั่วหรานตรวจสอบสมุนไพรอีกครั้งห่อสิ่วโอวพันปีหนึ่งต้น สมุนไพรยู่หยิงสิบต้น โป่งรากสนหนึ่งต้นเม็ดขี้เหล็กสิบเม็ด ส่วนพวกสมุนไพรเสริมตัวอื่นขอแค่มีอายุเกินกว่าร้อยปีก็เพียงพอแล้ว
เพียงแค่การทำ “ยาบำรุงพลัง” ระดับหนึ่งแค่นี้ ยังต้องใช้สมุนไพรมากมายหลายชนิดถ้าหากว่าเธอไม่ได้มีพื้นที่ลึกลับในการช่วย จะเรียนรู้เื่ศาสตร์ยาก็คงจะเป็เื่ที่คนธรรมดาทั่วไปทำได้จริงๆ เพราะแบบนี้สำนักยาก็เลยหายไปเพราะแบบนี้หรือเปล่า?
เธอจับลงไปที่ส่วนหัวของรูปสลักสัตว์โบราณ ก่อนที่จะค่อยๆส่งพลังธาตุไฟเข้าไป จนเมื่อตัวหม้อปรุงยาได้รับความร้อนพอดีแล้วเธอก็รีบใส่สมุนไพรลงไปยังช่องต่างๆ ด้านใน
เหล่านักฝึกศาสตร์ระดับต่ำในกระทู้นั้น เต็มไปด้วยการตั้งตารอคอยโดยที่พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่า หากพูดกันตามหลักแล้ว นี่เป็การทำยาครั้งแรก ของ “อาจารย์พี่หลิน” ของพวกเขา...