ฝูงชนหันไปยังต้นเสียง พบกับหนุ่มหล่อโฉมงามเดินแหวกกลุ่มคนออกมา
ชายหนุ่มสีหน้านิ่งเฉย โหนกแก้มราวกับถูกเหลาออกมา ไม่แสดงท่าทีอะไร ทว่าให้สร้างแรงกดดันให้ผู้คนไม่น้อย ชุดขาวระยิบระยับ สายคาดเอวสีเขียวมรกตมีหยกห้อยราวกับคุณชายผู้สง่างาม มองแวบแรก คนมากมายคงนึกถึงพวกมีชาติตระกูลสูงส่ง หาใช่นักฝึกตน
โหยวเสี่ยวโม่ตามหลังหลิงเซียว ทว่าไม่กล้ามองไปข้างหน้า
มองปราดเดียวก็รู้ว่าชายหนวดเคราเป็นักฝึกตน รูปร่างใหญ่โตเกินคนทั่วไป ไม่เช่นนั้นเฉินเกาหยางก็คงไม่พลาดท่าเช่นนั้น
ไม่ทันได้รอให้ผู้คนได้ทายว่าหลิงเซียวคือใคร ทังอวิ๋นฉีกับเฉินเกาหยางก็ะโดีอกดีใจ ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ ตอนนี้ไม่ต้องแนะนำ ฝูงชนก็รู้ได้ว่าพรรคพวกของหญิงงามมาแล้ว จากที่คิดว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่สองคนเอ่ยถึงจะเป็ชายบึกบึนร่างใหญ่ กลับไม่คิดว่าจะเป็คุณชายผู้สง่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านต้องล้างแค้นให้ข้านะ คนพวกนี้ฉีกเสื้อข้า ช่างหยามกันมาก”
ทังอวิ๋นฉีเมื่อเห็นคนที่มานั้นคือศิษย์พี่ใหญ่ของตัว ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ พร้อมวิ่งไปฟ้องเขาอย่างเคียดแค้นและอับอาย ใบหน้าสวยร้องห่มร้องไห้อย่างน่าเวทนา
หลิงเซียวเหลือบมองนาง พร้อมขมวดคิ้ว
โหยวเสี่ยวโม่เห็นเหตุการณ์ ก็รีบตรงมาแล้วหยิบชุดในถุงใส่ของและยื่นให้ แม้จะไม่ได้ประณีตอะไร ทว่าก็ดีกว่าโป๊เปลือยแบบนี้ ที่สำคัญเป็หญิงสาวชื่อเสียงนั้นสำคัญ ใครจะรู้ ความหวังดีของเขากลับถูกทังอวิ๋นฉีปรายตามอง จากนั้นจึงหยิบชุดสีขาวครีมในถุงใส่ของตัวเองออกมาสวม
โหยวเสี่ยวโม่มองด้วยความสงสัย ได้แต่เก็บเสื้อผ้าตัวเองเงียบๆ
ถ้ารู้ว่านางมีเสื้อผ้าเองอยู่แล้ว เขาก็ไม่ต้องคิดเองเออเองเช่นนี้
แต่ผู้หญิงคนนี้ก็น่าแปลก ในเมื่อถุงเก็บของมีเสื้อผ้าอยู่ แล้วทำไมไม่รีบเอาออกมาก่อนหน้านี้ ช่างยากที่จะเข้าใจจริง
“เ้าก็คือศิษย์พี่ใหญ่นั่นเองรึ ดูไปก็ไม่เท่าไหร่นี่ ไอ้หนุ่ม ข้าขอเตือนเ้า ไปเสียตอนนี้ ไม่งั้นคนต่อไปที่จะคลานอยู่ก็คือเ้า”
ชายหนวดเคราสำรวจหลิงเซียว เมื่อครู่ฟังสองคนนั้นพูดถึงอย่างมั่นใจขนาดนั้น เขานึกว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่พูดถึงจะเป็คู่มือที่วรยุทธ์สูงส่ง
ปรากฏว่าเป็แค่เ้าหน้าอ่อนจึงคิดเหยียดหยาม
“ไม่รีบๆ รอข้าจบคำถามนึง แล้วข้าจะไป”
หลิงเซียวยิ้มมุมปาก จ้องมองชายหนวดเคราด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนุก
“ศิษย์พี่ใหญ่?” ทังอวิ๋นฉีเบิกตาโตมองหลิงเซียวอย่างยากที่จะเชื่อ นางคิดว่าตัวเองฟังผิด ศิษย์พี่ใหญ่ยอมถอยได้อย่างไร
“ฮึ รู้ตัวก็ดี!” ชายหนวดเคราได้ใจ เขานึกว่าหลิงเซียวเกรงกลัวเขา ฉะนั้นจึงเตรียมตัวจากไป
“ท่านผู้นี้นามว่าอะไรรึ?” หลิงเซียวถาม ท่าทีดูผ่อนคลาย
“ข้าชื่อลั่วซาน อัจฉริยะยอดคนที่ร้อยปีจะมีจากสำนักชิงเฉิง ลั่วซูเหอก็คือลูกพี่ลูกน้องข้าเอง ถ้าเ้ารู้แล้วก็ทิ้งหญิงสาวข้างหลังเ้าไว้ ข้าจะปล่อยไปเ้า” ลั่วซานพูดอย่างได้ใจ
ผู้คนต่างได้รู้สาเหตุที่เขากล้าปั่นป่วนกลางเมืองเช่นนี้ เพราะว่ามีสำนักชิงเฉิงหนุนหลัง ถึงว่าสิกล้ากำเริบเสิบสาน ก่อเหตุลักพาผู้หญิงกลางเมือง
ทว่าไม่กี่ปีมานี้ ช่องว่างความแตกต่างของสองสำนักนั้นลดน้อยลง แต่เื่รายละเอียดและประวัติศาสตร์อ่อนด้อยกว่าสำนักเทียนซิน ฉะนั้นสำนักเทียนซินจึงเป็หนึ่งในแดนใต้ ส่วนสำนักชิงเฉิงก็พูดได้ว่าเป็รอง
ไม่กี่ปีที่ผ่านมาสำนักชิงเฉิงเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาด้วยเื่มงคลที่เผยแพร่ออกมาเรื่อยๆ โดยรู้ทั่วกัน หนึ่งในนั้นคือลั่วซูเหอลูกพี่ลูกน้องที่ลั่วซานพูดถึง เขาเป็คนมีพร์แขนงการต่อสู้เหมือนกับหลิงเซียว ฝึกฝนวิชาสำเร็จั้แ่วัยหนุ่ม เป็เหล่าผู้นำของคนรุ่นใหม่
เื่ที่สองคือสำนักชิงเฉิงมีนักหลอมโอสถขั้นสูงได้หลอมยาเซียนตันขั้นเก้าสำเร็จ
ยาเซียนตันขั้นเก้ากับขั้นสิบนั้นมีช่องว่างที่กั้นนักหลอมโอสถยากที่จะก้าวข้าม
อย่างสำนักชิงเฉิงและสำนักเทียนซินเอง แม้ว่าจะมีนักหลอมโอสถระดับสูงอยู่มาก แต่ผู้ที่หลอมยาเซียนตันขั้นเก้าได้นั้นมีน้อยมาก อย่างเช่นอาจารย์ขงเหวินที่มีชื่อเสียงมานาน กระนั้นร่วมงานได้แค่กับนักหลอมโอสถระดับสูงของทัพ์และทัพวิหค
ส่วนสำนักเทียนซินในแต่ก่อนไม่สามารถเทียบขั้นสำนักเทียนซินได้เพราะว่าพวกเขาไม่มีนักหลอมโอสถที่หลอมยาขั้นเก้าได้สำเร็จ
ตอนนี้ความสามารถของสำนักชิงเฉิงก้าวะโขึ้นมา นั่นส่อแววว่าพวกเขานั้นมีสิทธิ์เทียบเคียงกับสำนักเทียนซินได้แล้ว
ด้วยเหตุผลนี้ลั่วซานถึงกล้ามาก่อเื่ถึงเขตแดนใกล้กับสำนักเทียนซินเช่นนี้
มีแต่คนอื่นเท่านั้นที่กลัวสำนักชิงเฉิง ทังอวิ๋นฉีที่ชื่อว่าลูกสาวเ้าสำนักหาได้กลัวไม่
“สำนักชิงเฉิงแล้วยังไง ทังอวิ๋นฉีคนนี้เป็ถึงลูกสาวท่านเ้าสำนักเทียนซิน ข้าจะบอกให้นะ เื่นี้ไม่มีทางจบง่ายๆ แน่นอน!”
กลุ่มคนก็เสียงดังฮือฮาขึ้นมา นี่มันช่างเหมือนฉากในละครเลย ก่อนนี้ผู้คนกำลังถกเถียงกันเื่สำนักเทียนซินและสำนักชิงเฉิง เพราะเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ คิดไม่ถึงว่า ศิษย์จากสองสำนักกลับมีเื่กันในเมืองเหอผิงแบบนี้ ทั้งฝ่ายหนึ่งเป็ถึงลูกสาวเ้าสำนัก อีกฝ่ายก็เป็ถึงลูกพี่ลูกน้องของลั่วซูเหอ สถานะนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก
ไม่มีใครสังเกตเห็น ดวงตาของลั่วซานนั้นส่องแสงสีดำมืดแวบหนึ่ง
“ลั่วซาน การกระทำและคำพูดของเ้านั้นสื่อแทนสำนักชิงเฉิงใช่มั้ย?”
ท่ามกลางเสียงจ้อแจ้ หลิงเซียวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็นท่ามกลางฤดูร้อน
ผู้คนโดยรอบเงียบกริบทันใด แม้แต่ลั่วซานก็หันมามองเขาเช่นกัน เมื่อฟังชัดถึงสิ่งที่เขาถาม ก็พูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวดพร้อมเชิดคาง “จุดยืนของข้าก็เท่ากับจุดยืนของสำนักชิงเฉิง”
“เช่นนี้เอง ยอดเยี่ยมๆ” หลิงเซียวย้ำคำว่ายอดเยี่ยมสองรอบ
ไม่ทันรอให้ผู้คนได้ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ยอดเยี่ยม’ ก็เห็นหลิงเซียวใช้ชายแขนเสื้อสะบัดลั่วซานกระเด็นออกจนเปล่งเสียงร้องอย่างอนาถ
แรงกระแทกนั้นไม่เบาเลย ร่างกายกำยำของลั่วซานถูกซัดปลิวเหมือนผ้าขี้ริ้วลอยไปไกลห้าเมตรได้ ขณะที่เขาพยายามลุกขึ้น ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็สีดำทมิฬ ตาขาวกับตาดำหลอมรวมกัน ผู้คนที่มองเห็นต่างรู้สึกขนลุกขนพอง
“โอ้ ์ นี่มันมนุษย์ปีศาจไม่ใช่รึ ทำไมลั่วซานถึงกลายเป็มนุษย์ปีศาจไปได้?”
ผู้คนที่ล้อมมุงต่างพากันหน้าซีด กรีดร้องอย่างตื่นตระหนก พร้อมกับเสียงหายใจดังฮืดฮาด ผวาจนพากันขยับถอยออก บางคนใมากไปจนล้มลุกคลุกคลานถูกคนเหยียบไปมา หนึ่งในนั้นมีโหยวเสี่ยวโม่รวมอยู้ด้วย
ก่อนนั้นนั้นโหยวเสี่ยวโม่ยืนอยู่หลังหลิงเซียว ทว่าถูกทังอวิ๋นฉีเบียดออกมา
บุรุษที่ดีย่อมไม่มีเื่กับสตรี โหยวเสี่ยวโม่จึงขยับออกมาห่างจากหลิงเซียว
คิดไม่ถึงว่า ฝูงชนกลับแตกตื่นขึ้นมา บางคนที่กำลังใเกินเหตุจึงเบียดมาทางเขาเรื่อย ๆ จนท้ายสุดไม่รู้ว่าถูกใครผลักจนล้ม ยังไม่ทันจะลุกขึ้น ก็ถูกคนที่ล้มเซมาเหยียบขาข้างขวาเข้าให้
โหยวเสี่ยวโม่ก็ได้ยินเสียงกระดูกหักร้าวดัง ‘กร๊อบ’ น้ำตาแทบเล็ดออกมา
ตอนนี้เอง ใครบางคนจับแขนพยุงเขาลุกขึ้น
จากนั้นหัวของโหยวเสี่ยวโม่กระแทกเข้ากับอกกว้างอบอุ่นของใครคนนั้น เสียงอ่อนนุ่มดังขึ้นมา
“เ้าบื้อ ยืนอยู่ดีๆ ก็ล้มได้ เ้านี่อยู่รอดมาได้ยังไงจนถึงป่านนี้นะ!”