โหยวเสี่ยวโม่เงยขึ้นมองก็เห็นหลิงเซียวจ้องหน้าเขาคิ้วขมวด
กำลังจะเอ่ยปาก ทังอวิ๋นฉีที่อยู่ตรงข้ามก็กรีดร้อง วิ่งปรี่มาทางพวกเขา
โหยวเสี่ยวโม่มองผ่านไหล่หลิงเซียว เห็นลั่วซานกำลังโซซัดโซเซลุกขึ้นมา ตอนนี้รูปลักษณ์เขาช่างแตกต่างอย่างมากจากตอนแรก ผิวพรรณที่ตอนแรกเป็สีเข้มออกเหลือง ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยสีเทาดำ เล็บทั้งสิบยาวออกมาสองนิ้วและยังดำคล้ำ รูปร่างจากตอนแรกก็สูงใหญ่ขึ้นมาครึ่งเมตรได้ กล้ามเนื้อปริแตกออกมาใต้ร่มผ้า ไม่เหลือเค้าโครงเดิมของลั่วซาน ชัดเจนว่าเป็มนุษย์ปีศาจ!
โหยวเสี่ยวโม่ไม่เคยได้ยินเื่มนุษย์ปีศาจมาก่อน จึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนจึงบอกว่าลั่วซานคืุ์ปีศาจ อีกทั้งท่าทีที่ผวาราวกับเจอผี
“เขาคนนี้เป็อะไรน่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่ซุกอยู่ในอ้อมอกหลิงเซียวเอ่ยถาม
ทำอย่างไรได้ เขาก็ไม่อยากเป็คนใช้ไม่ได้แบบนี้ แต่ขาขวาเขาาเ็ ผู้คนรอบข้างต่างอยู่ในอาการตื่นตระหนก ถ้าเขาพุ่งออกไปตอนนี้มีหวังขาซ้ายได้หักอีกข้างแน่ เขาไม่อยากให้ตอนมาคือเดินมา แต่ตอนกลับดันถูกหามกลับเสียนี่
“มนุษย์ปีศาจ” หลิงเซียวหันกลับไปมองลั่วซานที่กำลังมุ่งมาทางพวกเขา
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาเป็คนของสำนักชิงเฉิง แต่ทำไมกลายเป็มนุษย์ปีศาจได้ล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่กลืนน้ำลายและถาม
“หึๆ งั้นคงต้องถามเขาเองแล้วล่ะ” หลิงเซียวยิ้ม ทว่าสายตากลับแฝงด้วยความดูแคลน สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำมันก็คือสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ช่างกล้ามาปลุกปั่นเื่ราวต่อหน้าเขา จากนั้นมีดบินสีทองแดงก็ปรากฏขึ้นบนมือเขา
“เ้าเป็ใครกันแน่? ถึงรู้โฉมรูปที่แท้จริงของข้า”
มนุษย์ปีศาจลั่วซานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าห่างไปสามเมตร แม้ดวงตาทั้งคู่จะเป็สีดำล้วน แต่ดูออกว่าเขารู้สึกหวาดกลัวหลิงเซียว
“กลิ่นตัวเ้าแรงขนาดนี้ ยังต้องดูอีกงั้นรึ?” หลิงเซียวพูดเนิบๆ เสียงนุ่มราวกับหยก ไพเราะยิ่งนัก ทว่าบางคนกลับฟังแล้วโมโหเกรียวกราวแทบพุ่งตัวไปหาอย่างหัวร้อน “ทว่า หลานชายของท่านเ้าสำนักชิงเฉิงเป็มนุษย์ปีศาจ ไม่ใช่ว่าทั้งตระกูลเ้าล้วนเป็มนุษย์ปีศาจหรอกนะ?”
มนุษย์ปีศาจลั่วซานยิ้มภายใต้เงา ลูกตาดำกลับกลายเป็ลูกตาสีแดงฉาน ซึ่งคือสัญลักษณ์ภายนอกที่ชัดเจนที่สุดของเผ่าปีศาจ
เขาไม่ได้ตอบคำถามหลิงเซียว เพียงแต่ะโขึ้นไปยังบนหลังคา พอยืนมั่นคงแล้วมองปรายตาจากที่สูงลงมา ฉีกมุมปากกว้างหัวเราะ “ดินแดนหลงเสียงช้าเร็วก็ต้องอยู่ใต้อาณัติของเผ่าปีศาจ ส่วนพวกเ้าต้องเป็ทาสรับใช้เผ่าปีศาจ!”
พูดจบ มนุษย์ปีศาจลั่วซานก็หลบหนีไป เมื่อสู้ไม่ไหวก็ต้องหลบหนี
ความเร็วเขานับว่าเร็วมาก พริบตาเดียวก็ไปไกลพันเมตรได้ รอบตัวคงเหลือแต่ควันดำคลุ้ง
หลิงเซียวเงื้อมือที่ถือมีดบินไว้ พร้อมร่ายบางอย่างบนมีด จากนั้นเขวี้ยงไปยังทางมนุษย์ปีศาจลั่วซาน แต่มันหลบหนีไป
โหยวเสี่ยวโม่ทันเห็นท่าทางเมื่อครู่ ยังไม่ทันถามว่านั่นมีดอะไรก็หายวับไป กวาดตาก็หาไม่เจอ
แม้ว่ามนุษย์ปีศาจลั่วซานหนีไปแล้ว แต่ข่าวคราวเื่มนุษย์ปีศาจมาโผล่ใจกลางเมืองเหอผิงนั้นกระจายไปทั่ว ถ้าลั่วซานเป็เพียงนักฝึกตนทั่วไป สำนักใหญ่ทั้งหลายคงแค่พาศิษย์ออกไปล้อมปราบลั่วซาน แต่เขากลับเป็ศิษย์จากสำนักชิงเฉิง ทั้งยังเป็หลานชายเ้าสำนัก นี่สื่อความหมายต่างกันนัก
พูดถึงมนุษย์ปีศาจ ไม่มีนักฝึกตนคนไหนสีหน้าไม่เปลี่ยน
เผ่าปีศาจไม่จัดว่าเป็สำนัก แต่เป็สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่งมากกว่า คล้ายกับนักฝึกตน ล้วนแต่งตั้งตนขึ้นมาด้วยอำนาจในเขตดินแดนหลงเสียง
พื้นที่เผ่าปีศาจอยู่ทางเขตเหนือ ทิศเหนือนั้นมีเทือกเขาทอดยาวต่อกัน เป็แหล่งซ่อนตัวชั้นดีของเผ่าปีศาจ ฉะนั้นนักฝึกตนจะไม่ย่างกรายไปยังแนวเขาทิศเหนือสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะสามารถถูกมนุษย์ปีศาจพบเจอได้ ถ้าโชคดีก็อาจหนีรอดกลับมาอย่างสาหัส แต่ถ้าโชคร้าย พลังธาตุบนตัวทั้งหมดคงถูกดูดกลืนสิ้นจนเหลือแต่ซากศพ ฉะนั้นเผ่าปีศาจและนักฝึกตนนั้นเป็ศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันได้ เช่นเดียวกันกับแมวและหนู
มนุษย์ปีศาจลั่วซานจากไปแล้ว สภาพจิตใจของผู้คนไม่พร้อมจะเดินต่อ
ข่าวปรากฏตัวของมนุษย์ปีศาจที่เมืองเหอผิง ย่อมไม่อาจปิดข่าวไว้ได้ อีกทั้งใครจะรู้ว่ามนุษย์ปีศาจจะย้อมกลับมาเมื่อไร ด้วยความรักตัวกลัวตายของผู้คนจำนวนมากจึงไม่อยากอยู่ต่อ ร้านค้ามากมายเงียบเหงาลงทันตาเห็น
ทังอวิ๋นฉีเสนอว่าให้รีบกลับไปสำนักเทียนซิน แต่หลิงเซียวใช้เื่ที่โหยวเสี่ยวโม่าเ็เพื่อตัดสินใจทำตามแผนเดิม เลยให้นางล่วงหน้ากลับไปแจ้งข่าวกับเ้าสำนักก่อน
ท่าทีเขานั้นยืนกรานหนักแน่น อีกอย่างขาสองข้างของเฉินเกาหยางก็าเ็ เดินทางไม่สะดวก ทังอวิ๋นฉีจนปัญญา จึงได้แต่กลับไปก่อน
โหยวเสี่ยวโม่นั่งลงบนเก้าอี้ เอาขาข้างที่าเ็พาดไว้กับเก้าอี้อีกตัว าแนั้นถูกรักษาเรียบร้อย พร้อมห่อไว้ด้วยผ้าสีขาวพันรอบขา มีอาการบวมเปล่งบ้าง
ในเวลาอันสั้นนี้คงยังขยับไม่ได้ ต้องพักสักระยะถึงจะหายเป็ปกติ ทว่านี่คือในสถานการณ์ปกติ เพราะไม่มีธุระอะไรต้องทำ โหยวเสี่ยวโม่จึงจิบชาร้อนๆ ที่เสี่ยวเอ้อร์พึ่งยกมาพลางรอหลิงเซียว
เมื่อได้ยินเสียงประตู ก็รู้ว่าต้องเป็หลิงเซียว โหยวเสี่ยวโม่จึงรีบเทน้ำชาอีกแก้วหนึ่งอย่างขยันขันแข็ง
“ศิษย์พี่หลิง อาการศิษย์พี่เฉินเป็อย่างไรบ้าง?” โหยวเสี่ยวโม่พลันยื่นน้ำชาไปยังเขา พร้อมเอ่ยถาม
หลิงเซียงยกชาขึ้น ยักคิ้วมองเขา “จะห่วงใยเขาทำไมกัน?”
โหยวเสี่ยวโม่ถูกเขม่นใส่หนึ่งครั้ง เขาเพียงแต่อยากหาหัวข้อคุย ไม่ได้ห่วงใยเขาจริงเสียหน่อย คนที่ชอบชักสีหน้าใส่ แถมยังรวมหัวกับทังอวิ๋นฉีตั้งแง่กับเขา เขาไม่ใช่แม่พระมาโปรดซะหน่อย จะมาเป็ห่วงเป็ใยเขา
“ข้าก็แค่ถามไปงั้นๆ แล้วมนุษย์ปีศาจลั่วซานนั่นล่ะ?” เมื่อเห็นเขาไม่พอใจ จึงเปลี่ยนหัวข้อ เพราะเขาเองก็สงสัยว่ามีดบินนั้นไปถึงไหนแล้ว
“เขา?” หลิงเซียวขำน้ำเสียงเสียดสี “ตายไปแล้วล่ะ”
“เป็ไปได้ยังไง?” โหยวเสี่ยวโม่อดไม่ได้จึงถามเสียงสูง ข่าวนี่ก็ช่างกะทันหันเหลือเกิน นี่พึ่งหนีไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
“เ้าคิดว่ามีดบินที่ข้าส่งออกไปกินเจรึยังไง?” คิ้วสวยของเขากระตุก ไม่พอใจกับคำถามนั้น
โหยวเสี่ยวโม่ที่กำลังจิบชาเกือบพุ่งออกมา พลันรีบเช็ดปากพร้อมเอ่ย “มีดบินของเ้าไม่ได้กินเจอยู่แล้ว ข้าเพียงแต่สงสัยน่ะ” วันแรกที่เจอเขา โหยวเสี่ยวโม่ก็รู้ว่าเขาไม่ได้กินเจ คนที่ฆ่าหลินเซียวอย่างง่ายดายแล้วปลอมตัวเป็เขา จะกินเจได้ยังไง ลำพังปลาใหญ่เนื้อแน่นคงยังไม่พอให้เขารู้สึกอิ่มหนำ
“โหยวเสี่ยวโม่ เ้ามีเวลาห่วงใยคนอื่น ข้าว่า หันมาห่วงตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?”
หลิงเซียวหรี่ตามอง ดวงตาประกายที่ส่อแววอวดดี ปนความสงสัย ขณะเดียวกันน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยอารมณ์ขำขัน ราวกับกำลังล้อเล่น
โหยวเสี่ยวโม่ไม่เข้าใจที่เขาพูด ก้มลงมองขาตัวเอง “เอ่อ ข้าไม่ค่อยเข้าใจ” ตัวเองมีอะไรน่าห่วงตรงไหน?
หลิงเซียงเห็นเขาแกล้งโง่ ก็ไม่ได้โกรธ จิบชาพร้อมเอ่ยอย่างสบายๆ “ถุงเก็บของเ้าไม่ได้ซ่อนของดีไว้หลายขวดหรือ เทพวกมันลงบนาแ เดี๋ยวเดียวก็หายดีไม่ใช่หรือ?”
คราวนี้โหยวเสี่ยวโม่กลั้นไม่ไม่ไหวแล้ว น้ำชาพุ่งกระจายเต็มโต๊ะ ยังไม่ทันเช็ดปาก คำพูดที่ว่า ‘ท่านรู้ได้ยังไง’ ก็เกือบหลุดปากออกมา โชคดีที่เขายั้งความคิดไว้ทัน คิดในแง่ดีว่าหลิงเซียวอาจหมายถึงขวดยาพวกนั้น นอกจากขวดน้ำพวกนั้น ที่เหลือก็เป็ขวดยาหลากสีทั้งนั้น
โหยวเสี่ยวโม่ไม่กล้ามองหน้าหลิงเซียว คิดหนักว่าจะใช้ข้ออ้างอะไร
ทำอย่างไรดีๆ แม้ว่าในถุงเก็บของจะมีขวดยาอยู่หลายขวดก็จริง ทว่าขวดพวกเหล่าล้วนเป็ขวดเปล่า ขวดที่บรรจุยาไว้ ตอนเช้าก็ขายหมดแล้วด้วย เหลือเพียงยาทดแทนความหิวขวดนั้น เื่นี้หลิงเซียวเองก็รู้ ปิดบังเขาไม่ได้แน่
หลิงเซียวไม่ได้เร่งเขา เห็นเขาหลบมองหน้าตัวเอง จึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “ว่าอย่างไรล่ะ หาข้อแก้ตัวมาปั่นหัวข้าได้รึยัง?”
สมองโหยวเสี่ยวโม่หยุดทำงาน คำพูดนี้ชัดเจนว่าเขารู้แล้ว
“เ้ารู้ได้ยังไง?” โหยวเสี่ยวโม่ถามอึกอัก ถ้าจะตายก็ขอตายอย่างกระจ่างแจ้ง ในเมื่อเขาระวังตัวเองถึงที่สุด ไม่เคยเอาออกมาต่อหน้าคนอื่นเลยแท้ๆ
หลิงเซียวถือแก้วชาในมือเล่น เงยหน้าช้าๆ มองเขาแกมยิ้ม “เ้าคิดว่าข้าเป็พวกสมองกลวงรึไง ศิษย์ฝึกหัดที่พึ่งเข้าสำนักได้ไม่ถึงเดือน คุณสมบัติด้อยปานนั้น วันนึงสามารถหลอมยากว่าร้อยเม็ดได้โดยไม่หยุดพัก ถ้าบอกไม่มีอะไรเคลือบแคลง คนเขลาถึงจะเชื่อ”
โหยวเสี่ยวโม่คางแทบตก ที่แท้ก็สาเหตุนี้เอง
ทว่าเมื่อเขาพูดเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่ก็พึ่งรู้ตัว ว่าตัวเองเผยไต๋อย่างไม่ตั้งใจต่อหน้าหลิงเซียวมากมายขนาดนี้
“อีกอย่าง แก้มเ้าก็แดงสดใสเหลือเกิน” หลิงเซียวประชิดตัวเขา ยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นจับแก้มเขาหนึ่งครั้ง ทั้งนิ่มทั้งลื่นจริงด้วย
ทันใดโหยวเสี่ยวโม่ก็แก้มแดงเปล่ง