การขายยาเซียนตันผ่านไปด้วยดี อีกทั้งราคาของยาห้าขวดก็สูงกว่าครั้งที่แล้ว
เพราะว่าคุณภาพนั้นดีกว่ายาเซียนตันขั้นหนึ่งเยอะทีเดียว ลูกค้าบางรายเพียงแค่ชิมเม็ดยาก็ยอมจ่ายในราคาสูงให้ทันที
ถึงแม้ในดินแดนหลงเสียงจะไม่ได้ขาดแคลนโอสถขั้นหนึ่ง ถึงขั้นปริมาณท่วมท้นเลยก็ว่าได้ แต่นักฝึกตนที่้ายานั้นก็ขาดมันไม่ได้ ถ้าหากมีตัวเลือกที่ดีกว่า พวกเขาก็ยินยอมที่จะจ่ายมากกว่า
ที่เ้าของร้านเปลี่ยนหน้าร้านใหม่ได้ มาจากยาของโหยวเสี่ยวโม่เป็ที่ยอมรับแล้ว
พวกเขาไม่รู้ว่าโหยวเสี่ยวโม่จะมาอีกเมื่อไร ฉะนั้นจึงไม่กล้ารับจองจากลูกค้า เพียงแต่รับปากว่าถ้ามีของมาจะแจ้งพวกเขาทันที
ถึงแม้จะเป็ยาเซียนตันขั้นหนึ่งร้อยเม็ด แต่สำหรับเ้าของร้านนั้นมันมากพอแล้ว
เพราะราคาที่ขายออกไปได้กำไรเป็เท่าตัว ฉะนั้นเ้าของร้านถึงได้ให้ราคาที่สูงขึ้นกับโหยวเสี่ยวโม่
เ้าของร้านตั้งใจวางแผนเช่นนี้ เพียงเท่านี้เด็กหนุ่มนี่คงจะเอายามาขายให้เขาอีกแน่นอน เพราะอย่างไรเสียก็ได้กำไร แถมยังสร้างชื่อเสียงได้ ใครล่ะจะไม่อยากทำ เื่ยุ่งยากอย่างเดียวคือ ร้านอื่นที่อยู่ถัดไปเริ่มสืบหาที่มาของยาบ้างแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่กำเงินสองพันตำลึงทองที่ได้จากเ้าของร้านอย่างพอใจและออกจากร้านโอสถ
ครั้งนี้ราคายาเซียนตันสูงกว่ารอบที่แล้วครึ่งต่อครึ่ง หนึ่งเม็ดสิบห้าตำลึงทอง หนึ่งร้อยเม็ดก็เท่ากับหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงทอง
บวกกับเงินที่เหลือคราวก่อน เงินทองที่เขามีอยู่ตอนนี้นั้นเยอะกว่าศิษย์สำนักเทียนซินหลายคน ขนาดบางคนที่ทางบ้านฐานะร่ำรวยก็ยังไม่มีมากเท่านี้
หลิงเซียงไม่ได้ห้ามปรามที่เขาขายยา พอเห็นพวกเขาจบการค้าขาย ก็เดินออกจากร้านพร้อมโหยวเสี่ยวโม่
“จะไปที่ไหนต่อล่ะ?” หลิงเซียวถามอย่างใจร้อน ท่าทางลึกลับ ดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
“เอ่อ ศิษย์พี่หลิง เห็นว่าท่านก็มีธุระนี่ เดินตามข้าแบบนี้ จะทำให้ท่านทำธุระล่าช้าหรือเปล่า?”
หลิงเซียวฉีกยิ้มมุมปากพร้อมเอ่ย “ไม่หรอก ตอนนี้ก็ยังเช้าอยู่”
โหยวเสี่ยวโม่แสดงสีหน้าผิดหวัง ถัดไปเขาจะไปซื้อเมล็ด แต่ไม่อยากให้หลิงเซียวไปด้วยกัน
เพราะว่าเมล็ดพันธุ์ปกติแล้วจะมีแต่ผู้ที่มีแปลงสมุนไพรถึงจะมาซื้อ อีกทั้งเขาเป็แค่นักหลอมโอสถขั้นหนึ่งที่พึ่งเข้าสำนัก ไม่จำเป็ต้องซื้อเมล็ดเยอะแยะขนาดนั้น ดูแล้วเหมือนมีลับลมคมใน วัดจากความฉลาดของหลิงเซียวต้องดูออก ฉะนั้นถึงตอนนั้นเขาต้องถามแน่นอน
ถึงรู้อยู่เต็มอกว่าหลิงเซียวไม่มีทางแยกไปตามที่เขา้าแน่ แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็แอบหวังเพียงเล็กน้อย
ท้ายสุด หลิงเซียวก็ไปร้านหญ้าเซียนบนถนนทิศใต้พร้อมกับเขาจนได้
ถนนทิศใต้ไม่ได้คึกคักเหมือนทิศเหนือ แต่ผู้คนก็เดินไปมาขวักไขว่ ส่วนน้อยที่เป็นักฝึกตน ส่วนใหญ่จะเป็นักหลอมโอสถเสียมากกว่า
เรือนกล้วยไม้ที่โหยวเสี่ยวโม่ไปคราวก่อน โหยวเสี่ยวโม่เดินเข้าไป พนักงานคราวก่อนจำเขาได้ พอเห็นปุ๊บก็ต้อนรับอย่างอบอุ่น ทว่าไม่ลืมที่จะเชื้อเชิญหลิงเซียวด้วย อันที่จริง คนที่พนักงานเห็นแวบแรกไม่ใช่โหยวเสี่ยวโม่ แต่เป็หลิงเซียว
คนทำงานเช่นพวกเขา สายตานั้นสำคัญมาก หลิงเซียวแต่งกายดูมีฐานะ ดูไปก็รู้ว่าเป็คุณชายผู้ร่ำรวย
ทว่าเพราะเป็ลูกค้าประจำ ฉะนั้นพนักงานจึงมุ่งความสนใจไปที่ตัวโหยวเสี่ยวโม่
เมื่อรู้อยู่แล้วว่าเขาจะซื้อเมล็ดพันธุ์ พนักงานไม่ได้เอ่ยอะไร หากแต่นำสินค้าชุดใหมออกมา ั้แ่ขั้นหนึ่งถึงขั้นสาม เมล็ดพันธุ์ยังสดๆ ใหม่ๆ
โหยวเสี่ยวโม่นึกถึงการเจริญเติบโตของหญ้าเซียนในห้วงเวลา บวกกับเงินที่มีอยู่ ครั้งนี้เขาจึงตั้งใจซื้อเมล็ดพันธุ์กลับไปจำนวนเยอะ ขั้นสามเขาซื้อเพียงหนึ่งชุดหนึ่งพันเมล็ด ขั้นสองเขาซื้อสองขุดแบบหนึ่งพันเมล็ดต่อถุง ทั้งหมดเท่ากับแปดร้อยกว่าตำลึงทอง ไม่ทันไรกระเป๋าเงินก็ฟีบไปครึ่งหนึ่ง
ข่าวดีก็คือ พนักงานยิ้มพร้อมกับยื่นเมล็ดขั้นหนึ่งห้าร้อยเม็ดให้เขา
พอออกจากเรือนกล้วยไม้ โหยวเสี่ยวโม่เปิดดูเงินในถุงเก็บของอย่างเ็ป เหลือเพียงเจ็ดร้อยกว่า
ทว่าโหยวเสี่ยวโม่แอบเหลือบมองหลิงเซียว เหนือความคาดหมายที่เขาไม่ได้ถามว่าทำไมถึงซื้อเมล็ดพันธุ์
“ศิษย์พี่หลิง ของที่ข้า้าซื้อครบหมดแล้ว ถัดไปคือต้องทำธุระของท่านหรือจะตรงไปพบกับพวกศิษย์น้องเล็กที่โรงเตี๊ยมเลย?”
หลิงเซียวหรี่ตามองเขาชั่วครู่ แต่ทำเอาเขาขนลุกตั้งชันทีเดียว จากนั้นจึงเอ่ยช้าๆ “ไปโรงเตี๊ยมก่อน สองคนนั้นยังไงก็เป็คนที่ข้าพามา ถ้าหากเกิดเื่ ข้าจะให้คำตอบเ้าสำนักลำบาก”
แม้จะพูดแบบนี้ โหยวเสี่ยวโม่ก็รู้สึกว่าสีหน้าเขาไม่ได้แสดงความลำบากใจเช่นที่เขาเอ่ย
จากนั้น่ที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าสู่ถนนทิศตะวันตก ด้านหลังก็มีเสียงคนทะเลาะวิวาทกันดัง อีกทั้งยังมีเสียงฝีเท้าวิ่งวุ่นไปหมด
โหยวเสี่ยวโม่หันกลับไปมอง ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งมุ่งมาทางพวกเขา แต่สีหน้าไม่ได้ดูตื่นเต้นอะไร แต่กลับเป็สีหน้าแบบคนที่พึ่งได้ยินข่าวลือมาเสียมากกว่า ท่าทางแบบนี้โหยวเสี่ยวโม่เคยเห็นมาบ้าง ราวกับกำลังจะไปดูความสนุกสนาน
คนกลุ่มนั้นวิ่งตัดหน้าพวกเขาไปยังถนนทิศตะวันออก
โหยวเสี่ยวโม่กำลังจะเดินจากไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย ก่อนจะได้ยินเสียงคนขายแผงร้านค้าคุยกัน
“ได้ยินว่าถนนทิศตะวันออกมีเื่สนุกให้ดู”
“ข้าก็ได้ยินมา เหมือนจะมีคนทะเลาะวิวาทกัน คราวก่อนที่ถนนทิศตะวันตก คราวนี้มาถนนทิศตะวันออก”
“หรือว่าเป็พวกเดิม? พวกเขานี่ช่างไม่ไว้หน้าสำนักเทียนซินเลยนะ ถึงแม้เมืองเหอผิงจะไม่อยู่ในเขตของสำนัก แต่ยังไงก็ได้รับการดูแลอยู่ แล้วคนพวกนั้นเป็พวกไหนกัน ถึงกล้ามีเื่ที่นี่?”
“ใครจะไปรู้ แต่คงเป็พวกใหญ่โต ไม่มีใครกล้าหาเื่ เพียงแต่หญิงสาวเมืองเหอผิงก็แย่หน่อยนะ”
“ไม่ใช่รึไงล่ะ ข้ายังไม่กล้าให้ลูกสาวออกจากบ้านเลย กลัวเจอคนแบบนี้แหละ”
“ฮ่าๆๆ ลำพังลูกสาวเ้า จะมีคนชอบรึเปล่า ยังเป็ปัญหาเลย”
“พูดบ้าอะไรของเ้าน่ะ?”
โหยวเสี่ยวโม่ฟังจนถึงตอนท้ายถึงกับตาโต ถ้าเขาเดาไม่ผิดละก็ ทังอวิ๋นฉีกับศิษย์พี่เฉินก็น่าจะอยู่ถนนทิศตะวันออก เมื่อคิดเช่นนี้ เขาจึงรีบหันไปมองหลิงเซียว “ศิษย์พี่หลิง หรือว่า เราจะไปดูที่ถนนฝั่งตะวันออกก่อน”
ถ้าเป็อย่างที่เขาคิดคงเกิดเื่บานปลายแล้ว จากนิสัยของทังอวิ๋นฉี มีแต่เื่ใหญ่โต
หลิงเซียวไม่ได้สนใจว่าคนพวกนั้นคือทังอวิ๋นฉีหรือไม่ เพียงรู้สึกว่าถ้านางจะก่อเื่ให้เขา ทว่าทังอวิ๋นฉีเป็ถึงลูกสาวเ้าสำนัก ปล่อยไว้ก็ไม่ดี จึงตรงไปฝั่งตะวันออกพร้อมโหยวเสี่ยวโม่ ถนนทิศใต้ไม่ห่างจากทิศตะวันออกนัก ถ้ารีบตรงไปตอนนี้ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที ใครจะรู้ว่าระหว่างจะเกิดเื่อะไรขึ้นจนแก้ไขไม่ได้หรืออย่างไร
จากนั้นหลิงเซียวจึงหิ้วคอปกเสื้อโหยวเสี่ยวโม่ไปยังมุม
พอปรากฏตัวมาอีกครั้ง ทั่งคู่ก็มาโผล่ที่ถนนทิศตะวันออก
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกหัวหมุน ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ ถัดมาจึงได้สติเพราะเสียงกรีดร้องโวยวาย
เสียงนี้ช่างคุ้นเคยเสียจนโหยวเสี่ยวโม่อยากลืมก็ทำไม่ได้ เป็เสียงที่มาจากศิษย์น้องทังนั่นเอง เมื่อมองไปยังต้นเสียง ดวงตาสองข้างของโหยวเสี่ยวโม่แทบจะหลุดจากเบ้า หน้าแดงก่ำ สายตาเลิ่กลั่ก ไม่กล้ามองไปยังศิษย์น้องทัง
ทังอวิ๋นฉีในตอนนี้ ยากที่จะเชื่อว่าพึ่งแยกกันได้ไม่ถึงชั่วยาม
ชุดสีชมพูกระโปรงถูกฉีกขาด เผยให้เห็นท่อนขาเรียวขาว ผ้าชิ้นที่เหลือยังพอคลุมส่วนสะโพกงอนงาม ท่อนบนแย่กว่า เสื้อผ้า่หน้าอกถูกฉีกออก คงเพราะทั้งอับอายและเคียดแค้น ผิวนวลเผยสีชมพูระเรื่อออกมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ท่าทางแบบนี้ของทังอวิ๋นฉีนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดกว่าเดิม
ชายหนุ่มแถวนั้นล้วนจับจ้องเป็ตาเดียว ส่วนหญิงสาวนั้นต่างอิจฉาริษยาชื่นชม จำนวนไม่น้อยสนุกบนความทุกข์ของคนอื่น
จะบอกว่าไม่ใจเต้นเลยกับภาพสาวงามตรงหน้า ก็คงมีแต่หลิงเซียว ที่สีหน้าแน่นิ่งจนไร้ความรู้สึก
สายตาของเขาไม่ได้จดจ้องทังอวิ๋นฉีที่กำลังโป๊เปลือยเหมือนคนอื่น แต่กลับหรี่ตาจ้องมองชายหนวดเคราครึ้มบนใบหน้าสงบนิ่ง
ชายผู้นั้นคือชายที่รังแกทังอวิ๋นฉี เ้าหื่นกามที่ฉีกเสื้อผ้านางขาดรุ่ย แต่เขาไม่ใช่พวกหื่นกามทั่วไป
“เ้าคนชั่วสมควรตาย วันนี้เ้าหยามหน้าข้า รอเื่ถึงท่านพ่อข้า เ้าจะโดนสับไม่เป็ชิ้นดี!”
ทังอวิ๋นฉีโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว แววตาปะทุไปด้วยความอาฆาตแค้น ถ้าสายตาสามารถฆ่าคนได้ ชายตรงหน้าคงตายไปไม่รู้กี่ร้อยรอบ
ชายผู้นั้นหาได้เกรงกลัวคำขู่ของนาง กลับหัวเราะยกใหญ่ เลียริมฝีปากพร้อมเอ่ย “รอพ่อเ้ารู้ ถึงตอนนั้นคงสายเกินไปแล้ว ถึงตอนนั้นเ้าตกเป็คนของข้าแล้ว ข้าเตือนเ้า ทางที่ดีไปกับข้าดีๆ ไม่แน่ถ้าข้าพอใจ ข้าอาจจะอ่อนโยนกับเ้าหน่อย”
“เ้าโรคจิต ศิษย์พี่ใหญ่ข้าอยู่แถวนี้ ถ้าเ้ากล้าแตะศิษย์น้องข้าแม้แต่ปลายเส้นขน ศิษย์พี่ใหญ่ข้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่”
เฉินเกาหยางที่นอนอยู่บนพื้นกล่าวอย่างเคียดแค้น ก่อนหน้านี้ฟังชายผู้นี้หยามศิษย์น้องเล็กจนเกิดการปะทะ ทว่าสู้ไม่ไหว ไม่เช่นนั้นศิษย์น้องเล็กก็คงไม่ถูกกระทำจนเป็สภาพเช่นนี้ อีกทั้งตอนที่ต่อสู้กัน ขาสองข้างของเขาก็ถูกหักจนไม่สามารถยืนได้
“ศิษย์พี่ใหญ่? หึ!” ชายผู้นั้นยิ้มเย็นเยือก “เ้าวางใจได้ ถ้าเขากล้าโผล่หัวมาอยู่หน้าข้าเมื่อไหร่ ข้าจะ…”
“เ้าจะทำอะไรงั้นรึ?”
ทันใดนั้น ท่ามกลางฝูงชนก็มีเสียงแ่เบาดังขัดคำพูดเขาขึ้น