เล่มที่ 3 บทที่ 76
เหยื่อล่อถูกโยนออกไปแล้ว และจื่อเอ๋อร์ได้ไปแจ้งพี่ชายใหญ่ของนางแล้วเช่นกัน แม้ว่ามู่หรงฉิงจะไม่ถึงกับหมดสิ้นความวิตกกังวลในใจแต่อย่างน้อยนางก็โล่งใจขึ้นมาก
“ทักษะการต่อสู้ของชิงเย่นั้นลึกล้ำจนยากจะหยั่งรู้ มีเขาคอยดูแลตลอดทาง จื่อเอ๋อร์จะต้องไม่เป็ไรอย่างแน่นอน นางจะต้องส่งจดหมายถึงมือของคุณชายใหญ่ได้อย่างปลอดภัย” เมื่อเห็นมู่หรงฉิงจ้องมองข้าวต้มใสในชามอย่างเหม่อลอย ปี้เอ๋อร์จึงหยิบตะเกียบกลางขึ้นมาและคีบอาหารใส่พร้อมพูดปลอบโยน
“ข้ารู้แล้ว” พยักหน้าพลางถือช้อนกินข้าวต้มอย่างสง่างาม และสีหน้าของนางดูผ่อนคลายเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนายหญิงดีขึ้น ปี้เอ๋อร์ถึงได้เดินไปยังด้านหลังของมู่หรงฉิงและโบกพัดในมือ
“ทำไมวันนี้ปี้เอ๋อร์และคนอื่นๆ ไม่กินข้าวด้วยกันล่ะ?” เฉินเทียนหยูมองดูสาวใช้ทั้งสามคนที่เฝ้าอยู่ด้านข้างอย่างสงสัย วันก่อนพวกนางยังกินข้าวด้วยกันไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมวันนี้ถึงไม่กินข้าวด้วยกันแล้วล่ะ?
“คนใช้ก็ต้องทำตัวให้เหมือนคนรับใช้เสมอ การรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเป็ครั้งคราว หนึ่งหรือสองหนย่อมได้แต่ต้องไม่ทำจนติดเป็นิสัย” จ้าวจื่อซินพูดพลางวางตะเกียบลง ดูท่าจะอิ่มแปล้
มู่หรงฉิงพูดไม่ออก คำพูดของจ้าวจื่อซินนั้นถูกต้อง แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนว่าจะเป็คนรับใช้ของจวนเฉินไม่ใช่หรือ?
หัวเราะในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ทานข้าวต้มในชามอย่างเงียบๆ
หลังรับประทานอาหารเย็นก็ได้ยินชุ่ยเอ๋อร์ส่งเสียงมาจากด้านนอกห้องว่า "ฮูหยินน้อย แม่รองมาหาท่าน"
มาแล้วหรือ? คิดอยู่ว่าอีกฝ่ายจะรอได้นานแค่ไหนกัน?
เด็กสาวเยาะเย้ยในใจ กอปรกับเห็นว่าเฉินเทียนหยูทานเสร็จแล้ว นางจึงส่งสัญญาณให้ปี้เอ๋อร์และคนอื่นๆ ทำความสะอาดโต๊ะ ส่วนนางลุกขึ้นเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้ากับเฉินเทียนหยู
“รบกวนแม่รองให้ต้องมาเยือนที่นี่แล้ว ตอนนี้ข้าสบายดีแล้วทำให้แม่รองต้องเป็ห่วงแล้ว” หลังจากคำนับแม่รอง ก็เดินเข้าไปหาใกล้ๆ โดยปล่อยให้แม่รองจับมือของนาง
“ดูเ้าสิ สีหน้าของเ้ายังแย่อยู่เลย” ผู้พูดจับมือของมู่หรงฉิงอย่างเป็ห่วงเป็ใย ก่อนทั้งสองคนจะนั่งลงเพื่อพูดคุยสัพเพเหระ
สนทนามากมายจวบจนกระทั่งนางมองดูทั้งสองคนเดินจากไปในตอนกลางคืน มู่หรงฉิงถึงได้ถอนหายใจและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน นางหวังว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย...
ใน่ของการสนทนาหลังจากการเสแสร้งทำเหมือนเป็ห่วงเป็ใย แม่รองเฉินถึงได้พูดประเด็นสำคัญขึ้นมา "แม้ว่าหมอเทวดาจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่ได้ยินมาว่า อุปนิสัยของหมอเทวดาคนนั้นแปลกประหลาด ถ้าเขาไม่เต็มใจที่จะรักษาแม้ว่านำดาบมาทาบที่คอของเขา เขาก็จะไม่ยอมรักษาให้ ได้ยินมาว่า ฮูหยินหลิงทำให้เ้าลำบากใจที่จวนของครอบครัวของเ้าเมื่อคราวที่แล้ว มาคราวนี้ยังบังคับให้เ้าไปอีก เป็ไปได้หรือไม่ว่าจะทำให้เ้าลำบากใจอีกหน?"
ความวิตกกังวลในคำพูดกอปรกับความวิตกกังวลที่ประดับบนใบหน้าของคู่สนทนา ทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกซาบซึ้งและพลอยรู้สึกไม่สบายใจอยู่หลายส่วน "ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมฮูหยินหลิงถึงต้องให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยงด้วย ถึงกระนั้นข้าก็ต้องไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง โธ่!"
“ข้าได้ยินมาว่า อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทเป็คนใจกว้าง และเขาก็มีอำนาจในราชสำนักอยู่หลายส่วน ถ้าเกิดฮูหยินหลิงทำให้เ้าลำบากจริงๆ เ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทได้” ดวงตาเป็ประกายเมื่อแม่รองเฉินเปลี่ยนเข้าประเด็นสำคัญ
ที่ข้ารออยู่ก็ประโยคนี้แล คิดตรึกตรองในใจแต่บนใบหน้ากลับฉายชัดถึงความประหลาดใจ “อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยหรือ?”
“คิดว่าน่าจะไปกระมัง อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทหมกมุ่นอยู่กับการรักษาสุขภาพปานนั้น และตอนนี้ได้ยินมาว่าหมอเทวดาอยู่ที่นั่น เขาย่อมไปหาที่นั่น”
“ปรากฏว่าเป็เช่นนั้นนี่เอง เพียงแต่ข้าไม่เคยพบกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทมาก่อน มิหนำซ้ำข้ายังเคยได้ยินมาว่าอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทไม่สนใจเื่ของสตรี”
“มันอาจจะไม่เป็เช่นนั้นก็ได้ ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาวิธีการรักษาสุขภาพเป็อย่างมาก เมื่อเร็วๆ นี้เขาดูเหมือนจะสนใจเกี่ยวกับบางสิ่งที่เรียกว่า 'โรคสูญเสียิญญา' เป็อย่างมาก และได้ยินมาว่าแม่ของเ้าก็รู้วิธีการรักษาสุขภาพเช่นกัน สำหรับเื่เ่าั้ เ้าย่อมต้องคุ้นหูคุ้นตาและเข้าใจได้อยู่หลายส่วน ถึงเวลานั้นถ้ามีประเด็นพูดคุยก็ไม่ต้องกลัวที่จะไม่รู้จักกันแล้ว”
“ท่านแม่แค่ชอบศึกษาการทำอาหารก็เท่านั้น ส่วนเื่การรักษาสุขภาพ… ท่านแม่เสียชีวิตด้วยอาการป่วย ถ้าท่านแม่เข้าใจการรักษาสุขภาพจริงๆ แล้วทำไม...” ครั้นพูดถึงเื่เศร้าโศกเสียใจ หน้าตาย่อมดูเศร้าสร้อยระคนอ่อนไหวสุดจะทน
สีหน้าของมู่หรงฉิงส่งผลให้ดวงตาของแม่รองเฉินเปล่งประกายอีกหน ก่อนคำพูดของนางจะทำให้มู่หรงฉิงเกิดความเกลียดชังในใจ
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมแม่รองเฉินถึง้าให้นางพบกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท? แต่สิ่งที่แม่รองเฉินพูดออกมาอย่างเนิบช้ากลับไม่ทำให้นางประหลาดใจแต่อย่างใด
ไม่นึกไม่ฝันว่า แม่รองเฉินจะกล่าวถึงหญ้าชิงิที่มีพิษว่าเป็สมุนไพรรักษาสุขภาพ หากพลาดพลั้งไปกินหญ้าชนิดนั้นจะสามารถลดน้ำหนักและผอมลงได้ แต่ในท้ายที่สุดก็จะหมดแรงและเสียชีวิต
เพียงแต่แม่รองเฉินมาบอกนางเพื่ออะไรหรือ? เพราะ้าให้นางใช้หญ้าชิงิเป็ประเด็นพูดคุย ยามที่นางพบกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท เพื่อจำกัดระยะห่างกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทหรือไม่?
ท่านแม่เสียชีวิตเพราะได้รับพิษของหญ้าชิงิ นางรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่า การเคลื่อนไหวของแม่รองเฉินในคราวนี้ต้องเกี่ยวโยงกับท่านแม่ของนางอย่างแน่นอน
เพียงแต่สิ่งที่เชื่อมโยงนั้นคืออะไร? มีเงื่อนงำในใจแต่ก็ไม่อาจจับประเด็นสำคัญได้
พระอาทิตย์ขึ้นและตก เวลาเคลื่อนผ่านไปเพียงชั่วพริบตา และหนึ่งวันก็ผ่านไป ในเวลากลางคืน มู่หรงฉิงเขียนจดหมายและขอให้จ้าวจื่อซินส่งถึงหมอเทวดา โดยบอกว่าเื่ของวันพรุ่งนี้จำเป็ต้องได้รับความช่วยเหลือจากหมอเทวดา
หลังจากการช่วยชีวิตจื่อเอ๋อร์ อคติมากมายเกี่ยวกับจ้าวจื่อซินก็สูญสลายไปจากความคิดของมู่หรงฉิง และตอนนี้เนื่องจากเขาส่งชิงเย่ไปกับจื่อเอ๋อร์เพื่อส่งจดหมายถึงพี่ชายใหญ่ของนาง เด็กสาวจึงยิ่งรู้สึกขอบคุณจ้าวจื่อซินเป็อย่างมาก
คนเราย่อมต้องรู้จักขอบคุณ แม้ว่าจะทำไปเพราะผลประโยชน์ ถึงกระนั้นก็ควรขอบคุณในสิ่งที่คนอื่นทำ
แม้ว่าจ้าวจื่อซินไม่ได้พูดอะไร แต่มู่หรงฉิงรู้สึกว่าจ้าวจื่อซินน่าจะรู้จักพี่ชายใหญ่ของนาง ทว่าเมื่อนาง้าเอ่ยถาม จ้าวจื่อซินกลับมองนางด้วยสายตาซึ่งแฝงความหมายลึกซึ้งที่ไม่อาจเข้าใจได้แต่กลับทำให้นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ส่วนสาเหตุที่ทำให้นางอึดอัดใจเป็อะไรนั้น นางเองก็พูดได้ไม่กระจ่างเช่นกัน
“น้องหญิง น้องหญิงเหม่อลอยอีกแล้ว” เฉินเทียนหยูได้ข้อสรุปดังกล่าวหลังจากเห็นมู่หรงฉิงถือหนังสืออยู่ในมือ ทว่านางกลับไม่ได้พลิกหน้าหนังสือเป็เวลานาน
วันนี้น้องหญิงมักจะเหม่อลอยอยู่เสมอ บางครั้งนางก็จ้องมองจ้าวจื่อซินด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ในสายตาของนาง แต่เขาไม่ชอบเวลาที่น้องหญิงมองจ้าวจื่อซิน เนื่องจากนางมองจ้าวจื่อซินเป็เวลานานเกินไป ทำให้เขารู้สึกว่าเขาหน้าตาไม่ดีเท่ากับจ้าวจื่อซิน
“ข้ากำลังอ่านหนังสือ” หลังจากกลับมามีสติอีกหน นางจึงจ้องไปที่ตำราแพทย์ แต่ถึงอย่างไรเนื้อความบนหน้ากระดาษกลับไม่เข้าหัวของนางสักคำ นางรู้สึกว่าสายตาของเฉินเทียนหยูยังไม่ละออกไป จึงพ่นลมหายใจออกและวางตำราแพทย์ไว้ด้านข้าง "เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
“น้องหญิง” เห็นมู่หรงฉิงมองมาที่เขาในท้ายที่สุด เฉินเทียนหยูก็ฉีกยิ้ม “ข้าหน้าตาดีหรือจ้าวจื่อซินหน้าตาดี?”
คำถามนั้นทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกงุนงงอยู่หลายส่วน ทำไมเขาถึงสนใจเื่นี้ล่ะ?
“วันนี้น้องหญิงมักจะมองจ้าวจื่อซินเสมอ และน้องหญิงก็ไม่ได้มองมาที่ข้า” ใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉินเทียนหยูเต็มไปด้วยความน่ารัก "น้องหญิงคิดว่าเขาหน้าตาดีกว่าข้าใช่หรือไม่? นี่เป็สาเหตุที่น้องหญิงไม่มองข้าแล้ว"
คำพูดของเฉินเทียนหยูเป็ต้นเหตุให้มู่หรงฉิงหัวเราะ นางยื่นมือออกไปกดใบหน้าของเขาเบาๆ รู้สึกเพียงว่าผิวหน้าของเขาเรียบเนียนและละเอียดอ่อนราวกับกำลังบีบนวดใบหน้าของเด็กน่ารัก "ท่านพี่หน้าตาดีที่สุดในโลก"
“แต่วันนี้น้องหญิงมองแต่จ้าวจื่อซิน ข้ารู้ พวกนางบอกว่าข้าจะฆ่าผู้หญิงหลายหนแล้ว และจ้าวจื่อซินเป็ผู้ช่วยชีวิตไว้…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเฉินเทียนหยูเริ่มเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำ
เขาไม่้าฆ่าน้องหญิง เขาชอบน้องหญิงเป็อย่างมาก ทำไมเขาถึง้าฆ่าน้องหญิงล่ะ? ทว่า วันนี้เขาได้ยินทุกคนลอบกระซิบเบาๆ ว่า เมื่อคืนเขาเกือบจะทำให้น้องหญิงเสียชีวิตแล้ว โชคดีที่จ้าวจื่อซินปรากฏตัวทันเวลา ไม่เช่นนั้นน้องหญิงจะต้องสิ้นลมเป็แน่
เขาไม่้าให้น้องหญิงตาย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่้าให้จ้าวจื่อซินช่วยชีวิตน้องหญิง เขาเคยคิดว่า จ้าวจื่อซินเป็คนดีมาก แต่วันนี้น้องหญิงมองไปที่จ้าวจื่อซินตลอด เขาคิดว่าจ้าวจื่อซินน่ารำคาญมาก
เขายังแอบมองจ้าวจื่อซินและได้ค้นพบว่า วันนี้จ้าวจื่อซินดูดีมาก เขามองตัวเองในกระจกก่อนรู้สึกว่าเขาเองก็ดูดีแต่เขาไม่รู้ว่าตนเองดูดีกว่า? หรือจ้าวจื่อซินดูดีกว่าเขา?
เฉินเทียนหยูมองมู่หรงฉิงด้วยความสับสนครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็ความน้อยใจ ไม่ว่าอย่างไรมู่หรงฉิงต้องให้คำตอบแก่เขา เขาต้องรู้ว่าในสายตาของน้องหญิง เขาหล่อเหลาหรือไม่? หรือจ้าวจื่อซินดูดีกว่า? ถ้าน้องหญิงไม่พูด เขาต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน
เขานอนไม่หลับ เนื่องจากขบคิดถึงเื่นี้จึงวิ่งไปถามน้องหญิงถึงเก้าอี้ยาว
มู่หรงฉิงไม่อาจเข้าใจถึงความทุ่มเทของเฉินเทียนหยู ในสายตาของนาง แม้กระทั่งตัวเฉินเทียนหยูเองก็อาจไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงได้ทุ่มเทหมกมุ่นอยู่กับเื่นี้?
นางถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นดวงตาที่วาววับของเขา ก่อนมันจะมัวหมองเนื่องจากความเศร้า มู่หรงฉิงพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านพี่หน้าตาดี และจ้าวจื่อซินก็หน้าตาดีด้วยเช่นกัน วันนี้ข้ามองจ้าวจื่อซิน และทันใดนั้นข้าก็พบว่า แท้ที่จริงแล้ว เขาก็หน้าตาดีด้วยเช่นกัน แต่หน้าตาก็แค่เปลือกภายนอกเท่านั้น จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ทำไมท่านพี่ถึงใส่ใจมันนัก?"
ทำไมถึงใส่ใจมันนัก? เฉินเทียนหยูเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมเขาถึงสนใจมันมาก บางทีสิ่งที่เขาสนใจ คือสายตาของมู่หรงฉิงที่จ้องมองจ้าวจื่อซินต่างหาก "แต่น้องหญิงชอบคนหน้าตาดีเช่นจ้าวจื่อซิน? หรือชอบคนหน้าตาดีเช่นข้า?"
คำถามของเฉินเทียนหยูทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่า เขาถูกคนยุยงให้มาถาม ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า นี่ต้องเป็กลอุบายของแม่รองเฉิน
ฉะนั้นจึงไม่อาจพูดพล่ามออกไปได้ หากใครมีความคิดไม่ดีกุเื่ขึ้นมา ไม่เพียงนางเท่านั้นแต่จ้าวจื่อซินเองก็จะถูกเกี่ยวโยงเข้าไปด้วยเช่นกัน “ท่านพี่จะต้องเข้าใจว่า โลกนี้มีคนหน้าตาดีหลายพันหลายหมื่นคน เห็นคนหน้าตาดีแล้วควรชอบคนคนนั้นหรือ? ท่านพี่เป็สามีของฉิงเอ๋อร์ ไม่ว่าท่านพี่จะหน้าตาดีหรือไม่ก็ตาม นั่นเป็ความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นไม่ว่าจ้าวจื่อซินจะหน้าตาดีหรือไม่ก็ตาม เขาก็แค่จ้าวจื่อซิน และไม่ว่าท่านพี่จะหน้าตาดีหรือไม่ก็ตาม ท่านพี่ก็คือสามีของฉิงเอ๋อร์"
แม้ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดของมู่หรงฉิง แต่ครั้นเห็นว่ามู่หรงฉิงหันกลับมาจ้องมองตนในท้ายที่สุด เฉินเทียนหยูก็มีความสุข ยิ่งได้ฟังนางพูดว่า "ไม่ว่าท่านพี่จะหน้าตาดีหรือไม่ก็ตาม ท่านพี่ก็คือสามีของฉิงเอ๋อร์" ในใจของเฉินเทียนหยูจึงรู้สึกเหมือนกำลังกินน้ำผึ้ง และเป็ความสุขที่ไม่อาจบรรยายเป็คำพูดได้
ไม่มีความรู้สึกคับข้องในหัวใจและไม่รู้สึกเศร้าอีกต่อไป เขาจับมือของมู่หรงฉิงและไม่กลับไปนอนที่เตียง แต่ล้มตัวลงนอนข้างนาง โดยมือทั้งสองข้างของเขาโอบนางไว้ และไม่ปล่อยโอกาสให้นางหลบหลีกแม้แต่น้อย "อืม น้องหญิงพูดถูกต้อง ตรงนี้ของข้าไม่เสียใจแล้ว ข้าอยากนอนแล้ว"
ระหว่างพูด ชายหนุ่มก็หาวนอนซ้ำๆ หลายหน มู่หรงฉิงถูกเขาโอบไว้อย่างแ่า นางทำอะไรไม่ถูก ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกสงบใจอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้ บางทีในจิตใต้สำนึกของนาง นางอาจยอมรับการััของเฉินเทียนหยูแล้ว
จ้าวจื่อซินยืนอยู่ข้างหน้าต่าง แผ่นหลังพิงชิดกำแพง จวบจนกระทั่งลมหายใจของทั้งสองคนในห้องคงที่ เขาก็ยังคงไม่ยอมจากไป สายตาของเขามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนโดยไม่กะพริบตาเป็เวลานาน