ในครานั้นทุกสิ่งในนครใหญ่กว้างขวาง เป็ที่แปลกตาอย่างมาก ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงเดินไปตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วเผลอแอบได้ยินพระมหาจักรพรรดิองค์ก่อน คุยกับใครบางคนถึงความลับนี้ ในขณะนั้นเขาใช้นิ้วเจาะมองดูสิ่งที่อยู่ภายใน พบว่านั่นคือหอสมุด พระมหาจักรพรรดิกำลังเขียนบันทึกบางอย่าง พลางพูดคุยกับใครบางคนที่เขาไม่เห็นหน้า ไม่นานนักพระมหาจักรพรรดิก็นำบันทึกขึ้นไปเก็บไว้ด้านใน หลังจากหมดผู้คน ราชบุตรซูเฟยเถาในยามนั้น จึงย่องเข้าไปแล้วทำการคัดลอกบันทึกออกมา
“ท่านพ่อ ท่านรู้เื่กฎเบื้องบนอะไรนั่นได้อย่างไร” เสียงของราชธิดาซูเจียวทำให้ความคิดของพระาาสลายไป ก่อนปั้นหน้าหันกลับมายังราชธิดา
“เ้ามิต้องรู้ว่าข้ารู้ได้อย่างไร จงรู้ไว้ว่านครก่งเหว่ยสามารถล่มสลายและหมดอำนาจได้ หาใช่สิ่งที่ผู้คนต่างเข้าใจว่านครก่งเหว่ยจะยิ่งใหญ่เป็นิรันดร์” ราชธิดาซูเจียวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดวงตากลมยังคงไหวระริกในความลับนั้น
“ข้าขอสั่งให้เ้าจงเก็บเป็ความลับ แม้แต่บันทึกฉบับนี้ก็เป็ชนวนชวนให้ผู้มากด้วยปัญญาคลายออกได้”
“เพคะท่านพ่อ ข้าจักเก็บเป็ความลับไว้ด้วยชีวิต” หญิงสาวพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“เ้าจงจำไว้ นับจากเด็กจนโต ข้าเฝ้าถนอมเลี้ยงดูอย่างดี เพื่อให้เ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็ชายาขององค์รัชทายาท”
“ข้ารับรู้ความหวังดีของท่านพ่อมาตลอด จึงตั้งมั่นฝึกฝนฝีมือเพื่อให้องค์รัชทายาทพอพระทัยในตัวข้า หากข้าขึ้นเป็พระชายาแล้วแคว้นของเราก็จะเป็ที่น่าเกรงขาม จริงฤาไม่ท่านพ่อ” ชายชราส่ายศีรษะ พลางเดินไปนั่งยังโต๊ะหินด้านข้าง
“ที่ข้าฝึกฝนและทิ้งความหวังทั้งหมดไว้ที่เ้าเพียงผู้เดียว เพื่อที่จะให้เ้า หาวิธีทำให้แคว้นก่งเหว่ยล่มสลายโดยเร็วที่สุด”
“ว่าอย่างไรนะเพคะ” ซูเจียวเบิกตากว้าง
“บรรณาการที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน แต่ละแคว้นจะส่งผู้มากด้วยฝีมือด้านต่าง ๆ มาถวาย ดังนั้น อาจมีผู้ที่สามารถคลายพิษของดอกเฟิ่งเซียนทิพย์มาพร้อมด้วย เ้าต้องเร่งกำจัดให้พ้นไป” ซูเจียวกลืนลายอึกใหญ่ จำใจฟังความ้าของราชบิดาโดยไม่ขัด
“เมื่อถึงการณ์ข้างหน้า วันเวลาเวียนมา หมดผู้จะรักษาพิษของดอกเฟิ่งเซียนทิพย์แล้ว แม่น้ำก็จะกลายเป็สีดำ ก็จะถึงคราวล่มสลายของนครใหญ่ แคว้นของเราก็มีโอกาสยิ่งใหญ่ต่อไปได้เช่นเดียวกัน ฮ่า ๆ ๆ” พระาาหันกลับมาพบว่าซูเจียว มีท่าทีหวาดหวั่นและตระหนกอยู่ไม่น้อย ก่อนดึงร่างบางเข้ามาแล้วจับจ้องยังดวงตาน้อย ๆ ของนางอย่างตั้งมั่น
“เ้าเข้าใจความหมายของข้าดีฤาไม่”
“พะ เพคะ” ซูเจียวรับปากอย่างตะกุกตะกัก
“ฉะนั้นอย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด”
“เพคะ” พระาายกมือขึ้นลูบศีรษะ แล้วเดินจากไป พร้อมเสียงหัวเราะที่ดังลอดมาด้วยความสุขใจ ก่อนสองเท้าเล็กของซูเจียวเดินเหม่อลอยท่ามกลางสวนดอกไม้ พร้อมเื่ราวมากมายให้ขบคิด จุดประสงค์ของราชบิดาหาใช่เพียงแค่ชื่อเสียง แต่ก้าวล่วงถึงขนาดทำให้นครใหญ่ล่มสลาย ชั่วอึดใจความคิดด้านมืดที่ฝังรากลึก ก็โผล่ขึ้นมาให้แสงสว่างราวกับรู้เวลา
“แคว้นจ้านหลิวเล็กเท่ารูหนู จักเป็ใหญ่ได้อย่างไร ในเมื่อนครใหญ่ที่ว่านั้นมีอำนาจเหนือเหล่าแคว้นต่าง ๆ ในใต้หล้า เป็ขุมทรัพย์ที่มีค่าดังทองคำ อำนาจในนครใหญ่ผู้ใดก็ต่างปรารถนา” มือบางเอื้อมไปเด็ดดอกไม้ที่อยู่ใกล้มือลงมา พร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทในจินตนาการ
“แลหากข้าขึ้นเป็ชายาขององค์รัชทายาทแล้ว เหตุใดต้องทำให้นครใหญ่ล่มสลายด้วยเล่า หากทำเช่นนั้นก็ออกจะดูโง่ไปหน่อย” หญิงสาวกล่าวกับตัวเอง พลางหมุนดอกไม้ในมือไปมาด้วยสายตาเลื่อนลอย
ตำหนักที่ประทับแห่งองค์จักรพรรดิอันยิ่งใหญ่ในนครก่งเหว่ย ทุกมุมไม้ของตำหนักที่ประทับ เต็มไปด้วยลวดลายแห่งัสีทองที่ทำจากทองคำล้ำค่า อันเป็บรรณาการจากเหล่าแคว้นต่าง ๆ ที่นำมาถวาย หลายวันมานี้เขาได้ดื่มสมุนไพรจากพระสนมเจียวจิน จึงทำให้มีแรงลุกขึ้นว่าราชการ เหล่าขุนนางน้อยใหญ่เข้าที่ประจำเพื่อรับใช้ราชโองการต่าง ๆ ที่มีมากมายหลายอย่างให้ต้องสะสาง
“ข่าวว่าองค์ชายรองไปเขาซงซาน กลับมาหรือยัง” องค์จักรพรรดิหันไปถามท่านเสนาบดีที่นั่งอยู่ใกล้สุด ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิสดใส มีเืฝาดขึ้นกว่าแต่ก่อน
“ขบวนเคลื่อนกลับมาวันนี้พ่ะย่ะค่ะ คล้อยบ่ายขบวนเสด็จน่าจะกลับถึงวังพอดี” พระมหาจักรพรรดิพยักหน้า ก่อนยกพู่กันบรรจงตอบรับสารจากแคว้นจ้านหลิว แล้วหยุดชะงักพลางหันกลับมาถามความคิดเห็นจากเหล่าขุนนางอีกสักเล็กน้อย
“ท่านเสนาบดี หากข้าประทานอนุญาตให้ราชธิดาแห่งแคว้นจ้านหลิวเข้ามายังนครใหญ่ เพื่อรอเป็ชายาขององค์รัชทายาท ท่านคิดเห็นอย่างไร”
“เหตุใดจึงรับสั่งเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“จากที่ข้าส่งสาส์นไปแสดงความเสียใจกับแคว้นจ้านหลิวคราก่อน ที่ได้สูญเสียพระชายาซูลี่ไปนั้น สาส์นตอบรับจากแคว้นจ้านหลิวตอบกลับมาว่า ้าถวายตัวราชธิดาซูเจียวเข้ามายังนครใหญ่เพื่อรอการแต่งตั้งเป็ชายาแห่งองค์รัชทายาทโจวอี้เฟย”
“การนี้ควรปรึกษากันหลายฝ่าย ทำเช่นนี้แลจักเป็การยัดเยียดเกินไป แคว้นจ้านหลิวทำการเช่นนี้มิบังควรอย่างสูง”
“ท่านเสนาบดีอย่างพึ่งตำหนิพระาาแห่งจ้านหลิว ตัวข้าเองที่เป็คนอนุญาตให้เขาแจ้งจุดประสงค์มาเอง เพื่อเป็การปลอบขวัญที่แคว้นจ้านหลิวสูญเสียพระชายาไป แต่คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขาจะขอเื่การถวายตัวเป็ชายาในองค์รัชทายาทโจวอี้เฟย”
“ทูลฝ่าาเช่นนั้นแล้ว จักตอบสาส์นกลับไปเยี่ยงไร”
“ข้าคงมิอาจปฏิเสธความประสงค์ของแคว้นจ้านหลิวได้ ข้าซึ่งเป็ใหญ่ตรัสแล้วมิอาจคืนคำ แต่ชายาในองค์รัชทายาทโจวอี้เฟยนั้น ต้องให้เขาเป็ผู้เลือก เ้าก็เห็นว่าเราไม่สามารถบังคับสิ่งใดกับโจวอี้เฟยได้”
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นแล้ว เรารับราชธิดาแห่งจ้านหลิวเข้ามาก่อน เพื่อรอการสถาปนาขึ้นเป็ชายาในองค์รัชทายาทโจวอี้เฟย แต่ทั้งนี้การสถาปนาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็พระประสงค์ขององค์รัชทายาทเพียงองค์เดียวเท่านั้น” ท่านเสนาบดีเสนอความคิดเห็น ก่อนครู่หนึ่งจึงขยับกายลุกขึ้นไปหยิบสาส์นจากองค์จักรพรรดิที่พึ่งลงตราประทับเสร็จ
“นำสาส์นนี้มอบแก่แคว้นจ้านหลิว แล้วเตรียมการต้อนรับราชธิดาอย่างสมเกียรติตามความเหมาะสม” แม้การเข้ามาของราชธิดาแห่งจ้านหลิวจะดูไม่เหมาะไม่ควร เสมือนเป็การยัดเยียดจนออกหน้า หากแต่รอยยิ้มอ่อนของพระจักรพรรดิแอบเผยออกมาเป็ระยะ เขาเฝ้าเพียรพยายามแสวงหาสาวงามมาพิชิตใจโจวอี้เฟยนานหลายปี แต่ถูกองค์รัชทายาทปฏิเสธสิ้น การที่ราชธิดาแห่งจ้านหลิวเข้ามารอถวายตัวถึงนครใหญ่ย่อมเป็นิมิตหมายที่ดี
“ท่านเสนาบดี ท่านคิดเห็นเช่นไร หากโจวอี้เฟยถูกพระทัยในตัวราชธิดาแห่งจ้านหลิว”
“หากไม่นับวิธีการเข้ามาแบบไม่เหมาะสมแล้ว ข้าคิดว่าในฐานันดรของราชธิดาแห่งจ้านหลิวนั้นนับว่าสูงส่ง เหมาะสมกับองค์รัชทายาทอย่างที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” องค์จักรพรรดิพยักหน้าขึ้นลง
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” แววตาขององค์จักรพรรดิไหวระริกอย่างมีความหวัง
ไม่นานนักขบวนรถม้าขององค์ชายรอง ก็เสด็จกลับถึงนครใหญ่ พร้อมด้วยสมุนไพรครบตามจำนวน เหิงเยว่รีบนำห่อสมุนไพรที่เก็บมาได้เดินตรงไปยังตำหนักของพระสนมเจียวจินในทันที นางเดินผ่านทหารเฝ้าประตูตำหนักเข้าไปได้อย่างสบาย ก่อนร่างบางจะปะทะกับกลิ่นหอมของสมุนไพรที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
“กลับมาแล้วเหรอ ตามที่ข้าคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด” พระสนมหันมายิ้มรับอย่างเมตตา พลางวางมือจากส่วนผสมของสมุนไพรต่าง ๆ มากมาย แล้วเดินเข้ามาหาเหิงเยว่ ก่อนเอื้อมมือมารับห่อสมุนไพรกลับไป
“สมุนไพรได้ครบตามจำนวนฤาไม่”
“ครบตามจำนวนเ้าค่ะ” เหิงเยว่ค้อมตัวลงเล็กน้อย แล้วกล่าวตอบด้วยกิริยาอ่อนน้อม
“ดีมาก สมแล้วที่ข้าวางใจ” พระสนมเจียวจินพยักหน้าพลางเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันมองหาใครบางคน
“แล้วองค์ชายรองล่ะ”
“องค์ชายรองกลับไปยังตำหนักแล้วเ้าค่ะ ส่วนข้ารีบนำสมุนไพรมาให้ท่าน เพราะกลัวว่าท่านจะรอนาน”
“เ้าช่างรู้ใจข้านัก” เหิงเยว่ส่งยิ้มหวาน ไม่ตอบโต้ ก่อนสังเกตมองดูหม้อต้มสมุนไพรที่กำลังโชยควันสีอ่อนคละคลุ้งไปทั่ว
“แลพระสนมปรุงยาอันใดเ้าคะ กลิ่นจึงหอมหวนน่ารับประทานเช่นนั้น” ดวงตาวาวระริกถามอย่างใคร่รู้ ก่อนรอยยิ้มอ่อนของพระสนมจะคลี่ออก พลางหันเดินกลับมายังหม้อต้มยาของตัวเอง
“เ้ารู้ฤาไม่ ในตอนนี้องค์พระมหาจักรพรรดิออกว่าราชการได้แล้ว ด้วยเพราะสมุนไพรที่ข้าปรุงเพื่อบำรุงกำลังในวันก่อน”
“จริงเหรอเ้าคะ” เหิงเยว่ปล่อยยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ นางเห็นถึงความตั้งใจของพระสนมเจียวจิน ที่พยายามศึกษาจากตำราในหอสมุด จวบจนสามารถคิดค้นสูตรยาสมุนไพรได้สำเร็จ สองเท้าเล็กเดินมายังหม้อต้มสีเข้มพลางสูดกลิ่นหอม แล้วหันใบหน้าหวานกลับมายังพระสนมเจียวจิน
“ข้าดีใจที่สมุนไพรของพระสนมได้ผลเช่นนี้” พระสนมเจียวจินพยักหน้ายอมรับอย่างภูมิใจ พลางหวนนึกถึงแผนการที่วางไว้จะต้องสำเร็จดังหวัง องค์ชายรองจักต้องขึ้นเป็พระมหาจักรพรรดิองค์ต่อไป แทนโจวอี้เฟย รอยยิ้มอ่อนเคลือบไปด้วยจุดมุ่งหมายอันแรงกล้า ก่อนนึกบางอย่างได้จึงหันกลับมายังเหิงเยว่
“เ้าคงเหนื่อยที่เสียสละเพื่อข้ามาหลายวัน ดังนั้นกลับไปพักผ่อนเถิด” พระสนมเจียวจินหันไปยังห่อสมุนไพร ที่ทำการวัดสัดส่วนตัวยาไว้อย่างเหมาะสม