ตอนที่ 7 เปลวเพลิงหลอมบุปผา
ริมฝีปากของจ้าวเฟิงบดเบียดลงมาราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ มันไม่ใช่จูบที่อ่อนโยนทว่าคือการประกาศาแห่งแรงปรารถนา เป็การยึดครองอาณาเขตที่เขาได้หมายมั่นปั้นมือไว้เนิ่นนาน ลิ้นที่ร้อนระอุของเขาตวัดรุกรานเข้ามาในโพรงปากของเยว่หลิงอย่างเอาแต่ใจ ชิมรสหวานล้ำที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในอย่างตะกละตะกลาม กลิ่นสุราหมักชั้นดีที่ยังคงตกค้างจากงานเลี้ยงผสมกับกลิ่นอายของบุรุษเพศที่เข้มข้น มอมเมาสติสัมปชัญญะของนางจนขาวโพลนไปหมด
เยว่หลิงไม่เคยถูกบุรุษใดััใกล้ชิดถึงเพียงนี้มาก่อน ในตอนแรกนางตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นตระหนก แต่ร่างกายของนางกลับทรยศต่อความคิดอย่างสิ้นเชิง มันโอนอ่อนผ่อนตามััของเขาอย่างง่ายดายราวกับเถาวัลย์ที่โอนเอนไปตามแรงลม นางเผยอปากรับรสจูบของเขาอย่างลืมตัว มือที่เคยกำแน่นอยู่ข้างลำตัวค่อยๆ คลายออก ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปโอบรอบลำคอที่แข็งแกร่งของเขาอย่างไม่รู้ตัว ปลายนิ้วของนางสอดเข้าไปในเรือนผมสีดำขลับที่ท้ายทอย ััได้ถึงความหนานุ่มและไออุ่นจากหนังศีรษะของเขา
การตอบสนองของนางเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่สาดโหมเข้าใส่กองไฟ เสียงคำรามทุ้มต่ำดังขึ้นในลำคอของจ้าวเฟิง เขาถอนริมฝีปากออกเพียงชั่วลมหายใจ ดวงตาคมปลาบคู่นั้นจ้องมองนางในความมืด แวววาวราวกับดวงตาของสัตว์ป่าที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ "เ้าเป็ของข้า..." เขากระซิบย้ำอีกครั้ง ก่อนจะอุ้มนางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดายราวกับนางเป็เพียงปุยนุ่น
เยว่หลิงร้องอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความใ นางรีบใช้แขนทั้งสองข้างกอดรัดรอบคอของเขาไว้แน่น ร่างกายของนางแนบชิดไปกับแผงอกที่แข็งแกร่งราวกับกำแพงเหล็กของเขา นางััได้ถึงมัดกล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นอยู่ใต้ชั้นเสื้อคลุมผ้าไหม ััได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่หนักหน่วงและรุนแรงของเขา...มันเต้นเป็จังหวะเดียวกับหัวใจของนาง
เขาวางนางลงบนเตียงนอนอย่างแ่เบา แต่ร่างกายของเขากลับทาบทับลงมาทันที กักขังนางไว้ใต้ร่างของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านบานหน้าต่างอาบไล้เรือนร่างของพวกเขา สร้างเงาดำที่ทอดทาบเป็หนึ่งเดียวกันบนผืนเตียง
"เ้าสวยเหลือเกิน..." เขาพึมพำขณะที่สายตาไล่สำรวจเรือนร่างของนางที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดนอนผ้าไหมเนื้อบาง แสงจันทร์ทำให้ผ้าไหมนั้นโปร่งแสงจนมองเห็นส่วนโค้งส่วนเว้าได้อย่างชัดเจน เนินอกที่อวบอิ่ม เอวที่คอดกิ่ว และสะโพกที่ผายกลมกลึง
มือข้างหนึ่งของเขาเริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของนางอย่างเชื่องช้า แต่ทุกัักลับร้อนแรงราวกับมีเหล็กร้อนนาบลงบนผิว ปลายนิ้วของเขาลากผ่านลำคอระหง ผ่านไหปลาร้าที่บอบบาง ลงมายังเนินอกที่สั่นสะท้านไปตามจังหวะลมหายใจของนาง เยว่หลิงบิดกายเร่าๆ ด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ มันเป็ความรู้สึกที่ทั้งเสียวซ่านและทรมานในเวลาเดียวกัน
"ท่านอ๋อง..." นางครางเรียกชื่อเขาเสียงแ่พร่า
"เรียกชื่อข้า" เขาสั่งเสียงแหบ "เรียกข้าว่า จ้าวเฟิง"
แล้วเขาก็ไม่รอให้นางได้เอ่ยคำใดอีก เสื้อนอนผ้าไหมที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขาก็ถูกกระชากออกอย่างแรงจนขาดวิ่น เสียงผ้าไหมที่ฉีกขาดนั้นดัง "แคว้ก!" ในความเงียบ มันคือเสียงของการทำลายกำแพงป้องกันสุดท้ายของนาง คือเสียงของการสิ้นสุดชีวิตเก่าและก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ที่นางไม่มีวันหวนกลับไปได้อีก
บัดนี้เรือนร่างเปลือยเปล่าอันงดงามของนางได้ปรากฏสู่สายตาของเขาอย่างเต็มตาภายใต้แสงจันทร์นวล ผิวพรรณของนางขาวผ่องราวกับหยกเนื้อดีที่ถูกเจียระไนมาอย่างสมบูรณ์แบบ ยอดถันสีชมพูระเรื่อชูชันขึ้นท้าทายสายตาของเขาอย่างน่ารักน่าชัง บุปผางามที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องล่างยังคงปิดสนิท แต่กลับชุ่มชื้นไปด้วยน้ำหวานแห่งความปรารถนาที่ร่างกายของนางผลิตขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
"งดงาม..." จ้าวเฟิงครางออกมาอย่างลุ่มหลง เขาโน้มตัวลงไป ใช้ริมฝีปากยอดถันข้างหนึ่งของนางอย่างหิวกระหาย ลิ้นร้อนร้ายของเขาตวัดเลียและดูดดึงอย่างชำนาญราวกับทารกที่กระหายน้ำนมมารดา
"อ๊ะ!" เยว่หลิงแอ่นอกขึ้นรับัันั้นอย่างลืมตัว ความรู้สึกเสียวซ่านแล่นปราดจากยอดอกตรงไปยังจุดศูนย์กลางของร่างกาย ทำให้บริเวณนั้นของนางยิ่งเปียกชื้นและเต้นตุบๆ รอคอยการรุกล้ำอย่างร้อนรน มือของนางขยุ้มผ้าปูที่นอนไว้แน่นเพื่อระบายความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน
เขาปรนเปรอทรวงอกอวบอิ่มของนางอยู่เนิ่นนาน สลับข้างไปมาอย่างไม่รู้จักพอ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนริมฝีปากต่ำลงมา ผ่านหน้าท้องที่แบนราบ จุมพิตที่สะดือบุ๋มของนางอย่างแ่เบา แล้วเคลื่อนต่ำลงไปอีก
เยว่หลิงรับรู้ได้ถึงเจตนาของเขา นางเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกและเขินอาย "ไม่ ท่านอ๋อง ตรงนั้น มันสกปรก"
แต่เขากลับไม่ฟังเสียงทัดทานของนาง เขาใช้มือทั้งสองข้างจับต้นขาเรียวของนางให้แยกออกจากกันอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น ก่อนจะฝังใบหน้าหล่อเหลาของเขาลงไปในดงหญ้าอ่อนนุ่มที่กึ่งกลางกายของนาง
"อ๊าาา!" เยว่หลิงกรีดร้องออกมาอย่างสุดจะกลั้น เมื่อลิ้นที่ร้อนชื้นและช่ำชองของเขาััเข้ากับจุดที่ไวที่สุดของนาง มันคือััที่นางไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อนในชีวิต มันรุนแรงและดิบเถื่อน แต่กลับหวานล้ำจนแทบจะทำให้นางขาดใจตาย เขาใช้ลิ้นของเขาสำรวจทุกซอกทุกมุมของบุปผางามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดูดดื่มน้ำหวานทุกหยาดหยดราวกับเป็น้ำทิพย์จาก์
ร่างกายของเยว่หลิงกระตุกเกร็งเป็ระลอกคลื่น นางบิดเร่าไปมาราวกับปลาที่ถูกจับขึ้นมาบนบก สมองของนางว่างเปล่า ไม่มีขนบธรรมเนียม ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีแผนการใดๆ เหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว มีเพียงความสุขสมที่ท่วมท้นจนแทบจะะเิออกมา
"จ้าว...จ้าวเฟิง!" นางกรีดร้องเรียกชื่อเขาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็เงยหน้าขึ้น มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจและชัยชนะ เขาลุกขึ้นปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนเองออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นเรือนร่างที่กำยำสมส่วนราวกับรูปสลักของเทพา แผงอกกว้างเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ และที่กึ่งกลางลำตัว...คือแก่นกายของบุรุษเพศที่แข็งขึงและร้อนผ่าว มันใหญ่โตและน่าเกรงขามจนทำให้เยว่หลิงต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
เขาขึ้นมาคร่อมร่างของนางอีกครั้ง ใช้หัวเข่าดันขาทั้งสองข้างของนางให้แยกออกกว้างขึ้น จับแก่นกายที่ร้อนระอุของเขามาจ่ออยู่ที่ปากทางเข้าที่ชุ่มแฉะของนาง "มองข้า เยว่หลิง" เขาสั่งเสียงพร่า "มองข้า ในขณะที่เ้ากลายเป็ของข้าอย่างสมบูรณ์"
เยว่หลิงสบตากับเขา น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมาจากหางตาของนางอย่างช้าๆ มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่เป็น้ำตาแห่งการยอมจำนนต่อโชคชะตาและแรงปรารถนาที่รุนแรงเกินกว่าจะต้านทานไหว
แล้วเขาก็สอดแทรกแก่นกายของเขาเข้ามาในร่างของนาง...
"กรี๊ด!" เยว่หลิงกรีดร้องออกมาด้วยความเ็ป ความรู้สึกราวกับร่างกายถูกฉีกออกเป็สองซีกทำให้นางดิ้นรนอย่างสุดชีวิต นี่คือความเ็ปครั้งแรกของการสูญเสียพรหมจรรย์
จ้าวเฟิงหยุดนิ่ง เขาก้มลงไปจูบซับน้ำตาให้นางอย่างแ่เบา "ไม่เป็ไร อีกเดี๋ยวก็จะดีขึ้น" เขากระซิบปลอบโยน ก่อนจะเริ่มขยับกายอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวล
ในตอนแรกมันยังคงเ็ป แต่ไม่นานความเ็ปนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเสียดสีที่แปลกใหม่ ความรู้สึกที่แก่นกายร้อนๆ ของเขากำลังเติมเต็มช่องว่างในร่างกายของนางอย่างพอเหมาะพอเจาะ
จังหวะของเขาเริ่มเร็วขึ้นและหนักหน่วงขึ้น จากความเชื่องช้ากลายเป็ความเร่าร้อน จากความนุ่มนวลกลายเป็การกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง เสียงเนื้อกระทบกันดังก้องอยู่ในความเงียบของห้อง ผสมกับเสียงครางหวานของเยว่หลิงและเสียงคำรามในลำคอของจ้าวเฟิง กลายเป็บทเพลงแห่งราคะที่บรรเลงขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์
เยว่หลิงปล่อยให้ร่างกายของนางเป็ไปตามสัญชาตญาณ นางยกขาทั้งสองข้างขึ้นเกี่ยวกระหวัดรอบเอวสอบของเขา แอ่นสะโพกขึ้นรับทุกจังหวะการกระแทกของเขาอย่างไม่ยอมแพ้ เล็บของนางจิกลงบนแผ่นหลังที่แข็งแกร่งของเขาจนเป็รอย
นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด โลกทั้งใบของนางเหลือเพียงััของเขา เสียงของเขา และกลิ่นของเขา
"เยว่หลิง..." เขาครางชื่อนางออกมาอย่างทรมาน ร่างกายเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะปลดปล่อยสายธารแห่งชีวิตที่ร้อนระอุเข้ามาในส่วนที่ลึกที่สุดของร่างกายนาง
ในขณะเดียวกัน ร่างกายของเยว่หลิงก็กระตุกเกร็งอย่างรุนแรงเช่นกัน ความสุขสมที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อนะเิออกมาราวกับดอกไม้ไฟ สติของนางดับวูบไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนมาพร้อมกับความรู้สึกอ่อนเพลียแต่กลับอิ่มเอมอย่างประหลาด
...
จ้าวเฟิงไม่ได้ถอนกายออกไปในทันที เขาทิ้งตัวลงนอนทับร่างของนางอยู่เช่นนั้น ซุกใบหน้าลงกับซอกคอที่ชื้นเหงื่อของนาง สูดดมกลิ่นกายของนางเข้าไปเต็มปอดราวกับจะจดจำมันไว้ตลอดไป
ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องอีกครั้ง มีเพียงเสียงหอบหายใจของคนทั้งสอง
"วิหคเพลิงที่เกิดใหม่จากกองไฟ..." จู่ๆ เขาก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ "เ้าคิดได้อย่างไร?"
เยว่หลิงที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น หันใบหน้าไปมองเขาอย่างงุนงง
เขาผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย มองลึกลงไปในดวงตาของนาง "ฉลองพระองค์ชุดนั้นดวงตาข้างซ้ายที่ทำจากไข่มุกราตรีมันไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าใช่หรือไม่?"
หัวใจของเยว่หลิงกระตุกวูบ เขารู้ได้อย่างไร?
"ข้าเห็นร่องรอยการเลาะด้ายเก่าที่จางที่สุดอยู่รอบๆ ไข่มุกนั่น" เขากล่าวต่อ "และข้ารู้ว่าช่างฝีมือชั้นเอกของซ่างฝูจวี๋ไม่มีทางทำงานพลาดเช่นนี้ได้มันต้องมีเื่อะไรเกิดขึ้นแน่ๆ"
ความหลักแหลมของเขาทำให้เยว่หลิงถึงกับขนลุก นางไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรงๆ แต่กลับถามกลับไปว่า "แล้วท่านอ๋องทรงคิดว่ามันหมายความว่าอย่างไรเพคะ?"
จ้าวเฟิงยิ้มออกมา...เป็รอยยิ้มที่แท้จริงครั้งแรกที่นางได้เห็น มันทำให้ใบหน้าที่เคยดูดุดันของเขาดูอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาด "ดวงตาข้างขวาที่ทำจากทอง คือดวงตาที่มองเห็นเกียรติยศและชัยชนะในเวลากลางวัน แต่ดวงตาข้างซ้ายที่ทำจากไข่มุกราตรี คือดวงตาที่มองเห็นแผนการร้ายและการทรยศในความมืดมิด เ้ากำลังเตือนข้าใช่หรือไม่? ว่าแม้จะได้รับชัยชนะกลับมา แต่าที่แท้จริงในวังหลวงนี้ มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น"
เยว่หลิงนิ่งเงียบไป คำตอบของนางอยู่ในความเงียบนั้นแล้ว
จ้าวเฟิงหัวเราะในลำคอเบาๆ เขาก้มลงไปจูบหน้าผากของนางอย่างแ่เบา "เ้าฉลาดเกินกว่าที่จะเป็แค่นางกำนัล เยว่หลิง" เขากล่าว "และอันตรายเกินกว่าที่ข้าจะปล่อยให้ไปเป็ของคนอื่น"
เขาลุกขึ้นจากเตียง เริ่มแต่งกายอย่างเงียบเชียบ "พักผ่อนเถอะ ข้าต้องไปแล้ว ก่อนที่องครักษ์ยามเช้าจะเริ่มออกตรวจ"
เยว่หลิงพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง มองแผ่นหลังกว้างของเขาที่กำลังจะเดินจากไป "แล้วหม่อมฉันจะได้พบท่านอีกเมื่อไหร่เพคะ?" นางถามออกไปอย่างกลั้นไม่ได้
เขาหันกลับมามองนางที่ประตู แสงจันทร์อาบร่างของเขาจนดูราวกับเทพเ้าในเงามืด "เมื่อข้า้าเ้า ข้าจะมาหาเ้าเอง" เขากล่าวทิ้งท้าย "และจงจำไว้วิหคเพลิงตัวน้อยของข้าจากนี้ไป เ้าไม่ได้เป็แค่นางกำนัลของซ่างฝูจวี๋อีกแล้ว แต่เ้าเป็คนของข้า เป็ เงา ของข้าในวังหลวงแห่งนี้"
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็เปิดประตูและหายไปในความมืด ทิ้งให้เยว่หลิงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเพียงลำพัง
นางมองลงไปยังรอยคราบเืพรหมจรรย์บนผ้าปูที่นอน สลับกับความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะที่อยู่ระหว่างเรียวขาของนาง...นางไม่ได้สูญเสียอะไรไปเลยในคืนนี้ตรงกันข้าม นางเพิ่งจะได้รับการเดิมพันที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของนางมาต่างหาก
นางไม่ใช่แค่ "ของ" ของเขาอีกต่อไปแล้ว แต่นางคือ "เงา" ของเขา
และเงา ก็คือสิ่งที่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ในทุกที่ และมองเห็นได้ในทุกสิ่งโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น.
