ฮวาชีเยว่พอจะเคยคุ้นกับคำว่าศาสตร์วิปลาสหรือวิชานอกรีตจากความทรงจำของเ้าของร่างเดิมอยู่ ผู้ใช้ปราณเป็ของหายาก และผู้กักิญญาหายากยิ่งกว่า กล่าวได้ว่าในทวีปเทียนหยวนแห่งนี้มีผู้กักิญญาอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น
เพียงหนึ่งคนสามารถสังหารทหารสิบล้านได้ในพริบตา! เพียงขยับนิ้วเดียว ทำให้ทหารนับพันวิ่งหนีอย่างหวาดกลัว!
ผลสุดท้าย ผู้คนนับไม่ถ้วนที่้าแย่งชิงคัมภีร์ศาสตร์วิปลาสล้วนถูกสังหาร เมื่อกาลเวลาผ่านไป ก็ไม่มีใครกล้าท้าทายพวกเขาอีก
นับแต่นั้น ผู้กักิญญาทั้งสามก็ลี้กายเข้าสู่หุบเขาลึก ครอบครัวพวกเขาล้วนแต่รุ่งเรืองเฟื่องฟู มีทรัพย์สมบัตินับอนันต์ ทว่าไร้ซึ่งผู้ใดกล้าแตะต้อง
แล้วบุรุษลึกลับเบื้องหน้านางผู้นี้มีศาสตร์วิปลาสได้อย่างไร?
ฮวาชีเยว่ตกตะลึงอยู่ภายในใจ หากเขาแข็งแกร่งปานนั้น เหตุใดจึงได้ส่งมอบความรู้ให้แก่นาง?
เป้าหมายคืออะไรกัน? เขาเป็ใครกันแน่?
ฮวาชีเยว่ถูกน้ำเต้าหยกเขียวทำให้สับสน ทว่าสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ “ปรมาจารย์” เบื้องหน้านางไม่้าให้นางทราบอะไรมากนัก เขาได้แต่โบกมือ “ตอนนี้กลับไปได้แล้ว ต่อไปมาที่แห่งนี้ทุกราตรี ข้าจะสอนวรยุทธ์ให้แก่เ้า”
ลมแรงพัดผ่าน ฮวาชีเยว่รู้สึกคล้ายทิวทัศน์รอบกายเปลี่ยนไปกลับมาเป็วิวภายในรถม้า จากนั้นนางจึงได้เห็นสายตากังวลของลู่ซินและโหย่วชุ่ย
“คุณหนู คุณหนูเ้าคะ? ตื่นเถอะเ้าค่ะ!”
ลู่ซินเขย่าร่างนางทั้งยังร้องไห้อย่างแตกตื่น ฮวาชีเยว่กะพริบตา ลุกขึ้นนั่งช้าๆ กวาดตามองรอบกาย ไม่มีดินแดนรกร้างอีกแล้ว มีเพียงรถม้าคันเดิมเท่านั้น
“ข้า...เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”
“บ่าวจะทราบได้อย่างไรเ้าคะ? คุณหนู... ท่านลืมตาแล้วอยู่ดีๆ ก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย พวกบ่าวกลัวมากเลยเ้าค่ะ ท่านได้รับาเ็ทางสมองหรือ? เราควรเรียกหมอหรือไม่เ้าคะ?”
ลู่ซินแตะหน้าผากฮวาชีเยว่ อุณหภูมิร่างกายยังคงปกติ นางกวาดตามองเ้านายขึ้นๆ ลงๆ
“ข้า...ไม่เป็ไร” ฮวาชีเยว่ตอบเสียงต่ำ ดูไปแล้วเื่ที่เกิดขึ้นคงเป็เื่จริง
นางไม่ยินดีแม้แต่น้อย ได้รับการช่วยเหลือจากคนผู้นั้นไม่ใช่เื่ดี
ผู้ทรงอำนาจ้าสอนวรยุทธ์และวิชานอกรีตแก่นาง ทำไมกัน? อาจจะ... เขาอาจจะ้ากำจัดน้ำเต้าหยกหรือ? ในชาติที่แล้วของนาง นางเป็เพียงเถ้าแก่เนี้ยผู้หนึ่งที่ไม่เคยติดต่อกับผู้มีวรยุทธ์แม้แต่คนเดียว นางวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการร้านอาหาร ทว่าจู่ๆ ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้นางไปต่อไม่ถูกจริงๆ หากมิใช่มีความทรงจำเดิมของเ้าของร่าง นางคงสิ้นสติไปแล้ว
แต่สิ่งสำคัญที่สุดยามนี้ คือการนำตัวบุตรชายออกมาจากนรกจวนสกุลโจวนั่นเสียก่อน
เห็นสีหน้าจริงจังของฮวาชีเยว่ ลู่ซินและโหย่วชุ่ยก็มิกล้ารบกวนนาง ทั้งสองมองหน้ากันอย่างครุ่นคิดว่าควรจะตามหมอมาดีหรือไม่
ทว่าคนป่วยก็ดีขึ้นแล้ว ฮวาชีเยว่มิใช่ฮวาชีเยว่คนเดิมอีกต่อไป ยามนี้นางฉลาดขึ้นและระมัดระวังมากขึ้น หากเป็คุณหนูฮวาชีเยว่คนเก่าคงจะได้รับแผลใจจนแขวนคอตายไปแล้ว
สองวันต่อมาพวกนางก็มาถึงประตูเมืองหลวง ลู่ซินบอกสารถีให้มุ่งไปวัดหรงฝู ดังที่ฮวาชีเยว่เคยกล่าวเอาไว้ว่า้าพบไต้ซือเสวียนจี
วัดหรงฝูโด่งดังขึ้นนับแต่ไต้ซือเสวียนจีเข้ามาจำวัด วัดน้อยแห่งนี้มักเปี่ยมไปด้วยเสียงสนทนาและบรรยากาศของความตื่นเต้น มีผู้แสวงบุญเดินทางเข้าออกนับไม่ถ้วน
ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน วัดหรงฝูก็โด่งดังเท่าเทียมกับวัดหานเยว่ที่เก่าแก่แห่งนั้นแล้ว
วัดหรงฝูตั้งอยู่ที่ตีนเขาไป๋หลี่ด้านนอกเมืองหลวง มีถนนปูด้วยหินสีน้ำเงิน น้ำสีฟ้ากระเพื่อมไหวในสระบัว ทิวทัศน์ระหว่างทางเต็มไปด้วยต้นหลิว ทางวัดเต็มไปด้วยสายธารผู้คนไม่ขาดสาย
วัดหรงฝูเป็เพียงวัดเล็กทว่ามีผู้มาเยือนเนืองแน่น แม้ฮวาชีเยว่จะมีชื่อเสียงไม่ดี ถึงกระนั้นนางก็ยังมาจากตระกูลที่ดี จึงมีพระหนุ่มรูปหนึ่งนำทางนางผ่านประตูหลัง เข้าพบไต้ซือเสวียนจี
พบไต้ซือคราวหนึ่งคิดราคาสิบตำลึงเงิน แพงเกินไปสำหรับครอบครัวคนทั่วไป
ดังนั้นผู้แสวงบุญโดยมากจึงเนืองแน่นอยู่ที่ประตูหลัง หวังจะได้เห็นไต้ซือเสวียนจีสักแวบหนึ่ง
ฮวาชีเยว่และโหย่วชุ่ยเดินเข้าไปในห้องโถงด้านหลังพร้อมกัน จึงได้เห็นพระในจีวรเขียวยืนอยู่เบื้องหน้าศาลากลางน้ำ สายลมเย็นฉ่ำพัดชายจีวรเบาๆ
“ไต้ซือเสวียนจี นี่คือคุณหนูสกุลฮวาขอรับ”
ฮวาชีเยว่ส่งเงินสิบตำลึงให้พระหนุ่ม เมื่อหันหน้าไปก็เห็นไต้ซือเสวียนจี เขามีคิ้วหนา ดวงตาใหญ่ แม้จะโกนหัวแล้ว ทว่าก็ยังดูหล่อเหลาถึงที่สุด
“โหย่วชุ่ย เ้าออกไปได้แล้ว ข้ามีเื่ต้องคุยกับไต้ซือ”
ฮวาชีเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ทว่าโหย่วชุ่ยส่ายหน้าทันที นางไม่อาจปล่อยคนไว้เพียงลำพังกับพระรูปนี้ได้ มิเช่นนั้นหากมีข่าวลือออกไป ชื่อเสียงคุณหนูของนางคงแปดเปื้อนแล้ว
ฮวาชีเยว่ทำได้เพียงให้โหย่วชุ่ยยืนไกลออกไป นางสนทนากับไต้ซือเสวียนจีชั่วครู่ จากนั้นจึงเดินยิ้มออกจากประตูไปพร้อมกัน
โหย่วชุ่ยตกตะลึง นางไม่ได้ยินว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่ยามนี้ไต้ซือเสวียนจีถึงกับส่งนางกลับด้วยตนเอง! ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!
แม้ผู้คนจะเข้าเยี่ยมไต้ซือเสวียนจีเพื่อให้เขาดูดวงให้ ทว่าเขาไม่เคยปฏิบัติต่อผู้แสวงบุญหญิงเช่นนี้มาก่อน
ไต้ซือเสวียนจีและฮวาชีเยว่เดินออกจากประตูหลังพร้อมกันก่อให้เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้แสวงบุญ พวกเขาส่งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ ล้วนแต่้าเข้าใกล้ไต้ซือ
แต่พวกเขากลับถูกพระที่มีกำลังกายแข็งแรงหลายสิบคนเข้ามาหยุดเอาไว้ก่อน
“ประสกเดินระวังด้วย จำไว้ให้รับเลี้ยงเด็กชายที่เกิดในเดือนกุมภาพันธ์เป็ลูกบุญธรรม เขาจะช่วยเ้าให้พ้นจากภัยพิบัติ ทำให้เ้าได้แต่งสามีที่ดี!”
เสียงของไต้ซือเสวียนจีไม่ดัง ทว่าผู้แสวงบุญมากมายต่างได้ยินกันทั่ว
“ขอบคุณไต้ซือเสวียนจีเ้าค่ะ ข้าจะจำไว้”
ฮวาชีเยว่โค้งกายแล้วจากไปพร้อมโหย่วชุ่ยที่มีสีหน้าสับสน ผู้แสวงบุญต่างพูดถึงนาง พวกเขาไม่ค่อยได้พบนางนัก หากก็ล้วนรู้สึกว่าคุณหนูผู้งดงามสงบนิ่งผู้นี้ ดูไม่คล้ายคนขี้ขลาดไร้ประโยชน์เลยแม้แต่น้อย