ช่วยดูแลทังหงเอินไม่กี่วันย่อมไม่เป็ไรอย่างแน่นอน
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานสามารถทำอาหารได้ ตัวเธอจะไปเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกับที่หลิวหย่งเสนอตัวเข้าบ้านหยวนหงกังรองผู้จัดการโรงงานฝ้ายแห่งชาติเพื่อช่วยพ่อแม่ของเขาทำงาน เมื่อคนเรา้าสิ่งใด ก็อย่าหวงความทุ่มเทของตนเอง ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวหย่งปฏิบัติเื่ประเภทนี้ได้อย่างเป็ปกติ ทั้งสองคือนักธุรกิจผู้มีใจทะเยอทะยาน แม้เมื่อก่อนหลิวเฟินคือหญิงชนบทผู้ซื่อตรงสุจริต ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ถึงขั้นส่งมารดาไปเป็แม่บ้านให้คนอื่นเพื่อแลกกับผลประโยชน์
ให้หลิวเฟินไปดูแลทังหงเอิน เธอจะสบายกายสบายใจได้หรือ?
ทว่าการปฏิเสธทันทีก็ดูแล้งน้ำใจเหลือเกิน ทังหงเอินเองก็ช่วยเหลือโดยไม่ได้ประโยชน์ใดจากเธอเช่นกัน ของฝากประจำท้องถิ่นเล็กน้อยจะซื้อท่านนายกเทศมนตรีได้เชียวหรือ? นี่เขาล้มหมอนนอนเสื่อจนเข้าโรงพยาบาลแล้ว โรคกระเพาะคราวนี้คงอาการหนักทีเดียว ถ้าหาคนที่เหมาะสมได้ เลขาเผิงผู้สูงส่งเหนือมวลชลทั้งปวงไม่มีทางเอ่ยปากต่อเซี่ยเสี่ยวหลานเด็ดขาด
เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังสงวนท่าทีของตน ถึงให้หลิวเฟินเป็ผู้ตัดสินใจเอง
หลิวเฟินก็ไม่รู้เช่นกันว่าการดูแลนายกเทศมนตรีมีกฎเกณฑ์อะไร งานอื่นๆ เธอไม่จำเป็ต้องทำ แค่ช่วยทำอาหารเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นแม่จะลองดู”
ทำอาหารส่งไปโรงพยาบาลก็พอ เธอไม่ต้องพบหน้าคุณผู้ชายทังด้วยซ้ำ
แต่ของที่หลิวเฟินทำได้มีเพียงของธรรมดาพวกนั้น เธอจำต้องฝืนใจทำอาหารประจำบ้านของเขตอวี้หนาน
เลขาเผิงบอกว่าอาหารการกินของทังหงเอินต้องรสอ่อน นอกจากโจ๊กก็คือบะหมี่ หลิวเฟินส่งของพวกนี้ไปโดยไม่สะดวกใจด้วยซ้ำ
ทว่าหลังจากส่งไปสองมื้อ การตอบกลับที่เลขาเผิงมอบให้ไม่เลวทีเดียว เซี่ยเสี่ยวหลานถึงกับรู้สึกว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าทังหงเอินจะชอบกินอาหารพื้นๆ ของอวี้หนานด้วย? ทังหงเอินไม่มีสำเนียงอวี้หนานแม้แต่น้อย น่าจะไม่ใช่คนอวี้หนานนี่นา?
เซี่ยเสี่ยวหลานยุ่งจนหัวหมุนไม่ต่างจากลูกข่าง เธอกับหลิวหย่งไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมทังหงเอินหนึ่งหน ทว่าทังหงเอินกำลังพักผ่อนอยู่
เลขาเผิงพูดเป็นัยว่าหัวหน้า้าพักฟื้นอย่างสงบ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ละอายเกินกว่าจะไปรบกวนอีก
ทังหงเอินกำลังพักฟื้นในโรงพยาบาล ส่วนหลิวเทียนเฉวียนผู้พบกันครั้งเดียวกลับติดต่อกับ ‘หย่วนฮุย’ บ่อยครั้ง นัดหลิวหย่งออกไปกินดื่มหลายรอบ หลิวหย่งเหลือเพียงแต่ควักหัวใจออกมาบอกว่าตนเองรับผิดชอบโครงการขนาดใหญ่อย่าง ‘โรงแรมหนานไห่’ ไม่ไหว แต่หลิวเทียนเฉวียนกล่าวว่าเงินไม่ใช่ปัญหา
“น้องหลิว สิ่งสำคัญคือพวกเราสองบริษัทร่วมงานกัน คนหนึ่งออกเงิน คนหนึ่งออกแรง พอเอาโครงการ ‘โรงแรมหนานไห่’ มาได้ มีกำไรแล้วทุกคนก็แบ่งกันใช่ไหมล่ะ!”
หลิวหย่งอธิบายไปก็เสียเปล่า
หากเขาพูดว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทังหงเอินจริงๆ ทังหงเอินก็ดันทักทายเซี่ยเสี่ยวหลานต่อหน้าคนนอกไปเสียแล้ว
อีกทั้งตอนนี้หลิวเฟินน้องสาวของเขาถือว่าเป็แม่บ้านชั่วคราวของทังหงเอิน?
นี่มันความสัมพันธ์อะไรกัน!
“รับปากเขาไปก่อนเถอะจ้ะ ตราบใดที่ไม่ลงสัญญา ก็เป็แค่การพูดปากเปล่าเท่านั้น รอจนเปิดประมูลโครงการของ ‘โรงแรมหนานไห่’ ลุงค่อยดูสถานการณ์อีกที”
สำหรับโครงการตกแต่งภายในของโรงแรมระดับห้าดาว นอกจาก ‘หย่วนฮุย’ จะมีคุณสมบัติไม่ตรงตามมาตรฐาน หลิวหย่งและเซี่ยเสี่ยวหลานก็รวบรวมเงินมากขนาดนี้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน โรงแรมระดับห้าดาวหนึ่งแห่ง แม้จะเป็ในปี 1984 อย่างไรก็ตามงานตกแต่งภายในก็ใช้เงินสูงถึงหลักสิบล้านอยู่ดี จับเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหย่งมัดรวมกันจำนำให้ธนาคารยังกู้เงินจำนวนมากขนาดนั้นไม่ได้เลย
พิจารณาแค่คุณวุฒิของหย่วนฮุย ไม่มีกระทั่งคุณสมบัติในการเข้าร่วมประมูลด้วยซ้ำ
ทั้งบริษัทหัวเจี้ยนและหน่วยงานก่อสร้างหลายแห่งของหนานทงต่างจับจ้องเนื้อชิ้นโตนี้ แม้ ‘หย่วนฮุย’ อยากโชคดีได้งานอย่างโครงการตกแต่งภายในบ้านพักรับรองอีกครั้งก็เป็ไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยคิดถึงโครงการ ‘โรงแรมหนานไห่’ บ้านพักรับรองไม่เหมือนกับโรงแรมห้าดาว หลิวหย่งไม่มีแม้แต่ช่องทางหาวัสดุจากต่างประเทศเ่าั้ ทักษะของช่างตกแต่งภายในก็ไม่ได้มาตรฐาน และการออกแบบก็อาศัยมือใหม่เช่นเซี่ยเสี่ยวหลานจัดการไปอย่างส่งๆ ไม่ได้อีกแล้ว
เธอสามารถร่างภาพแบบตกแต่งภายในจากประสบการณ์ผ่านหูผ่านตาในชาติก่อนได้ แต่งานวางระบบระบายอากาศและทำความร้อนของโรงแรมห้าดาวนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานจัดการไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เครื่องปรับอากาศในเวลานี้ติดตั้งอย่างไร ถือว่าเป็สิ่งที่ ‘สาขาวิชาการวางระบบปรับอากาศ’ ต้องสอน นี่ไม่ใช่การติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในครัวเรือน ที่เจาะรูบนกำแพงก็เพียงพอแล้ว
หลิวเทียนเฉวียนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างหย่วนฮุยและทังหงเอินมากกว่า ยืมเปลือกนอกของหย่วนฮุย รับโครงการ ‘โรงแรมหนานไห่’ จากนั้นค่อยแบ่งกำไรให้หย่วนฮุย... ดูเหมือนหย่วนฮุยจะได้กำไรโดยไม่จำเป็ต้องกังวลสักเท่าไร?
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดี นี่เป็เื่ที่หย่วนฮุยไม่สามารถทำได้เลย
----------------------------------------
ณ ปักกิ่ง
หวังก่วงผิงกับหร่านซูอวี้ออกจากไร่และเดินทางกลับปักกิ่ง หวังเจี้ยนหัวเอาแต่ดีอกดีใจ เดินทางไปฮาร์บินเพื่อรับบิดามารดากลับปักกิ่งด้วยตนเอง
ทว่าเขาไม่ได้คิดเื่หาที่อยู่อาศัยให้เรียบร้อย บ้านที่บ้านหวังเคยอาศัยโดนรัฐยึดคืนไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้งานของหวังก่วงผิงยังไม่ถูกยืนยันอย่างแน่ชัด การจัดสรรบ้านของหน่วยงานใหม่ย่อมยังมาไม่ถึงเช่นกัน หากหวังเจี้ยนหัวคิดรอบคอบถี่ถ้วนดี ก็ควรหาที่อยู่ให้ได้ก่อนไปฮาร์บิน
เขากับเซี่ยจื่ออวี้พักในหอของวิทยาลัยได้ ่ปิดภาคเรียนมีนักศึกษาบางส่วนที่ไม่ออกจากวิทยาลัย ทั้งสองสามารถพักในหอพักวิทยาลัยตลอดเวลาได้ แต่หวังก่วงผิงกับหร่านซูอวี้จะเบียดเสียดในห้องด้วยกันได้หรือ?
แม้จะดูแคลนเซี่ยจื่ออวี้ ทว่าตอนนี้ยังคงต้องพึ่งเซี่ยจื่ออวี้อยู่ดี
เงินสำหรับพักในบ้านพักมาจากเซี่ยจื่ออวี้
หลังจากอาศัยในบ้านพักหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดงานใหม่ของหวังก่วงผิงก็ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
บ้านหวังทุกคนล้วนพึงพอใจมาก แน่นอนว่างานนี้ไม่ได้ต่ำต้อย แต่แตกต่างจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของหวังก่วงผิงโดยสิ้นเชิง
“ฝ่ายอุดมศึกษาประจำกระทรวงศึกษาธิการ?”
ต่อให้ไปหน่วยงานรัฐวิสาหกิจก็ดีกว่ากระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการคือหน่วยงานที่สร้างผลงานได้ยาก เมื่อมีผลงาน นั่นแสดงว่าคุณเหมาะกับงานด้านการศึกษา และจะได้รับการส่งเสริมเลื่อนขั้นจากภายใน... ก็หยุดแค่ตรงนี้นี่แหละ! สวนทางกับความทะเยอทะยานอันสูงลิบลิ่วของหวังก่วงผิงยิ่งนัก
“เหล่าจาง การจัดสรรงานนี่น่ะ มันพิกลไปหน่อยหรือเปล่า?”
หวังก่วงผิงระแวงสงสัยไปทั่ว คิดเสมอว่ามีคนกำลังแอบเล่นเล่ห์กลอยู่ ส่วนใครเป็ผู้ลงมือนั้น ไม่พ้นผู้คนที่เขาเคยทำให้ขุ่นข้องหมองใจในอดีตแน่ ตอนนั้นหวังก่วงผิงเลื่อนขั้นเร็ว ในขณะที่กำลังรุ่งโรจน์นั้นขัดใจผู้คนไม่น้อย มิเช่นนั้นคนอื่นจะกลับเข้าเมืองมานานในขณะที่เขายังถูกลืมเลือนอยู่ในไร่ที่ฮาร์บินได้อย่างไร หวังก่วงผิงรู้ตัวว่าต้องมีคนกำลังขัดขวางเขากลับเมืองอย่างแน่นอน!
เหล่าจางไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัดเหมือนกัน “ก่อนหน้านี่ไม่ใช่ไปกระทรวงศึกษาแน่ ตอนดำเนินการวางตำแหน่งงานไม่รู้ว่ามีข่าวลือมาจากที่ไหน บอกว่านายไม่ผ่อนปรนมาตรฐานให้ลูกชายแม้ต้องอยู่ท่ามกลางสภาพชีวิตที่ยากลำบากในไร่ ทำให้เจี้ยนหัวสอบติดมหาวิทยาลัยในปักกิ่งทั้งที่อยู่ในสถานที่ห่างไกล จึงมีข่าวลือว่านายมีความรู้ความเข้าใจในงานด้านการศึกษา”
หวังก่วงผิงอยากสาปส่ง!
เจี้ยนหัวสอบติดมหาวิทยาลัยเกี่ยวข้องอะไรกับเขา คนหนึ่งอยู่ฮาร์บิน อีกคนอยู่มณฑลอวี้หนาน ติดต่อจดหมายนานๆ ครั้งโดยคั่นด้วยพันขุนเขาหมื่นแม่น้ำ หวังก่วงผิงเองก็ไม่ได้มีการศึกษาสูงนัก ยังควบคุมดูแลการศึกษาของลูกชายหวังเจี้ยนหัวจากทางไกลได้อีกหรือ?
เื่ราวมาถึงขั้นนี้แล้ว คำสั่งจากองค์กรมิอาจคัดค้านได้ หวังก่วงผิงทำได้เพียงกล้ำกลืนยอมรับไปทำงานในฝ่ายอุดมศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ทว่าหร่านซูอวี้ไม่คิดมาก “ฝ่ายอุมศึกษาดูแลเื่มหาวิทยาลัยใช่หรือเปล่า? หน่วยงานนี้ก็ดีทีเดียวนะ คุณสามารถรับประกันอนาคตของเจี้ยนหัวได้!”
นักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวนมากมายขนาดนั้น ถูกจัดสรรให้บรรจุงานที่ใด จุดเริ่มต้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ปีนี้หวังก่วงผิงอายุ 50 ปี จะทำงานได้อีกกี่ปีกัน?
หวังเจี้ยนหัวจะจบการศึกษาตอนอายุเกือบสามสิบปีเข้าไปแล้ว เทียบกับคนที่เข้าทำงานั้แ่อายุ 20 กว่าปี เห็นได้ชัดว่าเขานั้นรั้งท้ายอยู่หลายปี หากหวังก่วงผิงทำงานในฝ่ายอุดมศึกษากระทรวงศึกษาธิการย่อมไม่เหมือนกัน สามารถเลือกสถานที่บรรจุงานดีๆ สักแห่งแทนหวังเจี้ยนหัว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชดเชยเวลาที่หายไปหลายปีนี้ให้ได้!
เมื่อหน้าที่การงานแน่นอน ย่อมจะจัดสรรบ้านให้หวังก่วงผิงใหม่อีกครั้ง
เซี่ยจื่ออวี้ได้ยินว่าว่าที่พ่อสามีจะทำงานในฝ่ายอุดมศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ในใจเธอก็เริ่มคิดวางแผน
ฝ่ายอุดมศึกษา?
มหาวิทยาลัยหัวชิงอยู่ในความดูแลของฝ่ายอุดมศึกษาหรือไม่?