ทังหงเอินไม่ใช่คนในพื้นที่เผิงเฉิง เพียงมารับตำแหน่งในเผิงเฉิงเท่านั้น จะอาศัยอยู่คนเดียวก็ไม่แปลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเวลาของการดำรงตำแหน่งนั้นสั้น
การงานของคนในครอบครัวอาจยังไม่ได้โยกย้ายมา เมื่อแม่บ้านหยุดทำงาน นายกเทศมนตรีทังก็กลายเป็แค่คนน่าสงสารที่ไม่มีใครดูแล... ถ้าเขายินยอม เกรงว่าผู้คนที่แย่งชิงกันเพื่อมาดูแลนายกเทศมนตรีอาจเหยียบธรณีประตูบ้านทังหงเอินจนไม่เหลือชิ้นดี แต่เห็นได้ชัดว่าทังหงเอินไม่้าป่าวประกาศออกไปว่าตัวเขาป่วย
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ก็ช่าง พอได้ยินเลขาเผิงพูดเช่นนี้ เธอย่อมต้องแสดงความห่วงใย
ทังหงเอินช่วยเหลือเธอไว้อย่างใหญ่หลวง โครงการของบ้านพักรับรองไม่เพียงแต่ทำกำไรร่วมแสน อีกทั้งคืนนี้ทังหงเอินไม่กลัวข่าวลือและเริ่มสนทนากับเซี่ยเสี่ยวหลานก่อน เป็การยืนยันข่าวลือว่าเขาคือผู้สนับสนุนของ ‘หย่วนฮุย’ แล้ว
“เลขาเผิง ให้พวกเราตามไปดูแลดีไหมคะ อาการปวดท้องของคุณอาทังดีขึ้นแล้วพวกเราก็กลับ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานไปตัวคนเดียวไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะถึงเวลาสิ่งที่แพร่กระจายก็คือคำครหาเื่ชู้สาวระหว่างเธอกับทังหงเอิน
เธอไปพร้อมกับหลิวเฟินได้ เนื่องจากหลิวหย่งเองก็คละคลุ้งด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงให้หลี่ต้งเหลียงพาหลิวหย่งกลับไปก่อน
บนหน้าผากของทังหงเอินมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาแน่นขนัด ดูเหมือนอาการเ็ปในช่องท้องรุนแรงกว่าเดิม
เลขาเผิงเห็นว่าเ้านายไม่ส่งเสียงคัดค้าน จึงตกลงให้เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินขึ้นรถ เลขาเผิงไม่ใช่เลขาในชีวิตประจำวัน ลูกผู้ชายดูแลทังหงเอินได้ไม่พิถีพิถันขนาดนั้น ให้ทังหงเอินรับประทานยากระเพาะตอนอยู่บนถนน ขณะรถเคลื่อนตัวไปถึงกลางทาง ทังหงเอินก็วานเสี่ยวหวังหยุดรถ พุ่งตัวเข้าข้างทางและอาเจียนสุรากับยากระเพาะออกมาพร้อมกัน
อาเจียนจนกระทั่งในกระเพาะไม่มีอะไรเหลือ พอออกมาเป็น้ำย่อยทั้งหมดแล้วทังหงเอินถึงกลับขึ้นรถมาโดยมีเลขาเผิงช่วยพยุง
หลังจากอาเจียนเขาก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าใบหน้ายังคงซีดเซียว
อาหารในกระเพาะออกมากับการอาเจียนหมดแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานวิ่งไปริมทางและเคาะประตูหลายๆ บ้านก่อนจะขอน้ำร้อน ให้ทังหงเอินบ้วนปาก ดื่มน้ำร้อนอีกเล็กน้อยเพื่อบรรเทาอาการ รถยนต์แล่นมาถึงที่อยู่ของทังหงเอิน ที่นี่ไม่ใช่อาคารหรืออะไร เขตพิเศษกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง ที่อยู่อาศัยของทังหงเอินก็คือบ้านธรรมดา จากตำแหน่งของทังหงเอิน บ้านของเขาจึงมีขนาดใหญ่กว่าบ้านของข้าราชการทั่วไปคนอื่นๆ เป็บ้านสามห้องนอนนั่นเอง
บ้านหลังนี้ไม่เหมือนบ้านเลยจริงๆ
ไม่ได้หมายความว่าไร้การตกแต่งหรือทรุดโทรมเกินไป กระเบื้องเซรามิกสีขาวที่ปูบนพื้นเงาวาวมาก พอเปิดไฟก็พบว่าสะอาดเอี่ยมจนสะท้อนเงาได้ เพียงแต่ไม่ว่ามุมไหนล้วนเย็นะเื ไม่มีพลังชีวิตแม้แต่นิดเดียว เหมือนบ้านพักรับรองสำหรับพักพิงชั่วคราว
เลขาเผิงกับเสี่ยวหวังทั้งสองคนส่งทังหงเอินไปห้องนอน จากนั้นวิ่งออกมาอธิบายให้หลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานฟัง
“ปกติจะมีแม่บ้านคอยทำอาหาร เวลาอยู่ที่บ้านหัวหน้ากินข้าวก็ไม่เยอะด้วย แต่ว่าสองสามวันนี้แม่บ้านเธอลางาน... เช่นนั้นคืนนี้ผมจะอยู่ดูแลหัวหน้าเอง ขอรบกวนพวกคุณช่วยทำอาหารให้หัวหน้าทานรองท้องที พรุ่งนี้ผมจะจัดคนมาเข้างานแทน”
ฝีมือการทำอาหารของเลขาเผิงก็คือพอหุงข้าวให้ไม่ไหม้เท่านั้น
ส่วนฝีมือการทำอาหารของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นดีกว่าเลขาเผิงเล็กน้อย แต่ถึงแม้จะดีกว่าทว่าก็มีขีดจำกัด โชคดีที่หลิวเฟินยังอยู่ หลังได้รับอนุญาตจากเลขาเผิง หลิวเฟินจึงเดินปรี่เข้าไปในห้องครัว
เธอใช้เตาแก๊สหุงต้มไม่เป็ แต่เธอทำอาหารเป็นี่นา
“ท้องไส้ไม่ดี กินข้าวสวยไม่ได้ เช่นนั้นทำบะหมี่ดีกว่า”
หลิวเฟินมีประสบการณ์พอสมควร เซี่ยเสี่ยวหลานเดาว่าสั่งสมมาจากการที่เคยดูแลเซี่ยต้าจวินมาก่อน ใน ‘ความทรงจำ’ ของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้น เซี่ยต้าจวินมักดื่มสุราเมาหัวราน้ำบ่อยๆ ทั้งอาเจียนทั้งอาละวาด และยังต้องให้หลิวเฟินเก็บกวาดอีก
ห้องครัวของบ้านทังหงเอินสะอาดมาก แม่บ้านที่จ้างมาช่างทุ่มเทยิ่งนัก ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าทำพลาดหรอก แค่ลางานพอดีเท่านั้น
หลิวเฟินหยิบแป้งในตู้ออกมา ก่อนจะทำบะหมี่หนึ่งชามอย่างคล่องแคล่ว ตั้งใจต้มให้เส้นบะหมี่นิ่มกว่าปกติเล็กน้อย นอกจากเหยาะซีอิ๊วนิดหน่อยแล้วเธอก็ไม่ใส่อย่างอื่นเลย เลขาเผิงยกเข้าไป ทังหงเอินรับประทานไปมากกว่าครึ่งชาม
คราวนี้เขารับประทานยาอีกรอบ ทว่าไม่ได้อาเจียนออกมาแล้ว
ทังหงเอินยังอุตส่าห์ปลุกใจขึ้นมาเตือนเสี่ยวหวังว่าอย่าลืมไปส่งเซี่ยเสี่ยวหลานกับมารดาด้วย “ดึกดื่นแล้ว อย่ารบกวนเวลาพวกเธอนานเกินไป”
นี่เป็เพราะมีคนขับรถกับเลขาอยู่ มิเช่นนั้นต่อให้ทังหงเอินไม่สบายแค่ไหนก็ไม่ยินยอมให้เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินมาบ้านเขากลางดึกแน่ เขาตัวตรงไม่หวั่นเงาเฉ [1] ทว่าข่าวลือย่อมส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้หญิงเหลือเกิน! อีกอย่างพวกเธอก็ไม่ใช่แม่บ้านของเขา ไม่จำเป็ต้องดูแลเขาเหมือนเป็หน้าที่
ก่อนกลับไป หลิวเฟินบอกข้อควรระวังแก่เลขาเผิงด้วย เมื่อครู่เธอเห็นว่ามีซานเย่าจำนวนหนึ่งกองอยู่ที่มุมห้องครัว จึงหาไชเท้าออกมาอีกหัว หั่นเป็ลูกเต๋าและตุ๋นกับข้าวไว้ในหม้อ
“ตอนเช้ากินโจ๊กสักชามได้ แล้วก็อย่ากินของเผ็ดหรือของมันจัดนะคะ”
ถ้านายกทังรับประทานมากไปก็อาจปวดท้องได้เช่นกัน จริงอยู่ที่หลิวเฟินยำเกรงบุคคลใหญ่โตมาก ทว่าคราวก่อนเธอก็เคยต้มโจ๊กให้ทังหงเอินแล้ว คราวนี้เธอจึงจัดการได้อย่างสบายๆ
เลขาเผิงไม่สนใจที่จะคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเ้าเล่ห์เพทุบายหรือไม่แล้ว เ้านายเต็มใจเชื่อ และคนเขาก็สร้างความรู้สึกดีใน่เวลาสำคัญอยู่เรื่อย เลขาเผิงทำได้เพียงถอนใจว่าเซี่ยเสี่ยวหลานโชคดี
ระหว่างทางกลับไป เซี่ยเสี่ยวหลานอดถามออกไปไม่ได้
“คุณอาทังปวดท้องบ่อยไหมคะ?”
“บางครั้งหัวหน้ายุ่งมากจนละเลยมื้ออาหาร คำพูดของแม่บ้านไม่ได้ผลเหมือนกัน ไม่แปลกที่ท้องไส้จะเกิดโรคไม่ใช่รึ...”
เสี่ยวหวังพูดมาสองสามประโยคแล้วก็ไม่พูดอีก ในฐานะเลขาและคนขับรถอย่าได้พูดมากเกินควร เซี่ยเสี่ยวหลานรู้เห็นว่าหัวหน้าปวดท้องแล้ว ดังนั้นเพียงคำพูดไม่กี่คำนี้ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ถ้ามากความต่อ ก็จะเกี่ยวข้องกับเื่ส่วนตัวของหัวหน้าแทน
เซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนกำลังใช้ความคิด
คำเตือนของแม่บ้านไม่เป็ผล เช่นนั้นคนในครอบครัววางใจให้เขาทำงานในเผิงเฉิงตัวคนเดียวได้อย่างไรกัน?
ตากฝนก็ไข้ขึ้น ดื่มสุราก็ปวดท้อง ร่างกายนี้ไม่แข็งแรงเอาเสียเลย เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้จุ้นจ้านเื่ชาวบ้าน ทว่าเธอลำบากมากกว่าจะกอดต้นขานี้ได้ จะดีเพียงใดถ้าเ้าของต้นขาดำรงตำแหน่งอย่างมั่นคง หากร่างกายพังก่อนจะทำเช่นไร! เลขาเผิงบอกว่าทังหงเอินอาศัยอยู่คนเดียว และครั้งก่อนเสี่ยวหวังก็ไม่ได้ติดต่อครอบครัวของทังหงเอินด้วย... จากการสังเกตของเซี่ยเสี่ยวหลานเมื่อครู่ บ้านหลังนั้นไม่มีร่องรอยของผู้อื่นโดยสิ้นเชิง ไม่วางรูปภาพสักรูป นี่ทังหงเอินคงไม่ใช่คนโสดหรอกนะ?
เลขาเผิงบอกว่าแม่บ้านลางาน และเขาจะหาคนมาช่วยดูแลหัวหน้าโดยเร็วที่สุด
----------------------------------------
วันต่อมาหลังทังหงเอินตื่นมาก็รับประทานโจ๊กเหมือนเดิม
าแเล็กน้อยไม่ทำให้เขาออกจากสมรภูมิรบได้ ทังหงเอินเข้าทำงานตามปกติ ใครจะรู้ว่าเขาเกิดอาเจียนอีกครั้งหลังรับประทานมื้อกลางวันในโรงอาหารของหน่วยงาน
คราวนี้จึงจำเป็ต้องไปโรงพยาบาล อันดับแรกคือตรวจร่างกาย อีกทั้งส่องกล้องในทางเดินอาหาร หมอบอกว่าทังหงเอินมีแผลในกระเพาะอาหารที่ค่อนข้างรุนแรง ต้องตรวจเพิ่มอีกขั้นหนึ่ง เพื่อตัดความเป็ไปได้ที่จะแผลจะลุกลามจนกลายเป็มะเร็ง
เลขาเผิงเหม่อลอยขณะพิงผนังโรงพยาบาล
หัวหน้ากำลังอยู่ใน่วัยหนุ่มแน่นชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม จะเป็มะเร็งได้อย่างไร?
“พวกคุณต้องตรวจอย่างชัดเจนนะ จะผิดพลาดไม่ได้”
ทังหงเอินรู้สึกไม่สบายท้อง จนอาเจียนออกมาบ่อยๆ ทำให้เขาไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น เลขาเผิงร้อนรนจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
สารถีเสี่ยวหวังพูดกับเขาเป็การส่วนตัว “เื่นี้ต้องบอกพวกเซี่ยเสี่ยวหลานเธอไหม?”
เลขาเผิงคิดว่าเสี่ยวหวังคงสติแตกไปแล้ว ในขณะที่ผลการตรวจร่างกายยังไม่ออกมา จะสกัดกั้นข่าวคราวยังไม่ทันด้วยซ้ำ นี่คิดจะบอกพวกเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยตัวเองอีก? เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ใคร คนอื่นๆ พวกนั้นไม่รู้ความจริงถึงได้เผยแพร่ข่าวไปอย่างมั่วซั่วว่าเป็ญาติของหัวหน้า อย่างไรก็ตามแม้คนอื่นไม่รู้ แต่เสี่ยวหวังจะไม่รู้ได้หรือ!
เสี่ยวหวังถูกตำหนิยกใหญ่ เขารู้สึกน้อยใจเหลือเกิน
“ผมเห็นเ้านายเขาชอบกินของที่แม่เซี่ยเสี่ยวหลานทำทีเดียว รสชาติแบบอวี้หนานใช่ไหมล่ะ”
เสี่ยวหวังรู้ว่าทังหงเอินเคยอยู่ที่อวี้หนานมาก่อน ดังนั้นเลขาเผิงย่อมรู้เหมือนกันอย่างแน่นอน
นี่เป็วิธีที่ลองทำดูได้
ใครก็ทำอาหารอย่างโจ๊กซานเย่าหัวไชเท้าได้ทั้งนั้น ทำไมหัวหน้ากินของที่หลิวเฟินทำแล้วไม่อาเจียน แต่ของคนอื่นกลับกินไม่ได้?
เลขาเผิงคิดว่าเป็เหตุผลทางจิตใจของหัวหน้า คิดถึงรสชาติแท้ๆ ของอวี้หนานแล้ว? เป็บะหมี่เหมือนๆ กัน แต่ทางเผิงเฉิงนี้นิยมกินบะหมี่น้ำด่าง [2] เส้นบาง ส่วนทางอวี้หนานนั้นกลับเป็บะหมี่นวดมือ
เมื่อได้ฟังคำขอของเลขาเผิงแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานก็ขมวดคิ้วก่อนจะถามหลิวเฟิน
“แม่ แม่อยากไปไหม?”
เชิงอรรถ
[1]身正不怕影子斜 ตัวตรงไม่หวั่นเงาเฉ หมายถึง เมื่อใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงแล้วก็ไม่จำเป็ต้องกลัวคำครหาว่าร้ายใด
[2]碱水面 บะหมี่น้ำด่าง คือ บะหมี่ชนิดหนึ่ง เติมด่างลงในแป้งเพื่อกำจัดรสชาติเปรี้ยว ทำให้เส้นบะหมี่พองตัวดี เป็สีขาวนวลและละมุนนุ่มลิ้น