นางเลิกคิ้วมองผู้มาใหม่ “เห็นบ้านของหม่อมฉันเป็บ้านตัวเองไปแล้วจริงๆ หรือเพคะ? คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป”
หานอ๋องผู้สวมอาภรณ์สีแดงเม้มปากยิ้มบางๆ เขาแกว่งถ้วยชาในมือเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดเรียบๆ เพียงประโยคหนึ่งว่า “ข้าเป็ถึงอ๋องแห่งหานโจว ทั้งหานโจวนี้ถือเป็ของของข้า ข้าคิดอยากจะไปที่ใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น”
อวิ๋นซีได้ยินแล้วก็แทบอยากจะกระอักเื บุรุษผู้นี้ใช้ตำแหน่งตนมากดคนอื่นอีกแล้ว นางหัวเราะหึ “นั่นสิเพคะ พระองค์เป็ถึงอ๋องแห่งหานโจว ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ย่อมต้องเป็ที่ของพระองค์ด้วย เช่นนั้นหากผู้น้อยจะออกไปเองก็คงดีกว่าใช่หรือไม่เพคะ”
คนผู้นี้นิยมเผด็จการหมายจะที่อยู่ของผู้อื่นราวกับตนเป็ฝ่ายถูกเสียเหลือเกิน นั่นทำให้นางโกรธแทบตาย
ทว่าในตอนที่นางกำลังเตรียมตัวจะออกไปนี่เอง หานอ๋องก็สะบัดชายแขนเสื้อ ประตูห้องจึงปิดลงทันที ขณะที่ตัวเขาเองเคลื่อนที่มาขวางอยู่ตรงหน้านางแทน จากนั้นก็หยุดมองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เ้านี่ จะรีบหนีไปถึงไหน? หรือกลัวว่าข้าจะกินเ้าหรือ? ”
อวิ๋นซีเห็นท่าทางโอหังของเขา จู่ๆ นางก็ไม่คิดจะจากไป และตัดสินใจที่จะยืนอยู่ที่เดิม ก่อนจะแย้มยิ้มมองคนตรงหน้า “กินหม่อมฉันหรือ? หากพระองค์ไม่กลัวว่าจะติดคอตาย เช่นนั้นก็เชิญเลยเพคะ”
เ้าคนถ่อยนี่ ในวันหน้าคงจะอาศัยฐานะที่ร่วมมือกันเพื่อบุกเข้ามาในห้องส่วนตัวของนางโดยไม่เกรงกลัวในสิ่งใดดังเช่นในวันนี้อีกใช่หรือไม่?
“วางใจเถิด เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะกินเ้าอย่างแน่นอน ส่วนตอนนี้… ก็เลี้ยงเอาไว้ก่อน” เขากล่าวยิ้มๆ ผลไม้ที่ยังไม่สุกงอม ต่อให้จะบังคับเด็ดลงมาได้ แต่ย่อมไม่อร่อยแน่ และเขาผู้นี้เป็คนที่เลือกกินเป็อย่างยิ่ง ทุกคนทั้งใต้หล้าล้วนรู้ดี
สำหรับคำพูดกำกวมของเขา อวิ๋นซีไม่ได้อยากจะคาดเดาต่อเลยสักนิด นางจึงทำเพียงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วรินชาดื่มไปหนึ่งอึก จากนั้นคิ้วงามก็ขมวดมุ่น “หลงจิ่งก่อนฤดูฝน [1] ”
นี่คือชาบรรณาการโดยแท้ นางจดจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน เป็การหัวเราะเยาะหยันที่หาใดเปรียบ “หานอ๋องช่างมีรสนิยมดีเหลือเกินเพคะ ขนาดมาหาข้าผู้น้อยก็ยังนำชามาเองด้วย” ชาชนิดนี้คือชาหลงจิ่งชั้นเลิศที่ปีปีหนึ่งจะเก็บเกี่ยวได้แค่ไม่กี่จิน [2] ทว่าหลังเก็บเกี่ยวมาได้ ชาจำนวนนั้นล้วนถูกขุนนางในพื้นที่นำไปถวายเป็เครื่องราชบรรณาการแด่องค์ฮ่องเต้ในพระราชวังเสียทั้งหมด
นอกจากนี้ เป็ที่ทราบกันดีว่าองค์ฮ่องเต้ขุ่นเคืองหานอ๋องเป็อย่างยิ่ง กระทั่งฮองเฮาเองก็คลับคล้ายว่าจะปล่อยพระโอรสที่รู้จักแต่กินดื่มและเล่นพนันผู้นี้ไปนานแล้ว ดังนั้นอวิ๋นซีจึงแน่ใจว่าชานี้ย่อมไม่ได้ถูกส่งมาจากเมืองหลวงอย่างแน่นอน
ดูท่าเื่ที่ท่านผู้นี้แอบซ่อนไว้จะไม่ใช่แค่เื่บุรุษลึกลับในชุดดำเท่านั้น ว่าแต่บุรุษชุดดำนั่นมีฐานะใด? ยิ่งกว่านั้นหลายปีมานี้เขาได้ตระเตรียมการอันใดเอาไว้แล้วบ้างขณะที่อยู่ในดินแดนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือนี้? หรือว่าเขาจะแอบซ่องสุมกำลังเพื่อสร้างฐานอำนาจไว้ลับหลังอยู่นานแล้ว และอำนาจนี้ก็อาจแผ่ขยายไปจนถึงแดน์ของมัจฉาแห่งแคว้นหนานเย่าที่มีชื่อว่าเจียงหนานแล้ว?
“ดูเหมือนว่าเื่ที่เสี่ยวซีซีรู้จะมีมากจริงๆ แค่จิบชาไปหนึ่งคำก็ยังรู้ได้ในทันทีเลยว่า นี่เป็สิ่งที่ข้านำมาเอง อีกทั้งเมื่อพิศจากท่าทางนี้ของเ้าแล้ว คงทราบแล้วเช่นกันว่านี่คือชาอะไร ข้าล่ะประหลาดใจเสียจริง เ้าที่เป็แค่หมอหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่กลับรู้ได้ว่านี่เป็ชาชนิดใด? ” จวินเหยียนในยามนี้เรียกได้ว่ายิ่งสนใจในตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่าการคาดเดาความเป็มาของสตรีผู้นี้ช่างน่าสนใจเสียยิ่งกว่าการดื่มสุรา
ทั่วทั้งร่างของนางั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับเป็ปริศนาแฝง ถึงขนาดที่เขายังเคลือบแคลงว่า นางอาจไม่ใช่อวิ๋นซี แต่เป็ผู้อื่นปลอมตัวมา ทว่าหากมองจากลักษณะต่างๆ ที่แสดงออกก็ดูไม่คล้ายจะเป็เช่นนั้น นางช่างเป็คนที่ขัดแย้งในตัวเองเสียจริง ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนงงในความไม่ชัดเจนนั้น
อวิ๋นซีรินชาต่อไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย แท้จริงแล้วหลงจิ่งก่อนฤดูฝนนี้เป็ชาที่โอวหยางเทียนหัวไม่โปรดปรานที่สุด แต่นั่นกลับเป็ชาที่นางชื่นชอบที่สุด เมื่อก่อนเพื่อเป็การเอาใจเขา นางจึงไม่เคยดื่มชาหลงจิ่งต่อหน้าเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อหวนนึกถึงตัวเองที่เคยยอมโอนอ่อนเอาใจคนผู้หนึ่งมากมายถึงเพียงนั้น เมื่อมาถึงตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตนช่างน่าเยาะหยันเสียจริง นางเงยหน้ามองจวินเหยียนแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยปากถาม “องค์ชาย คนตระกูลโอวหยางของพระองค์เป็คนแล้งน้ำใจเช่นนี้กันทุกคนเลยหรือไม่เพคะ? ”
คำถามที่ไร้ที่มาที่ไปที่ชัดเจนเช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับต้องเงี่ยหูฟังดีๆ ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยและไม่พอใจอยู่เล็กน้อยในเวลาเดียวกัน ก่อนจะตอบกลับไปอย่างประหลาดใจ “ทำไมหรือ? เสี่ยวซีซีชมชอบบุรุษจากตระกูลโอวหยางอยู่หรือ? ”
“หึ ออกไปเลยเพคะ” อวิ๋นซีแค่นเสียงเย็นอย่างไม่เกรงใจ “บุรุษตระกูลโอวหยางมีอะไรดี หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่า ทั่วหล้านี้มักไต่ถามว่าผู้ใดแล้งน้ำใจเป็ที่สุด ซึ่งนั่นคงไม่แคล้วให้ต้องเป็คนแซ่โอวหยางเช่นพวกท่านนี่แหละ หรืออย่างเช่น องค์รัชทายาทคนปัจจุบันท่านนั้น แล้วก็ยังมีหานอ๋องที่อยู่เบื้องหน้าหม่อมฉันผู้นี้อีกคนที่คิดว่าคงไม่ใช่คนดีอะไร”
นางที่เพิ่งพูดจบ คนตรงหน้าก็จ้องมองนางด้วยใบหน้างามเย้ายวนราวปีศาจที่กำลังเกรี้ยวกราดเล็กน้อย “นี่เ้าเอาข้าไปเปรียบกับโอวหยางเทียนหัว? แม่นาง เ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือ? ”
ในสายตาเขามีประกายเกรี้ยวกราดและจิตสังหารวาบผ่าน ซึ่งสำหรับประกายเกรี้ยวกราดนั้นมีขึ้นเพราะอวิ๋นซี ส่วนจิตสังหารนั้นเกิดขึ้นเพราะโอวหยางเทียนหัว และหากเป็ไปได้เขาเองก็หวังจริงๆ ว่าตนจะสามารถกระทำบางสิ่งต่อสตรีผู้นี้ได้ แต่ที่น่าเสียดายก็คือเขาทำไม่ลง
ใช่แล้ว นี่ถือเป็การทำใจไม่ได้ที่น่าตายนัก คิดไม่ถึงว่าตัวเขาผู้เป็หานอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วจะรักหยกถนอมบุปผา [3] กับเขาก็เป็ด้วยเช่นกัน
อวิ๋นซีเห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่าย ในใจก็เริ่มรู้สึกเกรงกลัว แต่ต่อให้จะต้องแพ้พ่ายก็จะมาแพ้ในเื่การวางท่ามิได้ อีกประการ ลึกๆ ในใจแล้วตัวนางยังลอบเป็กังวลว่าบุรุษผู้นี้อาจสังหารตนเสียเดี๋ยวนี้ ถึงกระนั้นนางก็ยังคงเงยหน้าประสานสายตากับเขาด้วยความดื้อรั้น “หรือว่ามิใช่เช่นนั้นเพคะ? หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่า กาลก่อนชายาองค์รัชทายาทเฉียวอวิ๋นซีได้กระทำหลายสิ่งเพื่อองค์รัชทายาทไปไม่น้อย ทว่า สุดท้ายแล้วเป็อย่างไรเล่า องค์รัชทายาทก็ยังมิวายแต่งสตรีอื่นเข้ามา ทำให้พระชายาทรงกริ้วจนสิ้นชีวี บุรุษเช่นนี้ ท่านยังจะบอกได้หรือว่าเขาเป็คนดีน่ะเพคะ”
“ต่อให้เขาจะไม่ใช่คนดี แต่ข้าผู้นี้หาได้ไปหาเื่เ้า เหตุใดจึงต้องด่าเหมารวมตัวข้าเข้าไปด้วย”
อวิ๋นซีลูบๆ จมูกแก้เขินแล้วจึงยิ้มกล่าว “หม่อมฉันพูดเช่นนั้นหรือ? เหมือนว่าหม่อมฉันจะยังไม่ได้ด่าผู้ใดอื่นเลยนะเพคะ”
จวินเหยียนแค่นเสียงเ็า เขาสะบัดชายแขนเสื้อ ยืนอยู่เบื้องหน้าเพื่อจ้องมองนาง “มีแค่สตรีและคนถ่อยที่เลี้ยงยาก [4] ”
“อันที่จริงสตรีนั้นเลี้ยงง่ายที่สุดนะเพคะ” นางพึมพำ “คนทั่วหล้าเอาแต่พูดเช่นนั้นว่ามีแค่สตรีและคนถ่อยที่เลี้ยงยาก ทว่าใครจะรู้บ้างว่าจริงๆ แล้วสตรีต่างหากที่เลี้ยงง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็สิ่งที่นาง้าก็หาได้มีมากมายอะไร เป้าหมายในชีวิตก็มีไม่มาก เพียงแต่เหล่าบุรุษต่างหากที่ตระหนี่ขี้เหนียว ไม่ยินยอมมอบให้ ทั้งยังคิดอยากจะกอบโกยสิ่งต่างๆ ไปจากสตรี”
“เหตุผลไร้สาระ” จวินเหยียนโต้กลับเสียงเข้ม
อวิ๋นซีหัวเราะหึ “ถ้าเช่นนั้นสำหรับบุรุษแล้ว สิ่งใดกันถึงจะไม่เรียกว่าเหตุผลไร้สาระ? ก่อนออกเรือนสตรีต้องเคารพบิดา เคารพพี่ชาย ดังนั้นสตรีเ่าั้จะไม่อยากได้ความห่วงใยจากบิดาและพี่ชายได้เช่นไร ทว่าชีวิตของประชาชนทั่วไป เพื่อฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ [5] แล้ว ในแต่ละวันล้วนต้องทำงานหนัก และต่อให้จะห่วงใยก็มีแต่จะห่วงใยเพียงบุตรชาย เพราะว่าผู้เป็สตรีหาได้มีฐานะอะไรทั้งนั้น ส่วนตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวยย่อมไม่ลำบากเื่กินเื่อยู่ แต่บุรุษก็ทำตัวราวกับสุกร พาสตรีมากหน้าเพิ่มเข้ามาในจวนไม่หยุดหย่อนเสียจนมีบุตรคนแล้วคนเล่า เช่นนั้น พวกเขาเคยมอบความห่วงหาอาทรให้บุตรสาวที่โหยหาความห่วงใยอยู่ในที่มืดบ้างหรือไม่? หรือคิดจะไถ่ถามเื่ชีวิตความเป็อยู่แม้สักประโยคบ้างหรือไม่? นอกจากนี้หลังออกเรือนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็เื่ใด สตรีก็ได้แต่ต้องให้บุรุษเป็ผู้นำ และจะมีสามีภรรยาสักกี่คู่กันที่สามารถให้ความเคารพซึ่งกันและกันได้ และจะมีบ้านไหนบ้างที่จะยอมยกสตรีไว้ให้อยู่ในฐานะที่เท่าเทียม ทั้งยังให้ความเชื่อใจและยินยอมปกป้องดูแลนางเป็อย่างดี? เหล่าบุรุษมีแต่รับอนุเลี้ยงบ่าว แล้วมีผู้ใดบ้างที่จะเห็นน้ำตาที่อยู่เื้ัของสตรีเ่าั้กัน”
นางยืนขึ้นสบตากับเขา ถึงแม้นางจะพยายามปิดบังความโกรธแค้นและความเศร้าโศกของตัวเองไว้เป็อย่างดี ทว่าเขาก็ยังมองเห็นความโศกเศร้าที่เจือปนอยู่ในนั้น
นางเอ่ยถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พระองค์ยังคิดว่าสตรีนั้นเลี้ยงยากอยู่อีกหรือไม่เพคะ? ”
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ลงจิ่งก่อนฤดูฝน(前雨龙井)ชาหลงจิ่งที่เก็บก่อนฤดูฝน ซึ่งถือเป็ชาชั้นหนึ่ง
[2] จิน(斤)หนึ่งจิน เท่ากับ ครึ่งกิโล
[3] รักหยกถนอมบุปผา(怜香惜玉)หมายถึง การอ่อนโยนต่อผู้หญิง
[4] มีแค่สตรีและคนถ่อยที่เลี้ยงยาก(唯女子与小人难养也)หมายถึง มีแค่สตรีและคนถ่อยที่เข้าหาด้วยได้ยาก หากเข้าใกล้เกินไปก็จะลามปามไม่มีมารยาท หากตีตัวออกห่างก็จะไม่พึงพอใจ
[5] ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ(柴米油盐)หมายถึง ความสุขสบายในชีวิต