“นี่...” ไป๋หยุนเฟยได้แต่อึกอัก ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี
เห็นสีหน้าลังเลของไป๋หยุนเฟย ดวงตาหลิวเมิ่งก็หม่นหมองลง นางก้มศีรษะวางกำไลลงบนโต๊ะพร้อมกล่าวเสียงค่อย “เสี่ยวหนิงอย่าได้พูดจาเหลวไหล บางทีกำไลวงนี้จะมีความสำคัญต่อหยุนเฟย จะให้เขามอบให้ผู้อื่นโดยง่ายได้หรือ...?”
เมื่อไป๋หยุนเฟยเห็นท่าทีหลิวเมิ่งเช่นนี้ ทั้งยังได้ยินคำพูดแฝงความผิดหวังของนาง หัวใจมันก็ปวดแปลบโดยไม่ทราบสาเหตุ ราวกับความรู้สึกผิดบาปท่วมท้นจิตใจ ไป๋หยุนเฟยรู้สึกว่าการสร้างความเสียใจแก่หญิงสาวตรงหน้านั้นเป็บาปมหันต์ที่ไม่อาจให้อภัย...
“ไม่... ไม่จริงเลยเมิ่งเอ๋อร์ กำไลวงนี้...ที่จริงข้าก็เตรียมจะมอบแก่ท่าน” ดวงตาไป๋หยุนเฟยทอประกายวูบ สุดท้ายก็กัดฟันเดินเข้าหาหลิวเมิ่งก่อนจะหยิบกำไลขึ้นวางลงในมือของนาง “เดิมทีข้าตั้งใจจะมอบแก่ท่านยามที่เราพบกันครั้งหน้า แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าท่านจะมาหาข้าก่อน? นับว่าประจวบเหมาะยิ่ง ถ้าเช่นนั้นข้ามอบแก่ท่านยามนี้เลยเถอะ”
“จริงหรือ?” หลิวเมิ่งเงยหน้าขึ้นมองไป๋หยุนเฟยด้วยใบหน้าแดงซ่าน
“ย่อมแน่นอน!” ครานี้ไป๋หยุนเฟยกล่าวอย่างหนักแน่น ภายในใจมันคิดว่าเพื่อแลกกับรอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้าต่อให้เสียกำไลวงนี้ไปก็นับว่าคู่ควร
“คิก คิก ข้าบอกแล้ว เชื่อหรือยัง? กำไลวงนี้ต้องซื้อมาเพื่อมอบแก่คุณหนูอย่างแน่นอน!” เสี่ยวหนิงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอยู่ด้านข้าง “อืม คุณชายหยุนเฟย ท่านถึงกับจงใจขู่ขวัญคุณหนูจนนางแทบจะร่ำไห้ ท่านช่างใจร้ายนัก!”
“เอ่อ นี่... เมื่อครู่ข้าไม่ได้เจตนา...” ไป๋หยุนเฟยเกาศีรษะอย่างกระดากก่อนจะกล่าวพร้อมกับฝืนยิ้มอย่างซึมเซา
เมื่อได้เห็นท่าที‘โง่งม’ของชายหนุ่มเช่นนี้ หญิงสาวทั้งคู่ก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วยท่าทีน่ารัก สร้างความอับอายแก่ไป๋หยุนเฟยยิ่ง
หลิวเมิ่งพิจารณากำไลในมืออย่างละเอียดด้วยแววตายิ้มแย้ม ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออกว่านางชมชอบกำไลวงนี้ยิ่งนัก ไม่นานต่อมาหญิงสาวจึงสวมกำไลไว้ที่ข้อมือซ้าย
ชั่วขณะที่หลิวเมิ่งสวมกำไลก็งงงันวูบ ก่อนจะมองดูกำไลบนข้อมือด้วยท่าทีประหลาดใจ จากนั้นจึงหลับตาราวกับรับรู้บางอย่างได้
ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจหลิวเมิ่งพลันลืมตาขึ้นพร้อมกับมองดูไป๋หยุนเฟย ใบหน้านางเปี่ยมแววเหลือเชื่อ ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงประหลาดใจระคนลำบากใจ “หยุนเฟย นี่ กำไลวงนี้...”
“มาแล้ว!”
หัวใจไป๋หยุนเฟยเต้นระรัว ยามที่มันตัดสินใจมอบกำไลให้แก่หลิวเมิ่งเมื่อครู่ก็คาดไว้แล้วว่าต้องเป็เช่นนี้ ยามนี้ได้แต่พยายามวางท่าเยือกเย็นกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “โอ กำไลวงนี้มีบางอย่างพิเศษอยู่บ้าง... อาจารย์ของข้ามอบให้ไว้ มันช่วยให้ ช่วยให้ผู้ที่สวมใส่คล่องแคล่วปราดเปรียวขึ้น”
ได้ยินที่ไป๋หยุนเฟยอธิบาย หลิวเมิ่งก็นิ่งงันไป นางพิจารณากำไลบนข้อมืออย่างละเอียดอีกครั้งด้วยท่าทีประหลาดใจก่อนจะก้มศีรษะลง ผู้ใดก็ไม่อาจทราบว่านางกำลังครุ่นคิดเื่อันใดอยู่
ขณะที่ไป๋หยุนเฟยคาดว่าคำอธิบายนี้เหลวไหลเกินไป หลิวเมิ่งก็พลันเงยหน้าขึ้นอีกครา มิคาดว่านางจะมองมาด้วยแววตาสำนึกผิดพร้อมกับกล่าวว่า “หยุนเฟยข้าขออภัย ข้าไม่ทราบว่ากำไลวงนี้จะมีพลังพิเศษเช่นนี้ ข้า ข้าไม่อาจรับไว้ได้...”
ขณะเอ่ยปาก หลิวเมิ่งก็พยายามคืนกำไลบนมือให้แก่ไป๋หยุนเฟย
ไป๋หยุนเฟยตะลึงงันไป มันตัดใจมอบกำไลวงนี้ให้หลิวเมิ่งอย่างยากเย็น แต่ยามนี้นางกลับบอกว่าไม่้า ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้สร้างความกระวนกระวายแก่ชายหนุ่มยิ่งนัก ไป๋หยุนเฟยสืบเท้าไปสองก้าวคว้าจับมือของหลิวเมิ่งที่พยายามถอดกำไลเอาไว้พร้อมกับกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ในเมื่อท่านสวมไปแล้วก็อย่าได้ถอดออกเลย ข้าทราบว่าท่านชมชอบกำไลวงนี้ เช่นนั้นก็รับไว้เถอะ พลังของมันไม่ได้สลักสำคัญแต่อย่างใด...”
“หยุนเฟย ท่าน... ปล่อยมือข้าก่อนเถอะ...”
ไป๋หยุนเฟยที่กระวนกระวายใจจึงกระทำไปโดยไม่รู้ตัว กระทั่งได้ยินเสียงกระซิบอย่างขวยเขินจากหลิวเมิ่งจึงพลันรู้สึกตัว มันรีบปล่อยข้อมือหลิวเมิ่งพร้อมกับสะบัดมือครั้งแล้วครั้งเล่า “เอ่อ เมิ่งเอ๋อร์ ข้า... ข้าไม่ได้เจตนา”
หลิวเมิ่งเงียบงันไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อ หญิงสาวไม่พยายามถอดกำไลอีก ตรงกันข้ามนางกลับก้มลงลูบคลำอย่างทะนุถนอม
เสี่ยวหนิงที่นั่งรออยู่ด้านข้างมองดูคนทั้งสองด้วยสองตาเบิกกว้าง ใบหน้านางเปี่ยมด้วยความสงสัยต่อเื่ที่ทั้งคู่พูดคุยกัน นอกจากดูงดงามแล้วหรือกำไลวงนี้จะมีอันใดพิเศษอีก?
ชั่วขณะภายในห้องจึงกลับกลายเป็เงียบงันไป
“จริงสิหยุนเฟย ท่านบอกว่ามีเื่ต้องกระทำ มีเื่อันใด? ข้าไปกับท่านได้หรือไม่?” หลิวเมิ่งเงยหน้าขึ้น หลังจากซ่อนกำไลไว้ในแขนเสื้อแล้วจึงเอ่ยปากทำลายความเงียบงันก่อน
“นี่... เกรงว่าจะไม่ได้ ข้ากำลังจะไปพบปะสนทนากับสหายสองคน อีกไม่นานทั้งคู่จะมาพบข้าที่นี่...” ไป๋หยุนเฟยกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน
“สหาย? ท่านยังรู้จักผู้อื่นในเมืองชุ่ยหลิวแห่งนี้อีก? ไฉนไม่เคยได้ยินท่านกล่าวถึง?” หลิวเมิ่งเอ่ยปากถามอย่างประหลาดใจ
“โอ เมื่อวานข้าได้พบโดยบังเอิญ นาง... นางเป็ศิษย์สำนักหลิวขจี นามว่าชิวลู่หลิว...”
“ท่านว่าอะไร?! สำนักหลิวขจี?” ได้ยินคำพูดไป๋หยุนเฟย หลิวเมิ่งก็โพล่งขึ้นด้วยท่าทีประหลาดใจ หลังจากนั้นราวกับนึกถึงเื่บางอย่างออกใบหน้าจึงกลับกลายเป็หม่นหมอง นางก้มศีรษะลงอีกครั้ง ไม่มีผู้ใดทราบว่านางครุ่นคิดอันใดอยู่
ไป๋หยุนเฟยรีบอธิบายอย่างกระวนกระวาย “เมิ่งเอ๋อร์ท่านได้เข้าใจผิด พวกเราเป็เพียงสหายธรรมดา เพียงแค่... เพียงแค่ข้าเคยช่วยเหลือศิษย์น้องของนาง ดังนั้นเมื่อได้พบกันโดยบังเอิญอีกครา นางจึงชักชวนข้าไปพูดคุยกัน...”
“ยังมีศิษย์น้องหญิงอีก?!” ที่ด้านข้าง เสี่ยวหนิงอดไม่ได้ต้อง‘โพล่ง’ขึ้นมา
เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นทั่วใบหน้าไป๋หยุนเฟย มันได้แต่‘วิงวอน’ด้วยท่าทีน่าเวทนา “เสี่ยวหนิง อย่ากลั่นแกล้งข้าได้หรือไม่?...”
“ฮ่า ฮ่า หยุนเฟย อันที่จริงท่านไม่จำเป็ต้องอธิบายต่อข้า” หลิวเมิ่งเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มแก่ไป๋หยุนเฟยพลางกล่าวต่อ “สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่ได้เป็อะไรกับท่าน ข้าจึงไม่มีสิทธ์จะไปโกรธเคืองท่าน...”
“นั่นไม่เป็ความจริงนะเมิ่งเอ๋อร์ ข้า...”
“ท่านไม่จำเป็ต้องอธิบาย ข้าทราบดี” หลิวเมิ่งยังคงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าจะไม่รบกวนท่านอีก สหายท่านกำลังจะมาถึง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องลำบากใจ ข้าจะกลับไปก่อน หากท่านและสหายพูดคุยกันเสร็จสิ้นแล้ว ข้าค่อยกลับมาหาท่าน...”
ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของหลิวเมิ่งสร้างความงุนงงแก่ไป๋หยุนเฟยไม่น้อย ยามกะทันหันมันไม่ทราบจะพูดอันใดได้จึงได้แต่เหม่อมองอย่างซึมเซาไปยังหลิวเมิ่งที่ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องไปอย่างเชื่องช้า
“เฮอะ! ท่านช่างโง่เขลานักคุณชายหยุนเฟย! ท่านทำข้าขุ่นเคืองแทบตายแล้ว ข้าจะไม่สนใจท่านอีกแล้ว!” เสี่ยวหนิงกวัดแกว่งกำปั้นเล็กๆของนางเบื้องหน้าไป๋หยุนเฟยอย่าง‘ดุร้าย’ก่อนจะเดินตามหลังหลิวเมิ่งออกจากห้องไป ขณะที่ออกจากห้องนางถึงกับกระแทกประตูดังโครมคราม
“นี่... ข้า ที่จริงข้ายังไม่ได้กล่าวอันใด...”
กระทั่งหญิงสาวทั้งสองจากไปครู่ใหญ่ ไป๋หยุนเฟยจึงพึมพำด้วยท่าทีราวกับจะร่ำไห้
……
ด้วยจิตใจที่กำลังว้าวุ่นไป๋หยุนเฟยจึงเดินกลับไปที่เตียง ทอดกายลงมองหลังคาด้วยแววตาว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดทราบว่าชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่...
“ไป๋หยุนเฟย ท่านอยู่หรือไม่?”
น้ำเสียงเพราะพริ้งดังขึ้นที่นอกประตู ไป๋หยุนเฟยจึงสะดุ้งลุกขึ้นนั่งราวถูกสายฟ้าฟาดใส่ก่อนจะเปลี่ยนเป็ซึมเซา จากนั้นจึงสั่นศีรษะแ่เบาพลางกล่าวเสียงค่อย “ครานี้เป็แม่นางชิว...”
ประตูห้องถูกเปิดออก ชิวลู่หลิวที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเขียวมรกตทั้งร่างยืนยิ้มแย้มอยู่ที่หน้าประตู
“ขออภัยที่มาสาย พวกเราไปเลยดีหรือไม่?” ชิวลู่หลิวกล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“โอ ไม่เป็ไรแม่นางชิว ข้ารอท่านไม่นาน” ไป๋หยุนเฟยตอบอย่างสุภาพแต่ในใจลอบถอนหายใจอย่างคับข้องใจ ครุ่นคิดว่าหากนางมาพบและพามันไปแต่แรก เื่ราวคงไม่ย่ำแย่เช่นนี้ มันคงไม่ทำให้หลิวเมิ่งขุ่นเคืองเช่นนี้...
ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะเล็กน้อย ตัดสินใจปล่อยวางเื่นี้ไว้ก่อน หลังจากเหลือบมองด้านหลังชิวลู่หลิวจึงกล่าวอย่างสงสัย “โอ แม่นางฉู่ไม่ได้มากับท่าน?”
“ฮ่า ฮ่า ถูกแล้วคุณชายหยุนเฟย เดิมทีข้าตั้งใจจะพาศิษย์น้องมาด้วยกันจะได้สนทนาถึงเื่ราวที่เกิดขึ้น แต่หลังจากกลับสำนักไปข้าเผลอหลุดปากเื่นี้ต่อหน้าอาจารย์ นาง...นางก็้าพบวีรบุรุษอายุเยาว์ที่ช่วยชีวิตศิษย์น้องเช่นเดียวกัน ไม่ทราบว่าข้าจะเชิญท่านไปเป็แขกที่สำนักหลิวขจีได้หรือไม่? ท่านคงไม่ขัดข้องกระมัง?”
“โอ? อาจารย์ท่าน้าพบข้า? นี่...” ไป๋หยุนเฟยประหลาดใจยิ่ง อาจารย์ของชิวลู่หลิวนั้นจะเป็ผู้ใดหากไม่ใช่เ้าสำนักหลิวขจี ผู้ใดจะคาดคิดว่านางจะ้าพบมัน?
“เป็ไรหรือ? หรือท่านไม่สะดวก?”
“ไม่ ไม่มีใด ตกลง โปรดนำทางเถอะแม่นางชิว...”
…………
ในที่ห่างจากตัวเมืองชุ่ยหลิวไปทางตะวันตกสิบกว่าลี้มีหมู่ตึกใหญ่โตตั้งอยู่ หมู่ตึกนี้ประกอบด้วยกำแพงสูงและอาคารตั้งตระหง่าน มองดูก็ทราบว่าไม่ธรรมดา รอบนอกหมู่ตึกเป็พื้นที่กว้างใหญ่สีเขียวขจี มีต้นหลิวรายล้อมหมู่ตึกเป็วงกลมราวกับเป็ผู้พิทักษ์ กิ่งหลิวแกว่งไกวอย่างอ่อนโยนสร้างบรรยากาศอันผ่อนคลายและสันโดษ
ที่แห่งนี้เป็ที่ตั้งของสำนักหลิวขจี ยามนี้ปรากฏเงาของหญิงสาวร่างเล็กยืนชดช้อยอยู่ด้านหน้าประตูใหญ่
ทั้งร่างสตรีนางนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวประดับด้วยชิ้นผ้าสีเขียวมรกตราวใบหลิว แม้ร่างจะไม่สูงนักแต่รูปร่างนางก็อรชรอ้อนแอ้น ผมยาวสลวยยาวถึงสะเอว ที่หน้าผากปิดบังด้วยผมหน้าม้า แลดูน่าทะนุถนอมอย่างยิ่ง แก้มอวบอิ่มที่แดงระเรื่อชวนให้ผู้อื่นรักใคร่ ดวงตากระจ่างใสเพ่งมองไปเบื้องหน้าด้วยแววตามุ่งหวัง
นี่ย่อมเป็เด็กสาวนามฉู่อวี้เหอที่ถูกบริวารจางหยางคร่ากุมตัวไปแต่สุดท้ายถูกไป๋หยุนเฟยช่วยเหลือออกมาได้
ดูเหมือนนางรอคอยอยู่เนิ่นนานแล้ว ทันใดนั้นฉู่อวี้เหอก็เม้มปากพึมพำด้วยท่าทีขุ่นข้อง “ศิษย์พี่ไปนานแล้ว ไฉนยังไม่กลับมาอีก...?”
ขณะ‘พร่ำบ่น’เสียงแ่เบา ฉู่อวี้เหอก็เงยหน้าขึ้นเพ่งมองไปยังที่ไกลตา จู่ๆดวงตานางก็เป็ประกายด้วยความยินดี มิคาดฉู่อวี้เหอกลับวิ่งตะบึงออกไปต้อนรับอย่างร้อนรุ่ม
ไกลออกไป ปรากฏชายหนุ่มและหญิงสาวเดินเคียงข้างกันมุ่งหน้าเข้ามา ทั้งคู่จะเป็ใครหากไม่ใช่ไป๋หยุนเฟยและชิวลู่หลิว
“สำนักหลิวขจีอยู่เบื้องหน้านี้เอง เร่งฝีเท้าหน่อยเถอะหยุนเฟย ศิษย์... โอ ฮ่า ฮ่า ท่านดู ศิษย์น้องไม่อาจอดทนรอพบท่านได้แล้ว” ชิวลู่หลิวปิดปากกล่าวกลั้วหัวเราะเมื่อได้เห็นเงาร่างเล็กๆวิ่งตะบึงเข้ามา
เมื่อฉู่อวี้เหอวิ่งเข้ามาห่างจากทั้งคู่หกเจ็ดวา ก็หยุดเท้าอย่างกะทันหัน ราวกับพลันนึกออกว่าตนเองร้อนรุ่มจนเสียกิริยา ใบหน้างดงามของนางกลายเป็แดงระเรื่อ สองมือลูบคลำเสื้อผ้าพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่าน ท่านกลับมาแล้ว... อืม ไป๋... คุณชายไป๋หยุนเฟย ท่านสบายดี...?”
“ฮ่า ฮ่า แม่นางฉู่ท่านสบายดี? ท่านรอพวกเราอยู่ที่นี่หรือ?” เมื่อได้เห็นเด็กสาวตรงหน้า ไป๋หยุนเฟยก็ลอบตื่นเต้นในใจเช่นกัน
“อืม ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ให้ข้ารอต้อนรับท่าน คุณชายไป๋หยุนเฟย...”
“ท่านอย่าได้มากพิธีเช่นนี้เลยแม่นางฉู่ เรียกข้าหยุนเฟยเถอะ” ไป๋หยุนเฟยกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
“ถ้าเช่นนั้น ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเรียกท่าน เรียกท่านว่าพี่หยุนเฟย ท่านก็สมควรเรียกข้าว่าอวี้เหอ...” เด็กสาวกล่าวอย่างขวยเขิน
ชิวลู่หลิวที่ด้านข้างเห็นศิษย์น้องขวยเขินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ต้องสั่นศีรษะอย่างท้อแท้พลางกล่าวแก่คนทั้งสองว่า “หรือพวกท่านจะยืนสนทนากันที่นี่? เข้าไปด้านในก่อนเถอะ แล้วพวกเราค่อยสนทนากัน”
ฉู่อวี้เหอรับคำและเดินไปเคียงข้างชิวลู่หลิว ทั้งสามคนจึงไปที่ประตูใหญ่ของสำนักหลิวขจีด้วยกัน
