“ก็ไม่ใช่แบบนั้น แต่สมดั่งคำโบราณว่าไว้ หากไม่มีผู้ใดมารังแก ก็อย่าได้รังแกผู้อื่น แต่หากมีคนมารังแกเมื่อใด ก็ต้องตอกกลับอย่างสาสม”
เฟิ่งสือจิ่นถาม “เ้าอยากพูดอะไรกันแน่?”
หลิวอวิ๋นชูยืนเกาหัวอยู่ข้างกำแพง คล้ายทั้งโกรธและเขินอายจนถึงขีดสุดแล้ว หลังลังเลอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ “ความจริง ข้าเป็คนยัดสร้อยมุกขององค์หญิงเจ็ดเข้าไปในลิ้นชักใต้โต๊ะของเ้าเอง แต่ข้าไม่รู้ว่านางคิดจะใส่ร้ายเ้า ข้าคิดว่านั่นเป็ของของเ้า เลยอยากคืนให้เ้าเท่านั้น ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อบอกเื่นี้กับเ้า แต่พวกเราเป็คู่อริกัน อย่าหวังว่าข้าจะยอมขอโทษเลย ดังนั้น ข้าจึงเตรียมสุราและอาหารเอาไว้ที่ร้านเนื้อย่างในถนนตะวันออก ถือเป็การชดเชยให้เ้าก็แล้วกัน เมื่อกินแล้ว พวกเราก็ไม่ติดค้างกันอีก ว่าไง จะไปหรือไม่?”
ประโยคยาวเหยียดถูกพ่นออกมาอย่างไม่ติดขัด คาดว่าหลิวอวิ๋นชูคงจะฝึกพูดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เขาพูดเร็วเกินไป แต่เฟิ่งสือจิ่นก็ยังจับใจความสำคัญได้บ้าง นางแคะหูตัวเองอย่างเบื่อหน่าย “สรุปก็คือ เ้าเตรียมงานเลี้ยงเพื่อล่อให้ข้าไปติดกับใช่ไหม?”
“นี่ไม่ใช่กับดักเสียหน่อย!”
“มิเช่นนั้นเ้าจะจัดเตรียมให้สิ้นเปลืองเงินทองไปทำไม เ้าไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้เลยสักนิด หากเ้าไม่มาสารภาพกับข้าเอง ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเ้าเป็คนยัดสร้อยเส้นนั้นเข้าไปในโต๊ะของข้า”
หลิวอวิ๋นชูกระทืบเท้าด้วยความโมโห “เป็คนก็ต้องมีคุณธรรมนำใจบ้างสิ ข้าแค่อยากพูดเื่นี้กับเ้าให้จบๆ ไปเลย จะได้นอนหลับอย่างสบายใจเสียที!” เขายกมือขึ้นเท้าเอวด้วยความโกรธราวกับแม่ค้ากลางตลาดสด จากนั้นก็แหงนมองไปรอบด้าน “เ้าอยู่ตรงไหนกันแน่ กล้าลงมาคุยกันแบบซึ่งๆ หน้าสักตั้งไหม ให้ข้าเงยหน้าอยู่แบบนี้ มันเหนื่อยนะรู้ไหม”
“ข้าอยู่บนตัวเ้าไง” เฟิ่งสือจิ่นฉวยโอกาสตอนที่หลิวอวิ๋นชูไม่ทันตั้งตัว ะโลงมาจากกำแพงอย่างกะทันหัน
หลิวอวิ๋นชูหลบไม่ทัน จึงกลายเป็เบาะรองของเฟิ่งสือจิ่นไปโดยปริยาย
เขาถูกทับอยู่ด้านล่าง รู้สึกเจ็บจนแทบจะกระอักเืออกมาอยู่แล้ว เฟิ่งสือจิ่นค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างใจเย็น จากนั้นก็ปัดฝุ่นที่เกาะตามชายกระโปรงออก “ถือว่านี่เป็การตอบแทนสำหรับของขวัญชิ้นโตที่เ้ายัดไว้ใต้โต๊ะข้าก็แล้วกัน”
หลิวอวิ๋นชูนอนหมอบอยู่บนพื้น เขายกนิ้วกลางขึ้น “เ้ามันไม่ใช่คน...” เพิ่งเงยหน้าก็เห็นกระต่ายตัวหนึ่งะโผ่านหน้าไปอย่างเบิกบาน ไม่รู้ว่าเ้ากระต่ายตัวนี้มาจากที่ไหนกันแน่ มันะโตามหลังเฟิ่งสือจิ่นไปอย่างร่าเริง
ถนนตะวันออกเป็ถนนที่ครึกครื้นที่สุดในยามค่ำคืน เป็ถนนที่มีแต่ของอร่อยอย่างแท้จริง อาหารต่างๆ เรียงรายั้แ่ต้นซอยไปจนถึงท้ายซอย ยิ่งเป็่ที่อากาศร้อน ที่นี่ก็จะยิ่งขายดีเป็พิเศษ กระทั่งหลังเที่ยงคืน ถนนแห่งนี้ถึงจะค่อยๆ สงบลง ที่นี่มีผู้คนจากสถานที่ต่างๆ มากมาย มีทั้งประชาชนชั้นรากหญ้า นักเลงอันธพาล และมีคุณชายเสเพลอย่างหลิวอวิ๋นชูเช่นกัน
เมื่อมาถึงร้านเนื้อย่าง เถ้าแก่ก็พาหลิวอวิ๋นชูกับเฟิ่งสือจิ่นไปยังห้องพิเศษที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ หน้าต่างในห้องเปิดอยู่ ลมเย็นๆ จึงพัดเข้ามาด้านในอย่างสดชื่น ถ่านในเตาย่างถูกเผาจนกลายเป็สีแดงสดแล้ว หลิวอวิ๋นชูนั่งลง และเริ่มลงมือย่างเนื้อด้วยตนเอง ท่ามกลางควันสีขาวที่ลอยคลุ้ง แขนเสื้อสีเขียวสดใสที่ถูกถกขึ้นของหลิวอวิ๋นชูช่างโดดเด่นสะดุดตาเหลือเกิน แขนสีขาวเนียนที่เผยออกมาดูเนียนนุ่มไม่ต่างไปจากแขนสตรีเลย
หลิวอวิ๋นชูรู้สึกสนอกสนใจกระต่ายที่เกาะอยู่บนไหล่ของเฟิ่งสือจิ่นเป็อย่างมาก เขาถาม “เ้าไปเอากระต่ายมาจากไหนหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “เก็บได้บนเขาน่ะ”
หลิวอวิ๋นชูแสดงความหิวโหยออกมาทางสายตา “ขนของมันทั้งสวยทั้งเงางามแบบนี้ เนื้อของมันต้องอร่อยมากแน่ๆ”
เ้าสามมัดสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เฟิ่งสือจิ่นปรายตามองหลิวอวิ๋นชูอย่างเยือกเย็น ทว่าอีกฝ่ายกลับโบกมือขึ้น “เถ้าแก่ เอาขากระต่ายมาชุดหนึ่ง!” เขาหันไปยิ้มแห้งๆ ให้เฟิ่งสือจิ่น “อย่าคิดมาก ข้าแค่อยากกินเนื้อกระต่ายขึ้นมาเท่านั้น”
หลิวอวิ๋นชูย่างขากระต่าย แล้วยกขึ้นไปแกว่งที่ด้านหน้าของเ้าสามมัด “เ้ากระต่าย มาสิ อยากลองกินสักหน่อยไหม นี่เป็เนื้อของพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ของเ้าเชียวนะ เนื้อกระต่ายตัวผู้ช่วยบำรุงร่างกาย ส่วนกระต่ายตัวเมียช่วยบำรุงผิวพรรณได้ด้วยนะ!”
เฟิ่งสือจิ่นแย่งขากระต่ายมา แล้วกัดเนื้อกระต่ายคำใหญ่ๆ หลายคำ “แม้แต่สัตว์เดรัจฉานเ้าก็ยังไม่ละเว้น เ้ายังสติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”
หลิวอวิ๋นชูเบะปาก ก่อนจะหันไปพูดกับเ้าสามมัด “เห็นหรือยัง ในสายตาของเ้านายเ้า เ้ามันก็เป็แค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น วันนี้นางกินพี่น้องของเ้าได้ ไม่แน่วันหน้า นางอาจจะจับเ้าไปกินก็ได้!”
เฟิ่งสือจิ่นพูดอมยิ้ม “มันฟังภาษาคนไม่รู้เื่หรอก เ้าลองพูดภาษาสัตว์ดูสิ ไม่แน่มันอาจจะเข้าใจ”
หลิวอวิ๋นชูตบโต๊ะเสียงดังคล้ายกำลังจะะเิโทสะออกมา แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตนเป็คนเชิญเฟิ่งสือจิ่นมาที่นี่เอง จะโวยวายใส่นางไม่ได้ จึงได้แต่คำรามขึ้น “...กิน! เนื้อ! ย่าง!”
ดูเหมือนหลิวอวิ๋นชูจะชอบเ้าสามมัดมาก เขาป้อนผักสดให้มันไม่หยุด น่าเสียดาย หลังจากที่ทั้งสองดื่มสุราหลอมเพลิงไปหลายแก้ว สติที่เคยมีก็เริ่มพร่าเบลอลง ทั้งสองมีอาการสะลึมสะลือ หลิวอวิ๋นชูยังเผลอป้อนสุราให้เ้าสามมัดไปถึงครึ่งแก้ว
เ้าสามมัดทรุดนอนอยู่บนโต๊ะ มันเมาจนหมดสติไป
เฟิ่งสือจิ่นเองก็มึนเมาไม่น้อย ฤทธิ์สุราทำให้นางรู้สึกร้อนไปทั้งตัว แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังดูใจเย็นและมีสติอยู่ นอกจากสองแก้มที่แดงระเรื่อ กับดวงตาที่มีน้ำตาคลอ แถมยังดูล่องลอยอย่างผิดปกติแล้ว แทบดูไม่ออกด้วยซ้ำว่านางดื่มสุรามา ในขณะที่หลิวอวิ๋นชูพูดโม้เื่นั้นเื่นี้จนยาวเหยียด นางก็เพียงรับฟังและประกายรอยยิ้มบางๆ ออกมาเท่านั้น
ในตอนที่หลิวอวิ๋นชูปรายตามาเห็นเฟิ่งสือจิ่น เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอเช่นนั้น หลิวอวิ๋นชูกลืนน้ำลายลงคอหลายครั้ง แต่ก็ยังเปล่งเสียงออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว เขาหน้าแดงราวกับลูกมะเขือเทศ เป็เวลานานกว่าจะยิ้มตาหยีพลางพูดขึ้น “จะว่าไปแล้ว ตอนที่เ้าอยู่เงียบๆ แบบนี้ เ้าเองก็ดูไม่เลวเหมือนกัน...” พูดจบก็กรอกสุราเข้าปากอีกหนึ่งแก้ว
ยิ่งดื่มสุรามากเท่าไร ภาพในสมองก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ท่ามกลางแสงสีนวลของเปลวเทียน ภายใต้เสียงเดือดของน้ำมันจากเนื้อบนเตาย่าง เฟิ่งสือจิ่นยังคงนั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และรับฟังเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่เปลี่ยน
เมาแล้ว ข้าต้องเมาแล้วแน่ๆ
เพิ่งคิดจบ หลิวอวิ๋นชูก็ฝืนไม่ไหว นอนฟุบลงบนโต๊ะในที่สุด
เท่าที่จำได้ นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้ดื่มสุราของเมืองหลวงเช่นนี้ สุราหลอมเพลิงมีฤทธิ์แรงแถมยังเผ็ดร้อน แต่เมื่อกลืนลงคอ กลับให้ความรู้สึกสะใจและสดชื่นอย่างน่าประหลาด หลิวอวิ๋นชูเมาจนนอนฟุบอยู่เบื้องหน้า ทว่านางกลับยังมีท่าทีนิ่งเฉยเป็อย่างมาก นิ้วเรียวยกสุราขึ้นมาดื่มอีกหลายแก้ว เมื่อเห็นว่าดึกแล้ว จึงอุ้มเ้าสามมัดเดินออกไปจากร้านเนื้อย่างเพื่อกลับบ้าน
ก่อนจะออกมาจากร้านเนื้อย่าง เฟิ่งสือจิ่นยังดูเหมือนมีสติอยู่เลยแท้ๆ แต่ทันทีที่ก้าวขาออกมาข้างนอก ฝีเท้ากลับโซไปเซมา การก้าวเดินก็เริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกตัวเบา คล้ายกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศเช่นนั้น เพราะไม่อาจควบคุมร่างกายได้ นางจึงเสี่ยงจะล้มลงทุกครั้งที่เดิน เฟิ่งสือจิ่นเดินไปข้างหน้าภายใต้แสงจันทรา ร่างกายเบาหวิวไปหมด รู้สึกเหมือนเป็ฉางเอ๋อ[1]ที่กำลังจะลอยออกไปจากโลกมนุษย์ และลอยขึ้นไปบนดวงจันทร์เช่นนั้น มันเป็ความรู้สึกที่สบายจนอธิบายไม่ถูกเลย
นางเดินต่อไปนานเท่าใดไม่ทราบ จู่ๆ แสงเบื้องหน้าก็มืดลงเล็กน้อย ใครบางคนกำลังขวางทางอยู่ เพราะก้าวพลาด เฟิ่งสือจิ่นจึงล้มเข้าไปในอ้อมแขนของคนผู้นั้นอย่างอ่อนแรง อ้อมกอดนี้แฝงไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไหว ซึ่งเป็กลิ่นที่นางคุ้นเคยเป็อย่างดี กลิ่นนี้ทำให้นางวางใจ และจิตใจของนางสงบลงได้อย่างน่าประหลาด ภายใต้ความง่วงซึม นางค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นไปมอง คนตรงหน้าสูงกว่านางประมาณสองคืบ แสงจันทร์ที่ส่องลงบนใบหน้าด้านข้าง ทำให้ชายคนนี้ดูงดงามทว่าก็เยือกเย็นราวสมบัติล้ำค่า ช่างสง่างามเหลือเกิน ฤทธิ์สุราทำให้เฟิ่งสือจิ่นใจกล้าเป็พิเศษ นางเขย่งเท้า แล้วใช้นิ้วแตะจมูกของคนตรงหน้าเบาๆ นางมองเห็นอย่างชัดเจนว่าดวงตาที่เคยสงบนิ่งเริ่มมีเกลียวคลื่นปรากฏขึ้นเพราะการกระทำนี้
เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ท่านมาแล้วหรือ?”
จวินเชียนจี้ประคองร่างของนางเอาไว้ในอ้อมแขน “ข้าจำไม่ได้ว่าเ้ากับท่านชายหลิวสนิทสนมกัน จนถึงขั้นที่สามารถเมาหัวราน้ำด้วยกันได้”
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะขึ้นเบาๆ “เขาเป็คนเชิญให้ข้ามาดื่มด้วย บอกว่าเป็การเลี้ยงขอโทษ...” จวินเชียนจี้หมุนตัว เตรียมจะให้เฟิ่งสือจิ่นขี่หลัง อีกด้าน เฟิ่งสือจิ่นดันแผ่นหลังของเขาออกไปด้วยร่างกายที่อ่อนแรง “รอก่อน...”
จวินเชียนจี้หันกลับไปมองด้วยความสงสัย “รออะไร?”
..............................
[1] ฉางเอ๋อ หมายถึง นามของเทพธิดาบนดวงจันทร์ มีความเชื่อว่านางเคยเป็มนุษย์ แต่เพราะได้กินยาวิเศษ จึงลอยขึ้นไปเป็เทพธิดาบนดวงจันทร์