เสียงราบเรียบของใครคนหนึ่งดังขึ้นที่ข้างเตียง “ลุกขึ้นมาดื่มยาก่อนเถิด แล้วค่อยคิดเื่นี้อีกที”
เฟิ่งสือจิ่นใจนทรุดลงไปนอนอยู่บนเตียง เมื่อคลานออกมาจากผ้าห่มนางก็พบว่าจวินเชียนจี้มายืนอยู่เบื้องหน้าตนั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เช่นนั้น สิ่งที่นางพูดออกไปเมื่อครู่...เฟิ่งสือจิ่นยื่นมือที่สั่นเทาเข้าไปรับถ้วยยา แล้วกินมันจนหมดถ้วยในคราเดียว เพราะรีบดื่ม ยาจึงหยดลงที่คอเสื้อหลายหยด เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “อา... อาจารย์... ศิษย์แค่ฝันเท่านั้น ไม่ใช่เื่จริง”
“อืม ข้ารู้”
“ข้าไม่เคยคิดจะล่วงเกินอาจารย์เลยจริงๆ อาจเป็เพราะ... เป็เพราะว่า... เพราะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วกระมัง”
จวินเชียนจี้ยังคงมีใบหน้านิ่งเรียบ เขาเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ “แล้ว?”
เฟิ่งสือจิ่นลอบมองจวินเชียนจี้อย่างลับๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นมุมปากที่ค่อนข้างบวมและแดงชุ่มกว่าปกติของเขา เฟิ่งสือจิ่นรีบพูดเปลี่ยนเื่ทันที นางถามขึ้นด้วยความสงสัยสุดขีด ราวเพิ่งค้นพบโลกใบใหม่เช่นนั้น “เอ๋... อาจารย์ ริมฝีปากของท่านเป็อะไรไปหรือ?”
จวินเชียนจี้ปรายตามองนางด้วยสายตาที่ยากจะแกะความหมาย พลางพูดขึ้น “ในเมื่อเป็แค่ฝัน เช่นนั้นก็ควรเลิกคิดได้แล้ว นอนพักเถอะ ต่อจากนี้ ไม่ต้องไปวิทยาลัยหลวงแล้ว” พูดจบก็เดินจากไปทันที
ด้านนอกมีแสงแดดสดใส แสงสีทองฉาบทับร่างของจวินเชียนจี้เอาไว้ ทำให้เขาดูเหมือนเทพเ้าที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจเอื้อม เฟิ่งสือจิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย นางแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าก็รู้สึกว่าแผ่นหลังของจวินเชียนจี้น่ามองเหลือเกิน
เฟิ่งสือจิ่นมีร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด แต่ั้แ่ถูกลงโทษที่วิทยาลัยหลวง โรคจากแผลเก่าที่หัวก็กลับมากำเริบอีกครั้ง นางผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แถมยังดูอ่อนเพลีย คล้ายเพิ่งป่วยหนักมาเช่นนั้น
นางทำตามคำสั่งของจวินเชียนจี้ คือไม่ไปที่วิทยาลัยหลวงอีก ในแต่ละวัน นางจะนั่งตากแดดอยู่ในจวนราชครูและพักฟื้นร่างกายให้หายดีเท่านั้น
เ้าสามมัดมีความสุขเป็อย่างมากที่ได้เฟิ่งสือจิ่นคอยเล่นเป็เพื่อน มันชอบนอนอยู่บนกระโปรงของเฟิ่งสือจิ่น และตากแดดพร้อมกับนางเป็ประจำ โดยเฟิ่งสือจิ่นก็หั่นแคร์รอตให้มันกินเป็ของว่างด้วยกริชที่อาจารย์มอบให้บ้างเป็ครั้งคราว
หลังอาหารเที่ยง จวินเชียนจี้ก็นำยามาส่งให้เฟิ่งสือจิ่นตามเคย เมื่อเห็นว่านางเอาแต่เหม่อเขาจึงถามขึ้น “กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นส่ายหน้าเบาๆ “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ข้าถึงรู้สึกเหมือนมีภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวอย่างเลือนราง แต่ก็คิดไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่”
จวินเชียนจี้พูดด้วยเสียงอบอุ่น “หากจำไม่ได้ก็ไม่จำเป็ต้องไปคิดถึงมันอีก ปล่อยให้ทุกอย่างเป็ไปตามธรรมชาติเถิด”
ต่อมาเขาถึงได้เข้าใจ ว่าแท้จริงแล้ว คำว่า ‘ปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติ’ ก็เป็แค่คำหลอกลวงที่เขาใช้หลอกล่อคนใสซื่ออย่างเฟิ่งสือจิ่นเท่านั้น เพราะจวินเชียนจี้เองก็จำไม่ได้แล้ว ว่าั้แ่เมื่อไรที่เขาไม่ยอมปล่อยให้เื่ของตนกับเฟิ่งสือจิ่นเป็ไปตามธรรมชาติอีกเลย
จวินเชียนจี้ถามถึงเื่ที่เกิดขึ้นในวิทยาลัยหลวงแบบผ่านๆ แค่ไม่กี่คำเท่านั้น เฟิ่งสือจิ่นตอบ “อาจารย์ อย่ากังวลไปเลย นี่เป็เื่ของศิษย์ ศิษย์จะหาทางจัดการเอง” นางฉีกยิ้มสดใสไปให้จวินเชียนจี้ “อาจารย์ วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ข้าโตเป็ผู้ใหญ่ ไม่ต้องพึ่งอาจารย์ทุกเื่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
จวินเชียนจี้หมุนตัวแล้วเดินจากไป ขณะที่ปากก็พูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ “ข้ามีเ้าเป็ศิษย์แค่คนเดียว ต่อให้เ้าจะพึ่งข้าทุกเื่ก็ไม่เป็ไร”
เส้นผมยาวสลวยของเฟิ่งสือจิ่นถูกเกล้าหลวมๆ ด้วยปิ่นไม้ โดยมีเส้นผมบางส่วนหลุดออกมา และคล้อยไปตามหัวไหล่ เมื่อสายลมพัดผ่าน ผมเส้นบางก็ลอยพลิ้วขึ้นไปในอากาศอย่างงดงาม นางใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมไปทัดกับใบหู เผยให้เห็นหูเล็กๆ ที่มีรูปทรงสวยงามได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น จุดแสงที่เล็ดลอดลงมาจากร่มไม้ส่องกระทบไปที่ใบหูของนาง ให้ความรู้สึกเหมือนนั่นเป็แสงที่เจิดจรัสออกมาจากร่างของนางเช่นนั้น แสงสีทองทำให้ใบหน้าด้านข้างที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของเฟิ่งสือจิ่นแลดูงดงามเสียยิ่งกว่าเทพธิดาองค์ไหน
จวินเชียนจี้เดินออกไปไกล เขาหันกลับมามองโดยไม่ได้ตั้งใจ และได้เห็นภาพนี้เข้าพอดี การหันกลับไปมองอย่างลืมตัว กลายเป็นิสัยของเขาไปเสียแล้ว เขาได้เห็นความงามที่คนธรรมดาไม่อาจมองเห็น เขาชื่นชมความงามนั้น แต่จะไม่เข้าไปรบกวนเด็ดขาด
เฟิ่งสือจิ่นโยนแคร์รอตในมือออกไป แกล้งให้เ้าสามมัดวิ่งวุ่นไปทั่วสวนอย่างเบิกบาน เสียงหัวเราะของนางเป็เหมือนโรคติดต่อ เพียงแค่ได้ยิน จวินเชียนจี้ก็ประกายรอยยิ้มบางๆ ออกมาอย่างอดไม่ได้
ระหว่างพักอยู่ในจวนราชครู จวินเชียนจี้จะสั่งให้เฟิ่งสือจิ่นไปที่ห้องหลอมสมุนไพรกับตนเพียงครั้งคราวเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือ เฟิ่งสือจิ่นสามารถทำอะไรก็ได้อย่างอิสระ จวินเชียนจี้ไม่ชอบควบคุมนางสักเท่าใด วันนี้ ยามพลบค่ำ จวินเชียนจี้ต้องเข้าไปทำธุระในวังอย่างกะทันหัน เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกเบื่อ จึงปีนขึ้นไปจับจักจั่นบนต้นไม้ใหญ่ภายในจวนราชครู ยิ่งใกล้หน้าร้อนมากเท่าใด จักจั่นบนต้นไม้ก็ส่งเสียงร้องดังระงมมากขึ้นเท่านั้น เฟิ่งสือจิ่นจึงจับพวกมันมามัดรวมกันเสียเลย
ในขณะเดียวกัน ตุ้บ... หินลูกหนึ่งถูกโยนข้ามกำแพงเข้ามาภายในจวน และตกลงบนพื้นเบาๆ เป็เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นจึงปีนไปตามกิ่งไม้ใหญ่ที่แสนอุดมสมบูรณ์ แล้วมองออกไปที่นอกกำแพง
นางพบว่าที่ด้านนอก มีคนจงใจโยนหินเข้ามาจริงๆ เขายืนอยู่ข้างกำแพง และโยนหินเข้ามาไม่หยุด ซึ่งนางก็คุ้นเคยกับใบหน้าของคนผู้นี้เป็อย่างดี เขาถือหินหลายก้อนเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นสูงเพื่อเตรียมจะโยนหินออกไปอีกครั้ง เฟิ่งสือจิ่นนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้ นางรวบรวมพละกำลัง แล้วะโเสียงดังลั่น “หลิวอวิ๋นชู เ้ากำลังทำอะไรกันแน่!”
หลิวอวิ๋นชูที่ยืนอยู่นอกกำแพงสะดุ้งโหยง เพราะไม่ทันตั้งตัว เขาจึงใจนรีบซ่อนหินไว้ด้านหลัง จากนั้นก็หันไปมองรอบด้าน ทว่าก็ไม่พบแม้แต่เงาของเฟิ่งสือจิ่น “ทำไมถึงเอาแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ล่ะ ไม่สมเป็วีรบุรุษเสียเลย ถ้าแน่จริงก็ออกมาคุยกันแบบซึ่งๆ หน้าเลยสิ!”
เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยเสียงราบเรียบ “แล้วเ้าที่โยนหินเข้ามาในบ้านของข้าด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ถือเป็วีรบุรุษหรือไง?”
หลิวอวิ๋นชูโพล่งออกไป “หากไม่ใช่เพราะเ้าเอาแต่หลบอยู่ในนั้น ข้าหรือจะเสียเวลา หาทางล่อให้เ้าออกมาหาแบบนี้”
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะหยัน “ถ้ามีธุระก็เดินเข้ามาทางประตูหลักสิ”
หลิวอวิ๋นชูพูด “ไม่ได้ แบบนั้นน่าขายหน้าจะตาย” เฟิ่งสือจิ่นโยนพวงจักจั่นในมือไปที่ร่างของหลิวอวิ๋นชู เขามองเห็นไม่ชัด จึงไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อหยิบมันขึ้นมาดูอีกครั้ง เขาก็ใจนหน้าถอดสี แทบจะหัวใจวายตายเลยทีเดียว “อ๊าก!!!” เขากรีดร้องเสียงดังครั้งแล้วครั้งเล่า สะบัดมือไปพลาง ะโด่าไปพลาง “เฟิ่งสือจิ่น ทำไมเ้าถึงวิปริตได้ถึงขนาดนี้นะ!”
เฟิ่งสือจิ่นพูดเย้ย “ชิ... ขี้ขลาดขนาดนี้ยังคิดจะทำตัวเป็นักเลงอีก ข้าว่า เ้ากลับไปนอนตีพุงที่บ้านดีกว่า”
หลิวอวิ๋นชูถูกยั่วยุจนรู้สึกโกรธ เขาโมโหจนหน้าดำหน้าแดง แสงแดดที่ส่องกระทบทำให้เขาดูรูปงามและเย้ายวนเป็อย่างมาก เขายังไม่ลืมว่าตนมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด สติระลอกสุดท้ายสั่งให้เขาถามออกไป “ทำไมถึงไม่ไปเรียนที่วิทยาลัยหลวงแล้วล่ะ?”
เฟิ่งสือจิ่นชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ “ไม่มีใครอยากให้ข้าไปอยู่แล้วนี่ จุดจบแบบนี้ เป็ความ้าของพวกเ้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“เ้ากลัวองค์หญิงเจ็ดจนไม่กล้าโผล่หัวออกจากกระดองมากกว่ากระมัง?”
เฟิ่งสือจิ่นคล้อยตาลงต่ำ นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ก็ใช่น่ะสิ ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว”
หลิวอวิ๋นชูนิ่งเงียบลงชั่วครู่ ใบหน้าของเขาฉายคำว่า ‘กลุ้มใจ’ ออกมาอย่างเห็นได้ชัด เฟิ่งสือจิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย นางมองลอดใบไม้สีเขียวขจี แล้วมองไปที่ริมขอบฟ้าสีแดง “นี่ก็ค่ำแล้ว แม่เ้ายังไม่เรียกกลับไปกินข้าวหรือไง?”
สักพักหลิวอวิ๋นชูก็พูดขึ้น “ทุกคนในวิทยาลัยต่างก็รู้ดีว่าองค์หญิงเจ็ดมีนิสัยเกรี้ยวกราด คาดเดาไม่ได้ ตอนแรก ข้าคิดว่านางอยากเป็เพื่อนกับเ้าจริงๆ คิดไม่ถึงว่าแค่พริบตาเดียว... แต่เ้าก็ไม่ต้องกังวลไป หากเ้าต่อกรกับนางด้วยวิธีที่ใช้กับข้าละก็ เ้าต้องเอาชนะนางได้แน่ แม้ตอนนี้เ้าจะเป็ฝ่ายเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่เมื่อสู้กันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเ้าก็จะชินเอง...”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “เ้ากำลังยุให้ข้าตั้งตัวเป็อริกับองค์หญิงเจ็ดหรือ?”