เขากล้าดีอย่างไร
เหอตังกุยกัดฟันด้วยความเ็า เขากล้าดีอย่างไรนำภาพวาดของนางเข้าไปในศาลเต่าเฟิงของจวนอ๋อง สถานที่ที่ใกล้กับสวนจือหยวน ซึ่งมีบ่อน้ำที่นางและบุตรสาวจมน้ำตายในชาติที่แล้ว
“สิบปี... ตายและเกิดใหม่สองครา แม้ไม่อยากจำแต่กลับยากจะลืม หลุมฝังศพที่อยู่ห่างไกลเป็พันลี้ ไม่มีที่ใดที่ข้าจะสามารถเอ่ยถ้อยคำอันน่าเวทนาออกมาได้ แม้ว่าได้พานพบ เ้าจะไม่รู้จักข้า ฝุ่นเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า ปอยผมดั่งน้ำค้างแข็ง” เหอตังกุยหัวเราะในใจอย่างบ้าคลั่ง ช่างเป็บทกวีที่ยอดเยี่ยมเสียจริง นับว่าเป็ความคิดถึงของจูฉวนที่มีต่อสนมเหอผูตายอย่างน่าเวทนาเมื่อชาติที่แล้วหรือไม่? เหตุใดจูฉวนในวัยเด็กที่ไม่ได้รู้เื่ราวใดๆจึงได้เขียนบทกวีที่ซู่ต้งเขียนให้ภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วของเขา? ช่างเป็บทกวีที่น่าหัวเราะเยาะเสียจริง นางจะคู่ควรกับบทกวีนี้ได้อย่างไร? แม้ในชาติก่อนนางจะไม่ใช่ภรรยาของเขาก็ตาม
“คุณหนูสาม” หยางมามาเห็นเหอตังกุยเหม่อลอย นางจึงเอ่ยต่อไปว่า “เมื่อวานคนทั้งสองรีบร้อนมาก กระทั่งคุณชายเฟิงก็ยังไม่ได้ร่ำลาจิ่วกู จิ่วกูเสียใจเป็อย่างมาก นางให้คนไปสอบถามสถานการณ์ที่เรือนทิงจู ได้ความจากบ่าวรับใช้ว่า สิบวันมานี้แขกทั้งสองท่านพักในห้องเดียวกัน จิ่วกูเดินเข้าไปในห้องของพวกเขาก็พบเข้ากับห่อของบางอย่าง คิดว่าเป็คุณชายเฟิงทิ้งของไว้ให้ตนจึงเปิดดู แต่ใครจะ คิดว่าของด้านในจะเป็ภาพวาดของคุณหนู ลงลายอักษรว่า “หนิงยวน” มีจดหมายหนึ่งฉบับในนั้นมีจี้หยกและข้อความเขียนว่า ‘จี้หยกนี้มอบให้เ้า’ ” หยางมามานำจี้หยกชิงหลงยื่นมาตรงหน้าเหอตังกุย “เหล่าไท่ไท่ดูซ้ำอยู่หลายรอบ สงสัยว่าของสิ่งนี้อาจจะเป็ของของราชวงศ์”
เหอตังกุยมองจี้หยก เฮอะ นี่เป็จี้หยกของพระชายาเซี่ยมิใช่หรือ? นางยังจำที่สนมกู่กล่าวอย่างอิจฉาเมื่อชาติที่แล้วได้ นั่นเป็สินสอดที่จูฉวนมอบให้เซี่ยเฉียวเฟิงตอนสู่ขอ และเซี่ยเฉียวเฟิงก็มักจะนำมันมาโอ้อวด จูฉวนถูกน้ำมันกระเด็นใส่จนตาบอดไปแล้วหรืออย่างไร? แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็คนรอบคอบและไม่เคยปล่อยให้คนอื่นพบข้อผิดพลาดของเขาได้ง่ายๆ แต่เหตุใดเขาถึงได้มอบหยกที่เปิดเผยฐานะของตนให้แก่ศัตรูได้?
“คุณหนูสามท่านดูดีๆ ว่านี่คือของของคุณชายหนิงหรือไม่?” หยางมามามอบจี้หยกให้เหอตังกุย ก่อนจะเอ่ยกำชับว่า “ระวังหน่อยนะเ้าคะ สิ่งนี้มีค่ามหาศาล ต้องใช้สองมือประคอง”
เหอตังกุยไม่ยอมรับ นางส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ข้าเคยพบหน้าเขาเพียงครั้งเดียว เพราะพวกท่านถูกผงคันจึงให้ข้าไปส่งแขกแทนในครั้งนั้น ข้าเพียงพูดคุยกับคุณชายเฟิงไม่กี่ประโยคก่อนพวกเขาจะจากไป ข้ากับแขกแซ่หนิงผู้นั้นไม่ได้คุ้นเคยกัน ในเมื่อจี้หยกนี้ล้ำค่า เช่นนั้นมามาก็อย่าได้ให้ข้าแตะต้องเลย ข้ามักจะมือสั่นหลังตื่นนอนในยามเช้า”
“พวกท่าน... ไม่เคยพบกันแบบส่วนตัวมาก่อนงั้นหรือ? คุณชายหนิงไม่เคยพูดอะไรกับท่านเลยจริงๆ หรือ?... คำสารภาพรักอะไรพวกนั้น?” หยางมามาพิจารณาสีหน้าของเหอตังกุยอย่างสงสัย แม้ว่าสีหน้าของนางจะปกติแต่กลับรู้สึกว่ามันแตกต่างจากเดิม มันเ็าอย่างบอกไม่ถูก หยางมามาชี้ไปที่ภาพวาดบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดภาพของคุณหนูถึงมาอยู่ในนี้ได้? ทั้งสีหน้า แววตา และรอยยิ้ม ภาพนี้คือคุณหนูอย่างแน่นอน เอ้อร์ไท่ไท่มักจะเชิญนักวาดภาพที่มีชื่อเสียงมาวาดภาพเหมือนให้กับคุณหนูรองและคุณหนูสี่ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถวาดภาพได้ถึงระดับนี้ หากเขาไม่ได้มีใจให้คุณหนู เหตุใดทุกลายเส้นพู่กันถึงได้สื่อถึงความรักอันลึกซึ้งเช่นนี้ และทุกตัวอักษรยังบอกถึงความคะนึงหาอีกด้วย?”
เหอตังกุยหัวเราะออกมาเสียงดัง นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาและเอ่ยว่า “ที่แท้มามาก็เป็คนที่โน้มน้าวใจคนเก่งเหมือนกัน หากไปเข้าร่วมสอบขุนนางมามาคงจะได้อันดับสองอย่างแน่นอน... ข้าไม่เข้าใจภาพวาด ไม่รู้อักษร ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่รู้ว่าเนื้อหาบนนั้นบอกว่าอะไร แต่ข้าเคยได้ยินคุณชายเฟิงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง เขาบอกว่าแขกแซ่หนิงผู้นั้นมีน้องสาวที่หน้าตาเหมือนข้าแต่นางตายจากไปแล้ว อาจจะเป็ไปได้ว่าเขาวาดรูปน้องสาวของเขา”
“น้องสาว?” หยางมามาและจิ่วกูมองหน้ากัน จิ่วกูไตร่ตรองก่อนจะพยักหน้า “มีความเป็ไปได้สูงหากจะบอกว่าเมื่อได้พบคุณหนูสามที่มีใบหน้าเหมือนน้องสาวที่ตายจากไป เขาจึงวาดภาพ เขียนบทกวีและมอบจี้หยกให้ เพราะบทกวี ‘หงเฉิงจื่อ’ นี้ก็เป็บทกวีที่สื่อถึงความคะนึงหาถึงผู้ที่ตายไปแล้ว หากคุณชายหนิงชอบคุณหนูสามจริงๆ เขาก็ไม่ควรเลือกบทกวีนี้ให้แก่นาง”
หยางมามาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่สิ่งที่น่ากลุ้มใจอีกเื่ก็ผุดขึ้นมา “จี้หยกนี้ไม่ใช่ของธรรมดา ไม่เหมือนของที่หาได้ทั่วไป พวกเราจะจัดการเื่นี้อย่างไร? คุณหนูสาม ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เ้าค่ะ” เหอตังกุยตอบไปอย่างสั้นๆ
หยางมามาและจิ่วกูเงียบงันไปพักใหญ่ ก่อนที่จิ่วกูจะเอ่ยกับหยางมามาว่า “ไม่ว่าจะเป็การสารภาพรักกับคุณหนูสามหรือไม่ หรือคิดว่าคุณหนูสามเป็ตัวแทนของน้องสาวที่ตายไปแล้ว จี้หยกนี้ถึงอย่างไรเขาก็มอบให้นาง ในเมื่อเหล่าไท่ไท่ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร ตามความเห็นของข้าจี้หยกนี้ก็ควรให้คุณหนูสามดูแลไปก่อนชั่วคราว ต่อไปหากคุณชายเฟิงกับคุณชายหนิงมาที่จวน ก็สอบถามให้ชัดเจน ว่าจี้หยกนี้จะเอาคืนหรือจะให้ทางเราเก็บไว้ เป็อย่างไร?”
หยางมามานำจี้หยกใส่ลงไปในกล่องผ้าด้วยความลังเล ก่อนจะยัดใส่มือของเหอตังกุยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยกำชับว่า “จะต้องรักษาไว้ให้ดี อย่าให้เสียหายแม้เพียงจุดเดียว อีกประเดี๋ยวข้าจะไปเลือกกล่องเหล็กที่มีน้ำหนักหลายร้อยจินที่คลังมาสักใบ เอามาให้ท่านซ่อนจี้หยกนี้โดยเฉพาะ คุณหนูสามท่านต้องรักษาเอาไว้ให้ดีนะเ้าคะ” หลังจากสั่งกำชับนางแล้ว ก็พบว่าคุณหนูสามดูอ่อนแอแม้แต่กล่องก็ยังยกไม่ไหว เมื่อนึกถึงคำที่นางกล่าวเมื่อครู่นี้ว่า ‘นางมักจะมือสั่นเทาหลังจากตื่นนอนตอนเช้า’ ” ทำให้หยางมามาใทันทีก่อนจะยกกล่องนั้นกลับมาและยัดเข้าไปใต้หมอน จากนั้นก็สั่งอีกสองสามประโยคก่อนจะจากไปพร้อมกับจิ่วกู ขณะที่นางเดินกลับนั้นก็หันกลับมาถึงสามรอบ
เมื่อทั้งสองคนจากไป ฉานอีก็ะโเข้าประตูมาหยิบผลผิงกั๋ว[2] ออกมาจากผ้ากันเปื้อนเช็ดครู่หนึ่งก่อนจะกัดไปหนึ่งคำพลางเอ่ยถามว่า “เ้ากำลังคิดอะไรอยู่? หยางมามาส่งของกินเสื้อผ้าของใช้มากมายมาให้พวกเรา ของกินทั้งหมดก็วางกองไว้อยู่บนโต๊ะและบนพื้นในห้องครัว มากกว่าของที่ถูกวางอยู่ในศาลาตั้งโลงศพของเ้าคราวที่แล้วเสียอีก มีของดีมากมายที่ข้าทั้งรู้จักและไม่รู้จัก อย่างเช่นผลไม้สีแดงอ่อน ข้าถามเซียวซุนหยาถึงได้รู้ว่ามันคือลิ้นจี่และเป็ผลไม้โปรดของหยางกุ้ยเฟย นางบอกว่าผลไม้พวกนี้เน่าง่ายจึงต้องใช้น้ำเย็นแช่ รีบกินเร็วๆ ถึงจะดี ข้าปอกให้เ้ากินดีหรือไม่?”
“ข้าไม่ชอบกินผลไม้ชนิดนั้น พวกเ้าแบ่งกันกินเถอะ อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกง่วงอยากนอนงีบสักพัก พวกเ้าก็ไปจัดการของให้เรียบร้อย แล้วเลือกสาวใช้ที่ใช้งานได้ จากสาวใช้สิบสองคนที่หยางมามาส่งมาไปช่วยพวกเ้าจัดของในครัว อีกประเดี๋ยวหยางมามาจะให้คนมาส่งกล่องเหล็ก เ้าก็ให้พวกเขาวางเอาไว้ที่หน้าประตู ไม่ต้องเคาะประตู หากคนในเรือนหลิวหลี่ให้คนมาตามข้าเพื่อพาคุณชายจูไป เ้าก็ให้ป๋อเหอกับโต้วเจียงอุ้มเขาไปดูแล พอฟ้ามืดก็ค่อยอุ้มกลับมา ไม่ว่าใครจะเข้ามา ก็บอกไปว่าข้าท้องเสียไม่สามารถพบเจอผู้ใดได้ เอาล่ะ มีเพียงเท่านี้ เ้ารีบไปเถอะ”
เมื่อกล่าวจบก็ผลักฉานอีออกไปจากประตู และลงกลอนอย่างแ่า หลังจากแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว นางได้ยินเสียงฉานอีกัดผลผิงกั๋วแล้วบ่นงึมงำว่า “เป็เพราะกินบะหมี่หวานๆ ถ้วยนั้นเลยทำให้นางท้องเสียหรือไม่?” ก่อนจะเดินจากไป เหอตังกุยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะปิดผ้าม่านลงและวิ่งกลับไปที่เตียง แล้วปล่อยมุ้งลง
นางประเมินตัวเองสูงเกินไป
นางนึกว่าเมื่อผ่านคืนนั้นไปทุกอย่างจะดีขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หรือนางดื่มชากุ้ยฮวามากเกินไป? ถึงได้ทำให้ท้องของนางมีลมเย็นจนหดตัว และทำให้มันปั่นป่วนขึ้นมา
นางซ่อนท้องน้อยของตนเอาไว้ในผ้าห่มด้วยร่างที่สั่นเทา ไม่ได้! นางจะให้ใครเห็นไม่ได้ มีเพียงปล่อยให้นางอยู่คนเดียวไปอย่างนี้
นางนึกว่าจะมีข่าวดีตอนเช้าตรู่ ยังคิดว่าหยางมามาจะนำสิ่งของและของชดเชยทุกรูปแบบมามอบให้นางเพื่อตอบแทนความรักความกตัญญูของหลานสาว แต่ที่ไหนได้พวกนางกลับสงสัยว่ามีองค์ชายกำลังตกหลุมรักนาง ที่แท้แผนการและการแสดงของนางเทียบไม่ได้กับภาพวาดของเขา แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ยืนอยู่เหนือนางมาตลอดความแตกต่างนี้แม้จะเงยหน้าขึ้นมองก็ยังไม่เพียงพอ”
ชาติที่แล้วนางนึกว่านางรักเขา ชาตินี้นางนึกว่านางเกลียดชังเขา ตอนนี้เขาปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ นางกลับกลัวความสามารถของเขาและวิธีการทั้งหมดที่เขาสอนนาง ตอนที่นางเผชิญหน้ากับต่งซื่อหลัวป๋ายเส่าและคนอื่นๆ นางมักจะรู้สึกว่าผู้ใหญ่เล่นกับเด็ก แต่ตอนนี้ปรมาจารย์แห่งการวางแผนปรากฏตัวแล้ว นางรู้ว่าตนไม่สามารถเอาชนะคนผู้นี้ได้ เมื่อนางได้ยินว่าเขาออกไปจากตระกูลหลัว แม้ปากนางจะบ่น แต่ในใจกลับยินดียิ่งนัก นางไม่ต้องกลัวการเผชิญหหน้ากับคนผู้นี้อีกต่อไป แต่เหตุใดเขาถึงได้มอบยาพิษให้แก่นาง หรือว่าเขาจะมาหานางอีก?
หรือว่าในขณะที่นางกำลังอยู่อย่างสงบในเรือนเถาเหยา จู่ๆ วันหนึ่งเขาก็ทำเหมือนกับชาติที่แล้ว นั่นก็คือส่งแม่สื่อเข้ามาเจรจาสู่ขอ และใช้นามของอ๋องหนิงพาตัวนางไป?
หรือว่านางจะได้พบกับโจวจิงหลันเซี่ยเฉียวเซี่ยอีกครั้ง? และนางยังต้องกลับไปยังสถานที่ที่นางและบุตรสาวต้องตาย ต้องัักับความฝันเก่าอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?
เหตุใดจึงต้องให้นางได้พบเขาอีกครั้ง? นางเสียใจยิ่งนัก เสียใจที่ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ หากนางรู้ นางจะเก็บซ่อนตนเองเอาไว้เป็อย่างดีไม่ให้เขาได้พบนาง ไม่ให้เขาเกิดความสนใจในตัวนาง และไม่ปล่อยให้นางเป็เหยื่อของเขา... แย่จริงๆ ตอนนี้นางกลายเป็เหยื่อของเขาแล้ว นางรู้จักนิสัยและวิธีการของเขาดี ตราบใดที่เขาชอบ ไม่ว่าจะสิบปียี่สิบปี เขาก็ต้องทำทุกวิถีทางให้ได้มา แม้ว่าจะตายจนกลายเป็ผุยผงก็ต้องได้... จนกระทั่งนางสิ้นใจตายเมื่อชาติที่แล้ว แววตาของเขาก็ยังคงจับจ้องบัลลังก์ั ทั้งยังวางแผนคิดรับมือกับฮ่องเต้องค์ใหม่
“เฮ้อ เหตุใดเ้ายังนอนอยู่อีกเล่า ช่างเกียจคร้านอะไรเช่นนี้” จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากนอกผ้าห่ม “รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า ข้ามีเื่จะบอกเ้า”
ทันใดนั้นร่างกายของนางก็เย็นวูบขึ้นมา และมีแสงสว่างแยงตา ผ้าห่มที่คลุมร่างหายไปไหน แย่แล้ว ถูกคนผู้นั้นหาตัวเจอเช่นนี้ ด้วยวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมของเขา ไม่แน่เขาอาจจะมาปรากฏตัวอยู่บนเตียงของนางเหมือนกับปรมาจารย์น้อง และจับนางไปขังเอาไว้และทำให้นางตายทั้งเป็
“เ้าเป็อะไรไป? เ้าไม่สบายหรือ?ยังกลางวันอยู่แท้ๆ เหตุใดเ้าตัวสั่นเช่นนี้?” นิ้วเย็นๆ แตะลงที่หน้าผากของนางพลางเอ่ยว่า “อ๊ะ เ้าเป็ไข้แล้ว ทรมานหรือไม่? ให้หมอมาดูอาการก่อนดีหรือไม่?” เสียงนั้นใกล้เข้ามามากขึ้นและนางก็ััได้ถึงลมหายใจของคนผู้นั้น “ยังร้องไห้อยู่อีกหรือ? เมื่อวานนี้เ้ายังไม่ร้องไห้เลย ข้ายังนึกว่าเ้าเป็ฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่เสียอีก แต่ที่ไหนได้เ้ากลับป่วยแล้วยังแอบร้องไห้อยู่คนเดียว” เขาจับร่างที่อ่อนแอของนางให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าใช้กำลังภายในของข้ารักษาเ้าได้ ให้ข้าช่วยเ้าดีหรือไม่ แลกกับการที่เ้าไม่นำวรยุทธ์ที่แท้จริงของข้าไปบอกผู้อื่น”
เขาวางฝ่ามืออุ่นๆ ไว้บนหลังของนาง และเริ่มถ่ายทอดกำลังภายในเข้าสู่ร่างกายนาง แผ่นหลังของนางค่อยๆ รู้สึกอุ่นแล้วเปลี่ยนเป็ร้อนลวก ความรู้สึกนี้ส่งผ่านจากด้านหลังไปยังหน้าอกแล้วแผ่กระจายความร้อนไปทั่วร่างกายก่อนจะขับไล่ความหนาวเย็นออกไปจากร่างกายในที่สุด
แต่ว่ารักษาอาการป่วยหายแล้วจะอย่างไร? นางถูกปีศาจชั่วร้ายจับจ้องตลอดเวลา นางคงจะต้องตายในอีกไม่ช้า นางจะต่อสู้กับปีศาจที่น่ากลัวที่สุดและไร้ความปรานีที่สุดได้อย่างไร? นางต้องร้องขอชีวิตจากเงื้อมมือปีศาจตนนั้นหรือไม่? แย่จริงๆ เขารู้แล้วว่าฉานอีคือจุดอ่อนของนาง ตราบใดที่เขาสืบหา เขาก็จะรู้ทันทีว่านางก็มีแม่แท้ๆ อีกคน หากนางไม่เชื่อฟังเขา เขาจะจับพวกนางทั้งสองไปหรือไม่ แล้วใช้ชีวิตของพวกนางมาบีบบังคับตน?
“สาวน้อย ทำใจให้สบาย รวบรวมสมาธิไปที่จุดตันเถียน จิตใจของเ้าว้าวุ่นเกินไป เมื่อลมปราณของข้าเข้าไปก็ถูกเ้าขับไล่ออกมา”
“...”
ครู่ต่อมา มืออุ่นคู่นั้นก็ผละออกจากแผ่นหลังของนาง ร่างกายที่อ่อนแอถูกวางลงบนเตียงและผ้าห่มก็ถูกนำกลับมาคลุมร่างให้นางอีกครั้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินไกลออกไปต่อมาเป็เสียงเปิดของตู้และเสียงกำลังทำอะไรบางอย่างในตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเป็เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าร่างกายของนางถูกบางอย่างกดทับเอาไว้ และจากนั้นก็เปลี่ยนเป็ความอบอุ่น
“ที่แท้ในตู้ของเ้ายังมีหมอนผ้าห่มอีกหลายผืน เหตุใดไม่เอามันออกมาใช้เล่า? เ้าดูสิมันเยอะขนาดไหน เตียงที่เต็มไปด้วยหมอนและผ้าห่มค่อยดูเหมือนมีคนอยู่ขึ้นมาหน่อย เข้ามาเมื่อครู่ยังคิดว่าไม่มีใครอยู่เสียอีก ตอนที่พวกเราแยกกันเมื่อเช้าเ้ายังดูสบายดีเหตุใดห่างกันเพียงสองชั่วยามเ้าก็กลายเป็แบบเมื่อคืนนี้อีกแล้ว? ไม่ๆ แย่กว่าเมื่อวานนี้มาก ราวกับว่าทั้งตัวของเ้ามีคำว่า ‘ให้ข้าหายไป’ ‘ข้าไม่ควรมาอยู่ในโลกใบนี้’ ติดอยู่” น้ำเสียงของเขาคล้ายเยาะเย้ยอยู่สามส่วน และมีความสุขอีกเจ็ดส่วน“ใครรังแกเ้า? เสี่ยวล่าเจียว[1]?เหตุใดเ้าถึงไม่จัดการเขาเหมือนกับที่ทำกับข้าเมื่อคืนเล่า?
ทันใดนั้นหมอนใบหนึ่งก็ถูกโยนไปทางเสียงเมื่อครู่
“ฮ่า โชคดีที่รับไว้ได้ ทักษะการโยนของเ้านั้นแย่เกินไป เกือบทำหมอนตกพื้นสกปรกแล้ว”
“…ตอนนี้เพิ่งเที่ยง เ้าบอกว่าจะมาตอนกลางคืนมิใช่หรือ” เมื่อนางเอ่ยปาก นางถึงได้รู้ว่านางยังพอมีแรงเปล่งเสียงออกมาได้”
“ขอโทษ เย็นนี้ข้ามาไม่ได้แล้ว” น้ำเสียงนั้นอยู่ไกลเล็กน้อย จากนั้นก็เป็เสียงลากเก้าอี้และเสียงกินเมล็ดแตงโมดังขึ้น “ข้าอยู่ที่นี่ไม่นาน พ่อของข้ากำลังรอข้าอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ข้าจะพูดสั้นๆ พอข้าพูดจบข้าก็จะไป”
เขาก็จะไปแล้ว? ไปเร็วเช่นนี้? เขาคงเป็เพียงคนที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไปเท่านั้น นางคิดว่าเด็กหนุ่มที่ไม่เหมือนใครผู้นี้จะเป็แสงสว่างที่เข้ามาส่องทางให้นางได้เดินไปไกลยิ่งกว่าเดิม แต่นางคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของถนนแล้ว
เสียงกินเมล็ดแตงโมดังต่อเนื่องครึ่งถ้วยชา “ว้าว เมล็ดแตงโมนี่รสชาติพิเศษจริงๆ มันแตกต่างจากเมล็ดแตงโมทุกชนิดที่ข้าเคยกินที่ร้านยวี่เซียนฟ๋างในเมืองหลวง น้ำที่เ้าให้ข้าดื่มเมื่อเช้าก็อร่อยเช่นกัน เดิมทีข้าอยากมากินอาหารยามดึกกับเ้า”
แกรก แกรกๆ แกรกๆๆ ตุบ
“แต่ข้าไปหาเหล่าไท่ไท่เมื่อเช้านี้ เพื่อบอกว่าข้าอยากเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ นางเชิญข้ามาตระกูลหลัวบ่อยครั้ง แต่กลับไม่ได้เอ่ยให้ข้าพักอยู่ในจวนของพวกเ้า ข้าบอกเป็นัยๆ สองสามครั้งแต่นางก็ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นแผนการอาศัยอยู่ที่จวนของพวกเ้าจึงล้มเหลว”
ไม่ให้เขาอยู่ที่นี่งั้นหรือ? ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ นี่ไม่เหมือนกับนิสัยของเหล่าไท่ไท่เลยสักนิด ประการแรกเหล่าไท่ไท่ชอบบรรยากาศครึกครื้น ชอบให้มีเด็กๆ อยู่ในจวนมากๆ ประการที่สองนางตื่นเต้นมากเมื่อได้เห็นคุณชายสูงศักดิ์ที่ยังเด็กและมีความสามารถ แต่เหตุใดนางถึงไม่ยอมให้เมิ่งเซวียนอยู่ที่ตระกูลหลัวเล่า?
ครั้งนี้เมิ่งเซวียนผู้ชาญฉลาดและเหอตังกุยไม่สามารถเดาความคิดของเหล่าไท่ไท่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่รั้งให้แขกผู้สูงศักดิ์อยู่ต่อ ทว่าเหล่าไท่ไท่ไม่ได้พิจารณาว่า ‘แขกที่สิบปีก็ยากจะได้พบ’ กับ ‘แขกที่อยู่ตระกูลหลัวในระยะยาว’ นั้นคือความหมายเดียวกัน นางไม่เคยคิดในด้านนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจความหมายที่เมิ่งเซวียนอยากจะพักอยู่ในตระกูลหลัวระยะยาว และทำเพียงเชิญให้เขามาเยี่ยมเยียนตระกูลหลัวบ่อยๆ
“ต่อมาพ่อของข้าก็มาตามข้า ข้าบอกเขาว่าข้าอยากเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ เขาก็เห็นด้วยอย่างยิ่งและจะเลือกจวนที่อยู่ใกล้สำนักศึกษาสักแห่งให้ข้า เลือกบ่าวรับใช้ให้เป็สหายเรียนสักสองสามคน ดังนั้นข้าจึงไปจากตระกูลหลัวของพวกเ้าในวันนี้ เกรงว่าหลังจากที่พ่อข้าไปจากเมืองหยางโจวข้าถึงจะมาหาเ้าได้ในตอนกลางคืน ลมปราณเจินชี่ของเ้าถูกข้ากลืนกินมาหนึ่งส่วน และอีกเก้าส่วนที่เหลือยังอยู่ในร่างกายของเ้า สาวน้อย หลายวันที่ข้าไม่ได้มาหาเ้า เ้าต้องอย่าเหม่อลอย อย่าฟุ้งซ่าน อย่าเศร้าใจ เพราะมันจะเป็อันตรายต่อเ้า ดังนั้นความเสียใจทุกสิ่งอย่างของเ้าจงเก็บมันเอาไว้ก่อน รอให้ข้ามาปรับลมปราณครั้งหน้าเ้าค่อยพูดมันออกมาให้ข้าฟัง”
“อืม…” คำเกลี้ยกล่อมคนเช่นนี้ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เมื่อนางได้ยินในเวลานี้ มันช่างน่าฟังยิ่งนัก
"แกรก แกรก" เสียงเคี้ยวเมล็ดแตงโมคลอไปกับคำพูดที่อ่อนโยนของเขา แม้ว่านางจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดและอบอุ่นภายใต้ผ้าห่มหนาๆ ผืนนี้ แต่นางก็ยังััได้ถึงดวงตาที่สดใสและรอยยิ้มที่อบอุ่นของเขา “ถ้าอย่างนั้น… ข้าก็มีเื่จะพูดเพียงเท่านี้ พ่อของข้ากำลังคุยกับคนในครอบครัวของเ้า ถ้าเขาทำตัวไม่ดีหรือแสดงสีหน้าที่แท้จริงของเขาออกมา มันคงไม่ดีแน่ เพราะต่อไปข้าจะมาเยี่ยมจวนของพวกเ้าในฐานะชื่อของพ่อข้า เ้ามีผ้าเช็ดหน้าให้ข้ายืมหรือไม่? ผ้าเช็ดหน้าของข้าเช็ดเืกำเดาของเ้าไปเมื่อวานนี้แล้ว”
“เ้าไปหาเอาในลิ้นชักเองก็แล้วกัน”
“ข้าหาไม่เจอต้องทำอย่างไร? ในนี้มีแค่ถุงเท้า ถุงเท้าพวกนี้ดูใหม่เอี่ยม เ้าเคยใส่มาก่อนหรือไม่?”
“ข้าไม่รู้”
“มันดูใหม่เอี่ยมมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าขอยืมหนึ่งข้างก็แล้วกัน ขอบคุณ”
“เ้าจะเอาไปทำอะไร?”
“ก็ต้องเอามาใส่เมล็ดแตงโมพวกนี้อย่างไรเล่า เ้าดูป่วยไร้เรี่ยวแรงขนาดนั้น คงไม่อยากกินเมล็ดแตงโมพวกนี้แน่นอน จะวางเอาไว้บนผ้าเดี๋ยวมันก็ไม่อร่อย ข้าหวังดีอยากช่วยเ้าจัดการ เ้าไม่ต้องซาบซึ้งใจก็ได้”
“...”
“ข้าไปละ ไว้เจอกันคราวหน้า”
หน้าต่างเปิดขึ้นแล้วก็ปิดลง เด็กหนุ่มที่ฉลาดและลึกลับเหมือนกับตัวนางมาแล้วก็จากไป แม้แต่โรคที่ไม่สามารถบอกใครได้ของนางก็ไปพร้อมกับเขาอย่างไม่รู้ตัว เป็เพราะเขาบอกว่าถ้านางฟุ้งซ่านลมปราณเจินชี่จะสูญเสียการควบคุม เขาพูดว่า ความเสียใจทั้งหมดของนางให้เก็บเอาไว้ก่อนชั่วคราว แล้วค่อยระบายมันออกมาตอนได้พบกับเขาครั้งหน้า
ถ้าอย่างนั้นก็ไว้เจอกันคราวหน้า ปรมาจารย์น้อย
…...
“ตื่นได้แล้ว” ฉานอีดึงนางลุกขึ้นมา “วันนี้คุณหนูต้องไปเรียนวันแรกนะเ้าคะ หรืออยากไปเรียนสายหรืออย่างไร? นอนติดกันมาสองสามวันแล้ว หรือยังง่วงอยู่อีกหรือ?”
เหอตังกุยมองไปด้านนอกอย่างงุนงง “เหตุใดฟ้ายังมืดอยู่เลยเล่า ตอนนี้กี่ยามแล้ว?”
“ไม่ยามสามก็ยามสี่เ้าค่ะ คนบอกเวลาเพิ่งจะแจ้ง แต่ข้าไม่ได้สนใจ” ฉานอีช่วยนางสวมเสื้อผ้าอย่างชำนาญและบ่นต่อไปว่า “เมื่อก่อนตอนเ้าตื่นนอนไม่พับผ้าห่มก็ไม่เป็ไร แต่ตอนนี้ดูสิ เ้าใช้ผ้าห่มสี่ผืนตอนเ้านอน เ้าไม่รู้หรือว่าตอนที่ข้าพับผ้าห่มให้เ้าข้าต้องเสียเวลาไปประมาณหนึ่งก้านธูป?”
เหอตังกุยเบิกตากว้าง “ยามสาม? เ้าปลุกข้าให้ไปเรียนตอนยามสามนี่หรือ?” มิน่าล่ะ นางเพิ่งจะรู้สึกว่านอนลงบนเตียงได้ไม่นาน จู่ๆ ก็ถูกดึงขึ้นมาจากเตียง
ฉานอีกลับไม่ได้คิดว่าเื่นี้นั้นผิดปกติ นางเอ่ยกำชับคุณหนูสามว่า “ข้าได้ยินมาว่าคนที่เรียนในสำนักศึกษาจะต้องกินอาหารกลางวันข้างนอก เ้าเป็คนชอบกินจุกจิก ข้าก็เลยเตรียมกล่องอาหารกลางวันให้ มีอาหารหลายอย่างเช่น แป้งทอดเมล็ดงาใส่เนื้อหัวหมู ไก่ม้วนนึ่งสี่สี ขาไก่อันใหญ่สะเด็ดน้ำมัน เพื่อนร่วมชั้นของเ้าจะต้องตาค้างกับอาหารที่อุดมสมบูรณ์นี้ เ้าต้องกินให้หมดห้ามแบ่งให้ใครเพราะข้าทำอาหารนี้ทั้งคืน”
ในขณะที่เหอตังกุยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ถูกห้วยฮวาลากมานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทาแป้งและผูกผ้าโพกหัวให้
ห้วยฮวากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หยางมามามาเมื่อวานนี้ นางกำชับข้าเป็พิเศษ แม้เ้าจะไม่รู้หนังสือก็ไม่เป็ไร ไม่ตั้งใจเรียนก็ไม่เป็ไร แต่เ้าต้องแต่งตัวให้งดงามถึงจะสามารถไปเรียนหนังสือได้ ได้ยินมาว่าวันแรกที่ไปเรียนคุณหนูทุกคนต่างก็แต่งตัวกันอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ตัวเองสวยขึ้น เพราะในสำนักศึกษาส่วนของสตรีนั้นจะมีการประชันความงามที่ยิ่งใหญ่... เ้าวางใจได้ ข้าจะต้องทำให้คุณหนูของข้างดงามที่สุด คุณหนูจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน เ้าจะต้องได้ตำแหน่ง ‘สตรีที่งดงามที่สุด’ ”
…...
[1] เสี่ยวล่าเจียว หมายถึง เ้าพริกน้อย
[2] ผลผิงกั๋ว หมายถึง แอปเปิล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้