ใครบางคนยกคางของนางขึ้นช้าๆ ดวงตาคู่สวยทอแสงอย่างงดงาม เป็เวลานานกว่านางจะมองเห็นฮ่องเต้ได้อย่างชัดเจน ฮ่องเต้กล่าวชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “สมแล้วที่เป็พี่น้องฝาแฝดของตระกูลเฟิ่ง ใบหน้าของพวกเ้าเหมือนกันทุกส่วนเลย เ้าเองก็เป็หญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นจิ้นได้เหมือนกัน”
เฟิ่งสือจิ่นพยายามปัดมืดของฮ่องเต้ออก แต่มือนั้นกลับบีบแน่นยิ่งกว่าเดิม “ท่านโหวหรงกั๋วช่างมีลูกสาวที่งดงามเสียจริง เขาทำใจปล่อยให้เ้าออกไปพเนจรอยู่ข้างนอกได้อย่างไรกันหนอ เงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูหน่อย เป็อะไรไป กลัวข้าจะกินเ้าเข้าไปหรืออย่างไร?”
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม นางกัดฟันกรอด “คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นจิ้นจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ ช่างไร้ศักดิ์ศรีเหลือเกิน!”
ฮ่องเต้ไม่โกรธ ทว่ากลับหัวเราะออกมาแทน “คนเป็ฮ่องเต้จะไปสนใจเื่วิธีการทำไม แค่ได้ในสิ่งที่้าก็พอแล้ว แผ่นดินนี้เป็ของข้า ผู้หญิงทุกคนในแผ่นดินก็เป็ของข้าเช่นกัน ข้าก็แค่เลือกใช้วิธีที่จะทำให้เ้ายอมรับเื่นี้ได้ง่ายยิ่งขึ้นก็เท่านั้น หลังผ่านคืนนี้ ในวันรุ่งขึ้น หากเ้ายอมมาเป็ผู้หญิงของข้า ข้าก็จะมอบเกียรติยศและอำนาจให้แก่เ้า แต่หากเ้าไม่ยอม งั้นก็ถือว่าเื่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็แล้วกัน ต่อให้เ้าจะยกเื่นี้ขึ้นมาพูด หากข้าไม่ยอมรับ ก็เท่ากับเ้าพูดจาิ่เบื้องสูง รนหาที่ตาย”
“เ้า... ออกไป...” ฮ่องเต้ขยับเข้ามาใกล้ เขาโอบนางเอาไว้ในอ้อมแขน เฟิ่งสือจิ่นพยายามดันเขาออกไปสุดแรง “อาจารย์ไม่ยอมให้เ้าทำเช่นนี้แน่... หากเ้ายังเคารพอาจารย์อยู่บ้างก็จงหยุดเสีย!”
ฮ่องเต้อุ้มเฟิ่งสือจิ่น แล้วเดินไปที่เตียงัอย่างใจเย็น “ข้าเคารพราชครูมาโดยตลอด ราชครูเองก็คงไม่แตกหักกับข้าเพียงเพราะผู้หญิงแค่คนเดียว โดยไม่สนเื่ความอยู่รอดและอนาคตของเผ่าเย่เสียนเช่นกัน”
“สารเลว!” เฟิ่งสือจิ่นปากด่า สองขาก็ถีบไม่หยุด นางถีบจนโต๊ะล้มคว่ำ ตะเกียงที่อยู่ไม่ไกลร่วงตกลงมาบนพื้น มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำลังจับกริชเล่มหนึ่งแน่น นางจับอาวุธในมือด้วยแรงทั้งหมดที่มี นางไม่สนว่าฮ่องเต้คนนี้จะมีความหมายอย่างไรต่อแคว้นจิ้น นางรู้แค่ว่า หากคนผู้นี้กล้าล่วงเกินนางละก็ ต่อให้ต้องตาย นางก็ไม่ปล่อยฮ่องเต้เอาไว้แน่!
วินาทีนั้น จู่ๆ ภาพที่ทั้งคุ้นเคยและพร่าเลือนก็ผุดขึ้นในหัว ค่ำคืนอันมืดมิด กริชเย็นเยียบในมือ เสียงของกริชที่กรีดแทงเข้าไปในร่างกายของผู้อื่น เือุ่นๆ ที่ไหลออกมาเปื้อนสองมือ... สมองของนางวุ่นวายไปหมด มันเป็ความรู้สึกที่คุ้นเคยทว่าก็ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย ในขณะที่สมองวุ่นวายจนจับความอะไรไม่ได้ ในตอนที่เข้าใกล้เตียงัมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่ฮ่องเต้ทนไม่ไหว จึงก้มหน้ามาใกล้ลำคอของเฟิ่งสือจิ่นมากขึ้นทุกที ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงชุลมุนวุ่นวายดังขึ้นที่ด้านนอก
ฮ่องเต้ชะงักฝีเท้าลง เขาหันไปมองประตูทางเข้า พบว่าขันทีหวังที่อยู่ข้างนอกรั้งไว้ไม่อยู่ ประตูจึงถูกเปิดออก และผู้มาเยือนก็มีท่าทีโกรธเกรี้ยวไม่น้อย
ลมเย็นๆ พัดเข้ามาด้านใน เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว นางพยายามเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ประตูทางเข้า ร่างสีขาวซึ่งตัดกับราตรีมืดมิดเื้ัอย่างสิ้นเชิงก้าวเข้ามาภายในตำหนัก สีทั้งสองสีตัดกันทว่าโดดเด่นเหลือเกิน วินาทีนั้น ราวกับโลกทั้งใบมีแค่สีขาวกับสีดำ
เฟิ่งสือจิ่นมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้เพียงเลือนราง แต่กลับรู้ทันทีว่าผู้มาเยือนคือใคร นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคยกับองค์ชายสี่ที่เพิ่งเจอเพียงครั้งเดียวขนาดนี้... เฟิ่งสือจิ่นพึมพำขึ้นอย่างลืมตัว “ซูกู้เหยียน...” นางฉวยโอกาสตอนที่ฮ่องเต้เผลอ รีบผลักฮ่องเต้ออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี ร่างบางจึงร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น ความเ็ปทำให้สติบางส่วนเริ่มกลับมา เฟิ่งสือจิ่นไม่รอช้า รีบประคองเสาข้างๆ แล้วกระเสือกกระสนลุกขึ้น
ทางด้านของซูกู้เหยียน เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็เม้มปากแน่น ใบหน้าบึ้งตึงและอดกลั้น ผู้หญิงที่เสด็จพ่ออุ้มอยู่ไม่ใช่เฟิ่งสือหนิงเสียหน่อย แต่เป็เฟิ่งสือจิ่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาต่างหาก เขาแค่รู้สึกโมโห รู้สึกผิดหวัง คิดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะทำเื่เช่นนี้กับพี่น้องฝาแฝดของภรรยาตนเท่านั้น แถมนางยังเป็ศิษย์เอกของราชครูอีก หากเื่นี้ถูกแพร่ออกไป ราชวงศ์ต้องอับอายเพียงใด?
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ปล่อยให้ฮ่องเต้มีความสัมพันธ์กับเฟิ่งสือจิ่นไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ลำดับาุโในครอบครัวคงวุ่นวายไปหมด แบบนั้น ราชวงศ์จะถูกคนทั้งแผ่นดินหัวเราะเยาะได้
ฮ่องเต้ไม่ได้ร้อนรนหรือตื่นตระหนกใดๆ ทั้งสิ้น เขาพูดด้วยเสียงไม่พอใจ “ดึกขนาดนี้แล้ว เ้ามาทำอะไรที่นี่ มีเื่อะไรกันแน่?”
ซูกู้เหยียนปรายตามองเฟิ่งสือจิ่นแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลง “กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกมาหาเสด็จแม่ตอนพลบค่ำ เสด็จแม่อยากเรียกศิษย์เอกของราชครูไปถามไถ่เื่อาการของพระสนมอวี๋ แต่กลับได้ยินว่าเฟิ่งสือจิ่นมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่นี่ เสด็จแม่รอนานถึงหนึ่งชั่วยาม แต่เฟิ่งสือจิ่นก็ยังไม่กลับมาเสียที จึงสั่งให้ลูกตามมาดูที่นี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้”
ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้น “ภาพที่ว่า เ้าหมายถึงภาพอะไรหรือ? ระหว่างทางมาที่นี่ เด็กสาวคนนี้ไม่ระวังจึงตกลงไปในน้ำ ข้าเลยให้นางนั่งพักอยู่ที่นี่ก่อน เมื่อครู่นางเสียหลัก ข้าเลยเข้าไปประคอง ในสายตาเ้า การกระทำของข้ากลายเป็สิ่งใดไปงั้นหรือ?”
ซูกู้เหยียนรู้ดีแก่ใจว่าความจริงคืออะไร เขาไม่คิดจะถกเถียงต่อไปจึงพูดขึ้น “โปรดประทานอภัยให้ลูกด้วย ลูกปากพล่อยเอง แต่เสด็จแม่ยังรออยู่ ไม่ทราบว่าตอนนี้ ให้ลูกพานางไปพบเสด็จแม่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้มองเฟิ่งสือจิ่นที่มีเหงื่อท่วมร่างกาย ก่อนจะหันไปมองซูกู้เหยียนที่ยืนตัวตรงอย่างผ่าเผย ท่าทีซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ในที่สุดเขาก็โบกมือเบาๆ “ออกไปเถอะ” พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องนอน
ซูกู้เหยียนเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เฟิ่งสือจิ่น “ยังเดินไหวไหม?” เขากระซิบถาม
เฟิ่งสือจิ่นฉีกยิ้มขึ้นเล็กน้อย นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วแข็งใจ ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างดื้อรั้น ทว่าเพิ่งจะก้าวขาออกไป ร่างกายก็อ่อนแรงลงอย่างกะทันหัน ซูกู้เหยียนเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปอุ้มนางเอาไว้ แล้วเดินออกไปจากตำหนักอย่างไม่ลังเล
ทันทีที่ออกมาข้างนอก เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกทั้งร้อนทั้งหนาว นางห่อตัวลงด้วยท่าทางทรมาน ร่างบางมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ มันเป็ความรู้สึกที่นางไม่เคยััมาก่อน ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรต่อไปดี รู้สึกเหมือนมีไฟลุกโชนอยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ขับไล่ความร้อนรุ่มออกไปไม่ได้เสียที
เฟิ่งสือจิ่นทรมานเหลือเกิน นางจับเสื้อของซูกู้เหยียนเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ความเย็นสบายจากผ้าแพรชั้นดีที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามือ รวมไปถึงลายปักนุ่มๆ บนเสื้อผ้าทำให้เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
สิ่งที่รับรู้ทำให้นางสะดุ้งใ สติบางส่วนเริ่มกลับมาอีกครั้ง ซูกู้เหยียนเองก็ชะงักลงเช่นกัน แขนของเขาเต็มไปด้วยพละกำลัง เมื่อก้มหน้าลงมอง โคมไฟที่ตั้งอยู่ห่างออกไปส่องแสงรำไรลงบนใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่น เขาพบว่าแก้มของนางแดงก่ำ แลดูงดงาม เย้ายวนยิ่งนัก
ดวงตาของคนทั้งสองสบประสานเข้าด้วยกัน เพียงวินาทีเดียวเท่านั้น ทั้งสองก็ปล่อยมือออกจากกันและกันทันที ซูกู้เหยียนวางร่างในอ้อมแขนลง ราวกับนางเป็ก้อนถ่านร้อนๆ ที่ไม่สามารถแตะต้องได้ เฟิ่งสือจิ่นเองก็รีบดันซูกู้เหยียนออกไปให้ห่าง นางยืนประคองสะพานหินพลางหอบหายใจเบาๆ
สายธารใต้สะพานไหลรินอย่างสงบ คนทั้งสองถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันของราตรี
เฟิ่งสือจิ่นไม่ชอบหน้าซูกู้เหยียน แต่ก็รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายไม่น้อย คืนนี้ หากไม่ใช่เพราะเขามาทันเวลาพอดี ตนคงไม่ได้กลับออกมาอีกแล้ว เฟิ่งสือจิ่นวิ่งโซซัดโซเซลงไปใต้สะพาน จากนั้นก็ใช้มือวักน้ำขึ้นมาชโลมใบหน้าหลายครั้ง สองมือขัดถูลำคอส่วนที่เกือบจะถูกตาเฒ่าคนนั้นััซ้ำแล้วซ้ำอีก คล้ายอยากจะถลกหนังส่วนนั้นทิ้งไปก็ไม่ปาน ยิ่งขัดถูเท่าไรนางก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว ก้มหมอบอยู่ข้างลำธาร แล้วเริ่มอาเจียน แม้สิ่งที่อาเจียนออกมาจะมีแค่อากาศก็ตาม