ซูกู้เหยียนกลัวว่านางจะเสียหลักตกลงไปในน้ำ จึงเดินตามลงมาที่ริมลำธาร เขายืนมือไขว้หลังอยู่เื้ัเฟิ่งสือจิ่น พลางมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
ซูกู้เหยียนโมโหเพราะการกระทำของฮ่องเต้เล็กน้อย เขาไม่อยากคิดหาว่าสาเหตุของอารมณ์โมโหนี้มาจากที่ใดกันแน่ จึงบอกตัวเองว่าที่ยังโกรธอยู่ เพราะนึกว่าบิดาคิดไม่ซื่อกับภรรยาของตนมาโดยตลอดเท่านั้น แต่กลับลืมคิดว่าแท้จริงแล้ว คนที่ฮ่องเต้ปรารถนาคือเฟิ่งสือจิ่นมาั้แ่แรก ไม่ใช่เฟิ่งสือหนิงที่เป็ภรรยาของเขา
ซูกู้เหยียนเอาความโมโหมาลงที่เฟิ่งสือจิ่น เขาพูดด้วยเสียงเย็นะเื “เพิ่งกลับมา เ้าก็สร้างเื่สร้างราวจนวังหลวงวุ่นวายไปหมด ข้าคงประเมินเ้าต่ำเกินไปสินะ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทนการยั่วยวนจากเ้าไม่ไหว หากข้าไปไม่ทัน เ้าคงได้สมปรารถนาไปแล้วสินะ?”
เฟิ่งสือจิ่นหยุดสิ่งที่ทำอยู่ แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ ชายกระโปรงปลิวตกเข้าไปในลำธาร และลอยพลิ้วอยู่ในธาราใส นางหันไปมองซูกู้เหยียน หยดน้ำบนใบหน้าไหลลงมาที่คาง ก่อนจะหยดหายเข้าไปในคอเสื้อ เส้นผมเปียกชุ่มแนบติดใบหน้า ดวงตาที่จริงจังจนน่าใคู่นั้น ทำให้ซูกู้เหยียนหัวใจกระตุกวูบขึ้น
นางคือเฟิ่งสือจิ่น ไม่ใช่เฟิ่งสือหนิง เพียงแววตาก็ทำให้แยกแยะทั้งสองออกจากกันได้อย่างชัดเจน เฟิ่งสือหนิงไม่มีทางแสดงแววตาเช่นนี้ออกมาแน่... ซูกู้เหยียนเปรียบเทียบทั้งสองในใจ
พวกนางเป็พี่น้องฝาแฝดกัน อาจเป็เพราะเหตุนี้ ซูกู้เหยียนจึงชอบนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกันอย่างอดไม่ได้ เพราะเช่นนี้ เฟิ่งสือหนิงจึงแลดูสูงส่งราวกับเทพธิดาบนฟ้า และเฟิ่งสือจิ่นก็แลดูต่ำต้อยด้อยค่าไม่ต่างไปจากเศษฝุ่น
เฟิ่งสือจิ่นถาม “เ้าพูดว่าอย่างไรนะ?”
ซูกู้เหยียนอารมณ์เย็นลงบ้างแล้ว เขารู้ว่าตนพูดแรงเกินไป ดูจากอาการของเฟิ่งสือจิ่นในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่านางถูกวางยาลับบางอย่าง แถมนางยังอาเจียน และขัดถูลำคอของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางไม่ได้เต็มใจ เดิมที เขาเตรียมจะหยุดคำพูดลงเท่านี้ แต่เมื่อเห็นสายตาที่บีบคั้นและกดดันอย่างไม่เกรงใจของเฟิ่งสือจิ่น เขาก็ควบคุมคำพูดของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป “ราชครูกลับจวนไปแล้ว แต่เ้ายังดึงดันจะอยู่ในวังหลวงต่อ มีแค่ผู้หญิงในวังหลังเท่านั้นจึงจะพักอยู่ในวังได้ เ้าทำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง จะเป็อะไรไปได้อีก ดูท่า เ้าคงจะเตรียมการมานานแล้วสินะ เพื่อให้...” เพื่อให้ตนเองปีนป่ายขึ้นไปยืนในที่สูง แบบนั้นจึงจะข่มและแก้แค้นข้าได้
เฟิ่งสือจิ่นมีนิสัยขี้อิจฉา แถมยังอาฆาตแค้นขนาดนั้น มีหรือจะไม่แก้แค้น?
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจนจบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
เพียะ!
ซูกู้เหยียนชะงักลง
เฟิ่งสือจิ่นเหวี่ยงฝ่ามือขึ้นไปในอากาศ และประทับนิ้วมือเย็นเฉียบลงบนใบหน้าของซูกู้เหยียนเต็มแรง หยดน้ำที่ชายเสื้อปาดผ่านใบหน้าของซูกู้เหยียน รอยฝ่ามือสีแดงประทับชัดอยู่ที่ข้างแก้ม ใบหน้าข้างหนึ่งหนาวเย็นจนเข้ากระดูก แต่อีกข้างกลับร้อนรุ่มและเจ็บแสบจนเกินบรรยาย
ซูกู้เหยียนชะงักอึ้ง ั้แ่เด็กจนโต มีใครกล้าตบหน้าเขาเช่นนี้เสียที่ไหน? เฟิ่งสือจิ่นเป็คนแรก
เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ “ถ้าแน่จริงก็พูดออกมาอีกครั้งสิ”
ไฟโทสะของซูกู้เหยียนถูกจุดประกายขึ้น ท่าทีของเขาในตอนนี้แตกต่างไปจากตัวเขายามปกติ ที่มักจะมีท่าทีเ็าอย่างสิ้นเชิง “ข้าบอกว่าเ้าวางแผนสกปรก...”
เฟิ่งสือจิ้นยกมือขึ้น เตรียมจะตบไปที่ใบหน้าอีกข้างของซูกู้เหยียน
แต่ซูกู้เหยียนจับข้อมือของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้เสียก่อน เขาหรี่ตามองหญิงตรงหน้าอย่างเย็นเยือก “เ้าคิดว่าข้าจะเปิดโอกาสให้เ้าตบหน้าอีกเป็ครั้งที่สองหรือ?”
ยังไม่ทันที่ซูกู้เหยียนจะปล่อยมือ เฟิ่งสือจิ่นก็กระโจนเข้ามาหาอย่างกะทันหัน นางกระชากคอเสื้อของซูกู้เหยียน แล้วออกแรงเหวี่ยงหนักๆ นางทำทุกอย่างรวดเร็วจนซูกู้เหยียนไม่ทันได้ตั้งตัว เพียงพริบตาเดียว ทั้งสองก็ตกลงไปในธารน้ำเสียแล้ว
ลำธารแห่งนี้ไม่ได้ลึกอะไร แค่พอจะกลบร่างของทั้งสองมิดเท่านั้น ความนิ่งสงบของสายน้ำถูกทำลายลง ร่างของพวกเขากระแทกให้น้ำลอยกระเซ็นไปทั่ว
ซูกู้เหยียนถูกเฟิ่งสือจิ่นกดทับเอาไว้เบื้องล่าง ร่างกายของเขาจึงจมหายเข้าไปในสายน้ำ หลังกลืนน้ำเย็นๆ เข้าไปหลายอึก ในที่สุดเขาก็แหงนหน้าจนโผล่พ้นน้ำ จึงรอดพ้นจากการจมน้ำตายด้วยน้ำมือของเฟิ่งสือจิ่น เฟิ่งสือจิ่นยืดตัวตรง นางไม่คิดจะปล่อยซูกู้เหยียนไปง่ายๆ ใช้เข่ากดทับแขนทั้งสองข้างของซูกู้เหยียนเอาไว้แน่น แถมยังนั่งทับร่างของซูกู้เหยียนจนอีกฝ่ายไม่อาจขยับหนีไปไหนได้
ใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่นมีหยดน้ำเปียกชุ่ม เส้นผมยาวสลวยพลิ้วไหวอยู่ในน้ำข้างใบหน้าทั้งสองข้างของซูกู้เหยียน ราวเป็สาหร่ายที่กำลังร่ายรำอยู่ใต้น้ำ นางจ้องตาซูกู้เหยียนแล้วเค้นพูดทีละพยางค์ “ก่อนหน้านี้ ข้ายังนึกขอบคุณเ้า แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกเกลียดเ้าอย่างที่ไม่เคยเกลียดใครมาก่อน เ้าเองก็คงมีนิสัยไม่ต่างไปจากบิดา ไม่เช่นนั้นจะพ่นคำพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร?” ใบหน้าของนางแฝงไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาที่มองมายังซูกู้เหยียนกลับมีเพียงความเ็า คล้ายคนที่มองอยู่เป็แค่คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซูกู้เหยียนมองไม่เห็นร่องรอย หรือความคุ้นเคยที่เคยมีต่อกันในวันวานจากแววตาของเฟิ่งสือจิ่นอีกต่อไป เขาอ้าปากคล้ายกำลังจะพูดอะไร แต่ก็ส่งเสียงไอ และกระอักน้ำออกมาเสียก่อน เขาเป็องค์ชายที่ถูกประคบประหงมมาั้แ่เด็ก จะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเท่ากับเฟิ่งสือจิ่นที่เที่ยวเล่นอยู่บนป่าบนเขาจนเคยตัวได้อย่างไร ทั้งสองมีพละกำลังพอๆ กัน แต่ซูกู้เหยียนถูกทับอยู่ด้านล่าง จึงเสียเปรียบเล็กน้อย เขาอยากดิ้นขัดขืน แต่ก็ถูกเฟิ่งสือจิ่นกดเอาไว้ นางพูดต่อ “ดูท่า เฟิ่งสือหนิงก็ไม่ได้ตาสูงเท่าไรนี่ ถึงได้แต่งงานกับคนอย่างเ้า ข้าคิดว่านางหาสามีได้ดีเลิศเสียอีก ผู้คนถึงได้เล่าลือและอิจฉาวาสนาของนางกันทั้งแคว้น คิดไม่ถึงว่าสามีที่ว่าจะเป็คนแบบนี้ รู้เอาไว้ด้วยว่าข้าไม่ใช่นาง ไม่ได้อ่อนแอจนใครจะรังแกอย่างไรก็ได้อย่างที่เ้าคิด”
ซูกู้เหยียนโกรธจนพูดไม่ออก จึงหัวเราะออกมาแทน “ตอนนี้มาทำเป็เก่ง ตอนอยู่ในห้องบรรทมของเสด็จพ่อ ทำไมไม่เก่งให้ได้แบบนี้ ไม่สิ เ้าคงจะดื่มด่ำและดีใจมากกว่าสินะ”
เมื่อสิ้นเสียง เฟิ่งสือจิ่นก็ยกกริชที่ส่องแสงคมเฉียบขึ้นไปในอากาศ และแทงกริชลงบนพื้นหินข้างๆ ซูกู้เหยียนอย่างเืเย็น ภายใต้สายตาที่เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงของซูกู้เหยียน จู่ๆ เสียงของเฟิ่งสือจิ่นก็ดังขึ้น “เมื่อครู่ หากไม่ใช่เพราะเ้าเข้ามาเสียก่อน ข้าคงฆ่าคนคนนั้นไปตั้งนานแล้ว” รอยยิ้มของนางเย็นะเืจนน่าขนลุก ทว่าก็น่าหลงใหลจนไม่อาจอธิบาย “เ้าเองก็รู้นี่ว่าข้าก็เป็แค่ลูกอกตัญญูของตระกูลเฟิ่ง ต่อให้ต้องตายก็ไม่มีอะไรให้เสียดายอยู่แล้ว ถ้าดึงตระกูลเฟิ่งไปตายด้วยกันได้ก็ยิ่งดีเลย แบบนั้น ถือว่าข้าได้กำไรไม่น้อย”
เมื่อสิ้นเสียง ทุกสิ่งก็จมเข้าสู่ความเงียบงัน เหลือแค่เสียงหายใจที่ดังเป็ระยะของคนทั้งสองกับเสียงสายน้ำที่กระทบกับโขดหินเท่านั้น
ซูกู้เหยียนร่างแข็งทื่อ เขามองเฟิ่งสือจิ่นตาไม่กะพริบ ดวงตางดงามคู่นั้น บัดนี้เหลือเพียงความห่างเหิน ไร้ซึ่งความคุ้นเคยใดๆ ทั้งสิ้น... ราวกับว่านางไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แววตาของนางเป็เหมือนน้ำเย็นๆ ที่ดับไฟแห่งความโกรธของเขาได้ในพริบตา
ซูกู้เหยียนพูดด้วยเสียงราบเรียบ “เฟิ่งสือจิ่น เ้าช่างบังอาจนัก”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “เ้ารนหาที่เองทั้งนั้น ข้ายังเรียกเ้าว่า ‘พี่เขย’ ก็เพราะเห็นแก่หน้าของเฟิ่งสือหนิง แต่นอกจากฐานะนี้ ในสายตาข้า เ้ามันไร้ค่าสิ้นดี” เมื่อพูดจบ ยังไม่ทันที่ซูกู้เหยียนจะได้พูดอะไร นางก็ลุกขึ้นยืน และปล่อยให้ซูกู้เหยียนเป็อิสระอีกครั้ง เฟิ่งสือจิ่นหอบร่างเปียกโชกของตนขึ้นไปบนฝั่ง ไม่นานซูกู้เหยียนก็เดินขึ้นมาบนฝั่งเช่นกัน แล้วจู่ๆ นางก็หันหน้ากลับไปมองเขา ร่างของเฟิ่งสือจิ่นเปียกชุ่มไปทั้งตัว แต่น้ำเสียงรวมไปถึงท่าทางกลับฟังดูราบเรียบ คล้ายไม่ได้ใส่ใจอะไร “เ้ากับเฟิ่งสือหนิงแต่งงานกันั้แ่เมื่อไร?”
ซูกู้เหยียนชะงักอึ้ง เป็เวลานานกว่าเขาจะตอบกลับมา “สามปีก่อน”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “ข้าไม่มีอะไรจะให้ ถือว่าเื่ในวันนี้เป็ของขวัญจากข้าก็แล้วกัน ข้าไม่ถือสาเ้าแล้ว แต่วันหน้า อย่าลืมรักษามารยาทด้วย” พูดจบก็มุ่งหน้าไปยังอีกฝั่งของสะพาน แต่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองซูกู้เหยียนอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เฟิ่งสือจิ่นจึงยกกริชในมือขึ้นมาแกว่งเล่นพลางถามขึ้น “เ้าบอกว่ากริชเล่มนี้เป็ของเ้า และเ้าก็อยากทวงมันคืนใช่หรือไม่?”
ซูกู้เหยียนไม่ตอบอะไร