เฟิ่งสือจิ่นพูด “ข้าจะคืนกริชเล่มนี้ให้เ้าก็ได้ อย่างไรเสีย นอกจากหั่นแคร์รอต มันก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นกับข้าอีกแล้ว หากเ้าช่วยอะไรข้าสักอย่าง ข้าจะคืนกริชเล่มนี้ให้เ้าก็ได้”
ซูกู้เหยียนถาม “ช่วยอะไร?”
เฟิ่งสือจิ่นจึงบอก “ข้าจะอยู่ในวังเพื่อดูอาการของพระสนมอวี๋แทนท่านอาจารย์จนกว่าพระสนมอวี๋จะหายดี ่เวลาระหว่างนี้ เ้าต้องปกป้องไม่ให้ข้ามีอันตราย อย่างไรเสีย นี่ก็ไม่ใช่เื่ยากอะไรสำหรับองค์ชายสี่อยู่แล้วนี่ ว่าอย่างไร ตกลงหรือไม่?”
ท่าทีของเฟิ่งสือจิ่นในตอนนี้ ใช่การขอร้องให้ช่วยเหลือเสียที่ไหน ทว่าต่อให้เฟิ่งสือจิ่นจะไม่ขอ เพื่อหน้าตาของราชวงศ์ อย่างไรเสียซูกู้เหยียนก็ต้องปกป้องนาง ไม่ให้เกิดเื่เฉกเช่นในวันนี้ขึ้นอีกครั้งอยู่แล้ว เหตุนี้ ซูกู้เหยียนจึงตอบตกลงแทบจะทันที “ตกลง” เฟิ่งสือจิ่นโยนกริชไปให้ และเขาก็รับได้อย่างง่ายดาย “เ้าคืนให้ข้าั้แ่ตอนนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะกลับคำหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ก็แค่กริชเล่มเดียว ไม่ใช่ของมีค่าอะไรเสียหน่อย อีกอย่าง เ้าจะกลับคำหรือไม่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมันนี่นา” นางเดินไปจนสุดสะพาน จากนั้นจึงหันกลับไปมองซูกู้เหยียน “ในเมื่อเราตกลงกันแล้ว งั้นตอนนี้ ช่วยส่งข้ากลับไปที่ตำหนักจาวหยวนหน่อยสิ?”
ลมที่พัดผ่านหนาวเย็นยิ่งนัก เฟิ่งสือจิ่นเริ่มจามขึ้นมาอีกครั้ง ท้ายที่สุดซูกู้เหยียนก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหานาง
ทันทีที่กลับมาถึงตำหนักจาวหยวน เฟิ่งสือจิ่นก็รู้มาจากคนรับใช้ในตำหนักว่าคืนนี้มีิญญาออกมาอาละวาดอีกแล้ว แถมยังมีสาวใช้ออกมาร้องห่มร้องไห้ว่าตนเห็นดวงิญญาลอยไปลอยมาอยู่ในสวนหน้าตำหนักจาวหยวนด้วยตาของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ิญญาตนนั้นยังป่าวร้องไม่หยุดว่าตนตายอย่างไม่เป็ธรรม เมื่อได้ยินดังนั้น คนรับใช้ในตำหนักจาวหยวนก็พากันหวาดกลัวจนไม่เป็อันทำอะไร
บัดนี้ ตำหนักจาวหยวนมีไฟส่องสว่างไปทั่วทุกแห่ง เฟิ่งสือจิ่นรีบมุ่งหน้าไปที่ห้องบรรทมของพระสนมอวี๋โดยที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ พระสนมตื่นอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกใเป็อย่างมาก จึงอิงกายอยู่ในอ้อมกอดของซวงเอ๋อร์ น้ำตาไหลออกมาจากดวงเนตร แลดูน่าสงสารจับใจ
อาจเพราะเฟิ่งสือจิ่นร่างกายเปียกอยู่ แถมยังดูกระเซอะกระเซิงและน่าขนลุกไม่น้อย ซวงเอ๋อร์จึงสะดุ้งใทันทีที่หันมาเจอ จนเมื่อเห็นหน้าของเฟิ่งสือจิ่นชัดๆ จึงถอนหายใจโล่งอกออกมา ผิดกับพระสนมอวี๋ที่ยังตั้งสติไม่ได้ เอาแต่มุดเข้าไปในอ้อมแขนของซวงเอ๋อร์ด้วยความหวาดกลัว
ซวงเอ๋อร์พูด “แม่นางเฟิ่งกลับมาแล้วหรือ”
เฟิ่งสือจิ่นย่อตัวลงไปนั่งที่ข้างเตียงและเริ่มตรวจชีพจรให้พระสนมอวี๋ พบว่าชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอเอาเสียเลย นอกจากจะเต้นเพียงแ่เบาแล้ว ยังเงียบหายไปเป็ระยะอีก “เ้าคิดว่าคืนนี้ข้าจะไม่กลับมาแล้วสินะ?”
ซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า นางพยายามอธิบาย “บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
เฟิ่งสือจิ่นประกายรอยยิ้มขึ้น นางหันไปบอกกับซวงเอ๋อร์ “วางใจเถอะ อาการของพระสนมอวี๋จะหายดีในไม่ช้า และข้าก็ทูลฝ่าาไปเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนฝ่าาจะคิดถึงพระสนมไม่น้อย คาดว่าเมื่อพระสนมหายดี ก็จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าาอย่างแน่นอน อาจได้ดิบได้ดี มีอนาคตสดใสเพราะการนี้เลยก็ได้”
ซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบลง สีหน้าเย็นะเืจนน่ากลัว
เฟิ่งสือจิ่นดึงมือข้างที่ตรวจชีพจรให้พระสนมกลับมา ทำราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เมื่อครู่ เห็นสาวใช้บอกว่าเห็นดวงิญญาในตำหนักจาวหยวน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ซวงเอ๋อร์ตอบ “บ่าวเองก็ไม่ทราบ แต่พระสนมก็เห็นดวงิญญานั้นเหมือนกัน ถึงได้ใและหวาดกลัวเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? บ่าวคิดว่าคำถามนี้ พวกเราต่างหากที่ต้องเป็ฝ่ายถามแม่นางเฟิ่งกับท่านราชครู ่บ่าย ท่านราชครูเพิ่งทำพิธีขับไล่ิญญาในตำหนักจาวหยวนไปไม่ใช่หรือ ที่แท้พิธีก็ไร้ประโยชน์หรือนี่”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “ดวงิญญาที่ว่าเป็ดวงิญญาจริงๆ หรือเป็อุบายของมนุษย์กันแน่ ข้าคิดว่าเราทุกคนคงรู้คำตอบในอีกไม่ช้า” นางลุกขึ้นยืน “เ้าดูแลพระสนมให้ดีเถิด เมื่อพระสนมบรรทมแล้ว ข้าจะมาเฝ้ายามใน่ครึ่งหลังของราตรีนี้เอง”
ครึ่งหลังของราตรี อากาศหนาวเย็น ค่ำคืนนี้ไร้ซึ่งแสงจันทร์ แสงรำไรจากตะเกียงส่องให้เงากระดำกระด่างของต้นไม้ทาบทับไปกับพื้นดิน บริเวณที่มีแสงไฟส่องสว่างแลดูขาวเด่นดุจมีหิมะฉาบปู
เฟิ่งสือจิ่นกระชับชุดกึ่งแห้งบนร่าง นางนั่งพิงอยู่หน้าประตูตำหนัก ความหนาวเย็นทำให้นางชาจนแทบจะไม่รู้สึกแล้ว แต่นั่นกลับไม่ช่วยให้ความง่วงซึมลดลงเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายนางก็หลับลงอย่างไม่สนิทนัก
ภายในตำหนัก พระสนมอวี๋กับซวงเอ๋อร์นั่งอยู่เคียงกัน ทั้งสองพูดกระซิบขึ้นเป็ระยะ พระสนมอวี๋ขอบตาแดงก่ำ ขณะที่ซวงเอ๋อร์กำลังปลอบประโลมเ้านายอย่างใจเย็น นางทั้งกล่อมทั้งปลอบด้วยเสียงที่แ่เบาทว่าจริงใจ เมื่อซวงเอ๋อร์เตรียมจะลุกจากไป พระสนมอวี๋ก็รีบดึงชายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรีบร้อน นางพูดกระซิบด้วยน้ำตาคลอเบ้า “อย่าไป ซวงเอ๋อร์ อย่าวู่วาม นางเป็ศิษย์เอกของราชครู หากเกิดเื่ขึ้นในวัง ราชครูต้องไม่จบเื่นี้ง่ายๆ แน่”
ซวงเอ๋อร์จับมือพระสนมอวี๋เอาไว้พลางพูดด้วยท่าทางอ่อนโยน “วางใจเถอะ ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ต่อให้ราชครูอยากจะสืบเื่นี้ ก็ไม่มีทางหาหลักฐานเจอแน่นอน ขืนยังเก็บนางเอาไว้ ต้องเป็ภัยต่อเราแน่”
อีกด้าน เฟิ่งสือจิ่นฝันไปต่างๆ นานา ทั้งตอนที่ฮ่องเต้พยายามเข้ามาลวนลาม และตอนที่ต่อสู้กับซูกู้เหยียนในลำธาร
ไม่รู้ว่ากี่ยามแล้ว เฟิ่งสือจิ่นหลับไม่สนิทเอาเสียเลย แต่ก็ไม่แปลก นอนพิงอยู่หน้าตำหนักเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็คงหลับสนิทไม่ได้อยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีลมเย็นๆ พัดผ่านใบหน้า เฟิ่งสือจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที เมื่อลืมตาขึ้น นางก็เห็นเงาสีดำลอยออกมาจากด้านข้าง และเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่านางไปเอาความกล้ามาจากไหน เมื่อเห็นดังนั้น นอกจากจะไม่เกรงกลัวแล้ว ยังลุกขึ้นยืนแล้วะโเสียงดัง “นั่นใครกัน ไยถึงทำตัวลับๆ ล่อๆ?” เงานั้นกำลังจะลอยหายไปแล้ว เฟิ่งสือจิ่นไม่มีเวลามาคิดลังเล จึงรีบวิ่งตามออกไปทันที
นี่สินะ ดวงิญญาที่อาละวาดอยู่ในตำหนักจาวหยวน คืนนี้ นางต้องตามจับดวงิญญาตนนี้ให้จงได้ จะได้รู้เสียทีว่าดวงิญญาที่ว่าคืออะไรกันแน่!
เฟิ่งสือจิ่นตามเงาดำไปยังสถานที่ที่ทั้งห่างไกลและมืดมิดโดยไม่รู้ตัว นางไม่คุ้นเคยกับวังหลวง จึงไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใด มีเพียงบึงน้ำขนาดเล็กที่กลางสวน ซึ่งถูกปล่อยร้างเอาไว้เท่านั้น ที่พอจะมีแสงประกายออกมาให้เห็นบ้าง มันเป็แสงของคลื่นน้ำในบึงนั่นเอง
จู่ๆ เงาดำก็หยุดลง มันหันหน้ากลับมา แล้วกระโจนเข้ามาหาเฟิ่งสือจิ่นอย่างกะทันหัน เฟิ่งสือจิ่นเบี่ยงตัวหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว ดูเหมือนเงาดำจะมีฝีมือด้านการต่อสู้อยู่บ้าง แถมยังฝีมือไม่เลวเลย อีกฝ่ายโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เฟิ่งสือจิ่นไม่มีโอกาสตอบโต้เลยด้วยซ้ำ เพียงครู่เดียว แขนทั้งสองข้างก็ถูกพันธนาการเอาไว้เสียแล้ว ส่วนหัวก็ถูกเงาดำจับเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างเช่นกัน วินาทีนั้น เฟิ่งสือจิ่นรับรู้ถึงไอเย็นที่กระจายออกมาจากฝ่ามือของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน นางพยายามดิ้นขัดขืนอย่างสุดความสามารถ เพราะรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายออกแรงบิด ลำคอของตนต้องหักแน่!
เฟิ่งสือจิ่นสลัดแขนออกมาจากการพันธนาการได้สำเร็จ นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปแกะมือของเงาดำ และใช้แขนอีกข้างถองไปที่ด้านหลังอย่างเต็มแรง เงาดำถูกเล่นงานจนถอยห่างออกไป เฟิ่งสือจิ่นจึงมีโอกาสตั้งหลักในที่สุด
เฟิ่งสือจิ่นถาม “เ้าเป็ใครกันแน่?”
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่พุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นจึงรีบะโเสียงดัง “หากเ้าเข้ามาอีก ข้าจะะโให้คนมาช่วยเดี๋ยวนี้เลย!” นางขู่พลางวิ่งหนีกลับไป
แต่สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลแถมยังรกร้างมานาน บริเวณนี้ไม่มีไฟส่องสว่างแม้แต่ดวงเดียว คาดว่าน่าจะเป็ตำหนักร้างสักแห่ง ต่อให้จะร้องให้คนช่วย องครักษ์ที่ลาดตระเวนอยู่ในวังก็ไม่ได้ยินอยู่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดต่างหาก
เงาดำตามมาติดๆ
อีกไม่ไกลก็ถึงประตูทางออกแล้ว เฟิ่งสือจิ่นหันกลับไปมอง พบว่าบัดนี้ เงาดำตามมาประชิดตัว ไม่ต่างไปจากผีร้ายที่ตามมาเอาชีวิต นางไม่รอช้า รีบแผดเสียงะโ “มีมือสังหาร...”
เฟิ่งสือจิ่นวิ่งกระเซอะกระเซิงออกไปอย่างรีบร้อน คิดไม่ถึงว่าจะชนเข้ากับหน้าอกของใครบางคน