เฟิ่งสือจิ่นแหงนหน้ามอง พบว่าคนตรงหน้าคือซูกู้เหยียนที่เพิ่งพบกันใน่ดึกที่ผ่านมานั่นเอง นางอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง เงาดำก็หายไปเสียแล้ว เื้ัเหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ซูกู้เหยียนถาม “มือสังหารอยู่ไหน?”
เฟิ่งสือจิ่นชี้ไปที่ด้านหลัง “เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้แท้ๆ มันตามข้ามาติดๆ เลย”
เพียงไม่นานองครักษ์ที่อยู่ไม่ไกลก็มาถึง ซูกู้เหยียนยืนอยู่หน้าตำหนักร้าง เขามองสำรวจไปรอบด้าน แถมยังสั่งให้องครักษ์ออกไปตรวจค้นอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไร “ข่าวลือเื่ผีที่ออกอาละวาดในวัง ล้วนโยงมาที่ตำหนักร้างแห่งนี้ทั้งนั้น คิดไม่ถึงว่าเ้าที่เป็ศิษย์เอกของราชครูก็กลัวเื่พวกนี้ด้วย? ขืนเป็เช่นนี้ต่อไป นอกจากเ้าจะปราบผีไม่ได้แล้ว ยังจะทำให้ข่าวลือร้ายแรงยิ่งขึ้นอีกกระมัง”
เมื่อเฟิ่งสือจิ่นกลับมาถึงตำหนักจาวหยวน ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นแล้ว ทุกอย่างยังคงเป็ปกติ ราวไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
เฟิ่งสือจิ่นนอนพักเพียงชั่วครู่ในห้องที่อยู่ไม่ไกลจากห้องบรรทมของพระสนมอวี๋ นางไม่ได้พักผ่อนจริงๆ มาทั้งคืน จึงหลับทันทีที่หัวถึงหมอน ขณะกำลังสะลึมสะลือ ใครคนหนึ่งก็มายืนอยู่ที่ข้างเตียงพลางมองจ้องมาที่นาง เฟิ่งสือจิ่นเบิกตาขึ้น แสงตะวันรำไรลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ใครบางคนยืนอยู่ที่ข้างเตียง แต่เฟิ่งสือจิ่นกลับเวียนหัวและตาลายเกินกว่าจะมองเห็นว่าคนตรงหน้าคือใคร
เฟิ่งสือจิ่นลุกขึ้นนั่ง นางจามออกมาอย่างอดไม่ได้ รู้สึกเวียนหัวไปหมด แถมยังคัดจมูกจนแทบจะหายใจไม่ออก
มือที่แสนอบอุ่นของใครบางคนแตะลงที่หน้าผากของเฟิ่งสือจิ่นอย่างแ่เบา ไออุ่นจากฝ่ามือทำให้นางรู้สึกสบายตัวเป็อย่างมาก จึงปล่อยให้มือนั้นแนบแตะต่อไป เฟิ่งสือจิ่นกะพริบตาหลายครั้ง เมื่อเห็นคนตรงหน้าชัดๆ จึงใช้แก้มถูฝ่ามือของอีกฝ่ายเบาๆ “อาจารย์... ท่านมาแล้วหรือ”
หน้าผากของเฟิ่งสือจิ่นร้อนมาก จวินเชียนจี้ป้อนยาแก้ไข้ให้นางหลายเม็ด ก่อนจะพูดขึ้นในที่สุด “ทำไมถึงมีสภาพดูไม่ได้เช่นนี้”
เฟิ่งสือจิ่นก้มมองสภาพของตัวเอง นางยังสวมชุดเดียวกับเมื่อวาน ซึ่งทั้งเปรอะเปื้อนและมีรอยน้ำแห้งติดไปทั้งชุด ชุดนี้เปียกถึงสองครั้งในคืนเดียว และนางก็สวมมันจนแห้งทั้งสองครั้ง ทำเช่นนี้ ต่อให้จะมีร่างกายแข็งแรงแค่ไหนก็ไม่มีทางทนไหวอยู่แล้ว
เฟิ่งสือจิ่นพูดโกหกต่อหน้าจวินเชียนจี้ไม่เป็ คำโกหกที่ออกมาจึงแย่จนแทบจะฟังไม่ขึ้น “เมื่อคืนข้าไม่ระวัง ก็เลยสะดุดล้ม”
จวินเชียนจี้ถามต่อ “เมื่อคืน ฝ่าาเรียกเ้าไปเข้าเฝ้าหรือเปล่า?”
เฟิ่งสือจิ่นเอียงคอพลางยิ้มตาหยี “เรียกสิ” เมื่อเห็นว่าจวินเชียนจี้ชะงักนิ่งลง นางจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อคืน พออาจารย์กลับไป ขันทีหวังก็มาหาข้า บอกว่าฝ่าาเรียกข้าไปเข้าเฝ้าเพื่อถามไถ่พระอาการของพระสนมอวี๋ ข้าจึงฝากให้ขันทีหวังนำคำพูดของข้าไปกราบทูลต่อฝ่าาแทน หลังจากนั้นฝ่าาก็ไม่ได้เรียกข้าไปเข้าเฝ้าอีกเลย”
“เ้าพักอยู่ในวังมาทั้งคืน สืบพบอะไรบ้างหรือเปล่า?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “มีสิ ข้าพบว่ามีคนปลอมตัวเป็ผีมาหลอกคน” นางพูดระคนหัวเราะ “แต่มีอาจารย์อยู่ทั้งคน สือจิ่นเชื่อว่าอีกไม่นานความจริงต้องปรากฏแน่ พวกเรารีบแก้พิษของยาห้าสหายให้พระสนมอวี๋กันก่อนเถอะ ไม่แน่ เื่นี้อาจคลี่คลายไปด้วยก็ได้”
นางไม่เอ่ยถึงเื่ที่เกิดขึ้นในห้องบรรทมของฝ่าา และเื่ที่ถูกเงาดำตามสังหารแม้แต่พยางค์เดียว
จวินเชียนจี้พยักหน้าเบาๆ “เื่ต่อจากนี้ ปล่อยให้เป็หน้าที่ของข้าเอง เ้านอนพักเถอะ”
เขาลูบหัวเฟิ่งสือจิ่นเบาๆ เฟิ่งสือจิ่นเองก็นอนลงตามคำสั่งแต่โดยดี แสงสีทองของดวงตะวันผสานเข้ากับดวงตาคู่สวย นางมองดูจวินเชียนจี้พลางพูดขึ้น “อาจารย์ ตอนนี้น่าจะยังเช้าอยู่เลย ท่านเข้าประชุมในท้องพระโรงเสร็จแล้วหรือ?”
จวินเชียนจี้ตอบ “ยัง... ข้ามาเยี่ยมเ้าก่อน เสร็จแล้วค่อยไปท้องพระโรง”
เฟิ่งสือจิ่นชอบที่จวินเชียนจี้ทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับตน แค่เขาลูบหัวเบาๆ นางก็รู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ เมื่อเริ่มผ่อนคลาย ความเหนื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง นางง่วงจนนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว จวินเชียนจี้รอจนนางหลับสนิทแล้วจึงเดินออกไปจากห้อง และมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงต่อ
ฟ้าสว่างแล้ว เฟิ่งสือจิ่นจึงไม่จำเป็ต้องกังวลสิ่งใดอีก ตราบใดที่มีอาจารย์อยู่ นางก็ไม่จำเป็ต้องหวาดกลัวเื่ใดทั้งนั้น
แต่เปลือกตาหนักอึ้งเพิ่งจะปิดลงได้ไม่นาน สาวใช้ของตำหนักจาวหยวนก็เข้ามาปลุกเสียแล้ว เฟิ่งสือจิ่นนั่งอยู่ริมเตียง นางเช็ดน้ำมูก พลางฟังหญิงรับใช้พูดไปด้วย “คนของตำหนักชิงเสียนมาถ่ายทอดคำสั่ง พระสนมเสียนเชิญให้แม่นางเฟิ่งไปพบ พวกเขารออยู่ข้างนอกแล้ว แม่นาง รีบลุกขึ้นมาแต่งตัวเถิด”
เฟิ่งสือจิ่นนั่งเหม่ออยู่นาน ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ก้องเพราะอาการคัดจมูก “พระสนมเรียกข้าไปพบทำไมหรือ?”
หญิงรับใช้ตอบ “คนของตำหนักชิงเสียนบอกว่า พระสนมเสียนเป็ห่วงเื่พระอาการของพระสนมอวี๋ จึงเรียกแม่นางเฟิ่งไปพบเพื่อถามไถ่เื่นี้”
เฟิ่งสือจิ่นส่ายหน้าเบาๆ รู้สึกคล้ายสมองกำลังเขย่าไปมาตามการสะบัดหัว ยิ่งสะบัดก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้น “เื่แบบนี้ ถามท่านราชครูโดยตรงเลยไม่ดีกว่าหรือ?” ทำไมถึงมีแต่คนอยากรู้เื่อาการของพระสนมอวี๋กันนะ ในเมื่อเป็เช่นนี้ ทำไมถึงไม่มาดูให้เห็นด้วยตาของตัวเองเลยล่ะ?
หญิงรับใช้ตอบ “แต่ตอนนี้ ท่านราชครู... กำลังประชุมในท้องพระโรงนี่เ้าคะ”
เฟิ่งสือจิ่นเบะปาก หากไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ยังอยู่ในท้องพระโรง พระสนมเสียนก็คงไม่เรียกนางไปพบในเวลาเช่นนี้หรอก!
เฟิ่งสือจิ่นบีบจมูกตัวเองเบาๆ “ข้าปฏิเสธที่จะเข้าพบได้หรือเปล่า?”
“เื่นั้น...” หญิงรับใช้ตอบ “คนของตำหนักชิงเสียนยังรออยู่ แม่นางเฟิ่ง อย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลย พระสนมเสียนมีนิสัยอ่อนโยนและเป็มิตร ไม่กลั่นแกล้งให้แม่นางต้องลำบากใจอย่างแน่นอนเ้าค่ะ”
ในขณะเดียวกัน เพียงไม่นาน เด็กรับใช้ของจวนราชครูก็นำชุดนักพรตชุดใหม่มาส่งให้เฟิ่งสือจิ่นตามคำสั่งของจวินเชียนจี้ ในที่สุดเฟิ่งสือจิ่นก็ลุกขึ้นมาแต่งตัวด้วยท่าทางอืดอาด และเดินออกไปจากห้องอย่างเฉื่อยชา
ระหว่างทาง เฟิ่งสือจิ่นสูดน้ำมูกอย่างเหนื่อยหน่าย เวียนหัวจนตาลายไปหมด ในเวลาเช่นนี้ นางไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความงามของสวนหลวงหรอกนะ แค่จำทางให้ได้ก็ถือเป็บุญมากแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่านางจำทางพวกนี้ไม่ได้เลยสักนิด ทว่านางก็ไม่ได้กังวลใจเหมือนเมื่อคืน มีอาจารย์อยู่ในวังทั้งคน นางเชื่อว่าเมื่อประชุมเสร็จ อาจารย์ต้องตามมาหาตนที่ตำหนักชิงเสียนแน่ๆ
คนรับใช้ที่เดินนำทางหยุดลงแล้ว เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้ามองอาคารตรงหน้าด้วยความวิงเวียน พบว่าที่ประตูทางเข้า มีป้ายที่สลักคำว่า ‘ตำหนักชิงเสียน’ แปะอยู่ อักษรบนนั้นมีขอบสีทอง แลดูงดงามและสูงส่ง
เฟิ่งสือจิ่นไม่คุ้นชินกับวังหลวง จึงไม่รู้จักพระสนมทั้งหลายในวังหลังด้วยเช่นกัน
ขันทีผายมือเชื้อเชิญด้วยท่าทางนิ่งเรียบ “แม่นาง เชิญ”
ตำหนักชิงเสียนเป็สถานที่ซึ่งเรียบสวยและเงียบสงบเป็อย่างมาก แค่ไม้ดอกที่ประดับอยู่ภายในตำหนัก ก็ทำให้เฟิ่งสือจิ่นเชื่ออย่างสนิทใจว่าพระสนมเสียนมีนิสัยอ่อนโยนอย่างแท้จริง เฟิ่งสือจิ่นก้าวเข้าไปในตำหนักโดยไม่เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเข้าไปถึงกลางโถงก็ก้มหน้าลงต่ำพลางคุกเข่าลง “สือจิ่น ถวายบังคมพระสนมเสียน”
พระสนมเสียนนั่งอยู่กลางตำหนัก นางแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าที่หรูหราแต่ไม่หวือหวา ดูงามสง่าแต่ก็เป็ระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน รูปโฉมงดงาม ผิวพรรณได้รับการบำรุงดูแลอย่างดี รอยตีนกาจางๆ ที่หางตาไม่ทำให้นางดูแก่ชรา แต่กลับช่วยเพิ่มเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ให้แทน เห็นได้ชัดว่าสตรีตรงหน้างดงามเพียงใดเมื่อยังเป็สาว
นางยกมือขึ้นเบาๆ เป็เชิงให้เฟิ่งสือจิ่นลุกขึ้น “ช่างเป็สตรีที่มีมารยาทงดงามเสียจริง ลุกขึ้นเถิด” พระสนมเสียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เฟิ่งสือจิ่นลุกขึ้นยืนช้าๆ “ไม่ทราบว่าพระสนมเรียกสือจิ่นมาพบด้วยเื่ใดเพคะ?”
พระสนมเสียนตอบ “ได้ยินว่าเ้าตกน้ำระหว่างเดินทางไปเข้าเฝ้าฝ่าา ฟังจากเสียง ดูเหมือนเ้าจะอ่อนเพลียไม่น้อย ไม่สบายหรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “แค่หวัดเล็กน้อยเท่านั้น กินยาและนอนพักสักหน่อยก็หายเพคะ”
พระสนมเสียนจึงกล่าว “แม้อากาศจะอุ่นขึ้นบ้างแล้ว แต่หากเ็ปก็อย่าได้ชะล่าใจเด็ดขาด เรียกหมอหลวงมาตรวจดูเสียหน่อยดีหรือไม่?”