เหล่าอัจฉริยะบนแท่นบูชากำลังจะร้องไห้
พวกเขามักเย่อหยิ่งและมั่นใจในตัวเอง ไม่เคยสนใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของผู้อื่น ดังเช่นความตายของผู้คนมากมายที่อยู่ด้านล่างแท่นบูชา พวกเขาก็ไม่เคยให้ความสำคัญเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาคิดว่าชีวิตของคนเ่าั้ไม่มีค่าและไม่มีเกียรติเทียบเท่ากับพวกตนเลยสักนิด
ใครจะคิดว่าตอนนี้ชีวิตของพวกเขาย่ำแย่กว่าคนพวกนั้นเสียอีก
เขาต้องใช้การเป่ายิ้งฉุบเพื่อตัดสินความเป็ความตายของตัวเอง
ให้ตายเถิด นี่พวกเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เมื่อเห็นว่าเหล่าอัจฉริยะกำลังคลั่งด้วยความขุ่นเคือง หลัวเลี่ยก็บอกไม่ถูกเลยว่าเขารู้สึกดีใจมากแค่ไหน
เป็ความจริงที่หลัวเลี่ยมีความกล้าหาญและมีความเป็วีรบุรุษ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็เพียงวัยรุ่นคนหนึ่งที่เมื่อสมัยอยู่ในโรงเรียนเคยชอบเล่นแผลงๆ และการที่เขาได้เห็นอัจฉริยะที่เห็นแก่ตัวเหล่านี้ทำให้เขาอารมณ์เสียมาก แต่หลัวเลี่ยก็คิดว่าเขามีความเป็ผู้ใหญ่พอที่จะไม่ระบายอารมณ์ออกมาด้วยการด่าทอ หลัวเลี่ยคิดว่าถ้าเขา้าระบายอารมณ์โกรธออกมา เขาก็ต้องทำอย่างสุภาพชน อืม และตอนนี้หลัวเลี่ยก็คิดว่าวิธีที่เขาทำนั้นเป็วิธีที่สุภาพมากแล้ว
“เ้าอย่าได้รังแกคนอื่นมากจนเกินไป!” อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดกัดฟันคำรามขึ้น
หลัวเลี่ยพูดอย่างเฉยเมย “ในเมื่อเ้าคิดว่าความเป็ความตายของผู้คนมากมายเ่าั้ไม่สำคัญ และถือว่าชีวิตของพวกเขามีค่าน้อยกว่าเศษหญ้า แล้วเ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ในสายตาของคนอื่น เ้าก็มีค่าน้อยกว่าเศษหญ้าเช่นเดียวกัน”
อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดพูดด้วยความโกรธ “พวกเราปกป้องตัวเองแล้วมันจะทำไมหรือ หากเ้าอยากเป็วีรบุรุษ เ้าก็เป็ไปสิ พวกเราก็ไม่ได้ขัดขว้างเ้า...”
“ดี!”
หลัวเลี่ยยืนขึ้นทันที เขาหันกลับมา และหันหลังให้กับอัจฉริยะทั้งหลาย เพื่อเผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบที่กำลังปกป้องบุปผางามอาบพิษทั้งสามดอก นอกจากนี้ในมือของเขายังถือคันธนูซวนิอยู่
เดิมทีผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบตนนั้นทำเพียงยืนอยู่ใกล้ๆ บุปผางามอาบพิษทั้งสามดอกเพื่อคอยปกป้อง แต่เมื่อหลัวเลี่ยเดินเข้ามาใกล้ พวกมันก็รู้สึกถึงหลัวเลี่ยได้ในทันที ทันใดนั้นผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งห้าตนก็คำรามออกมา มีลำแสงสีเขียวอมเทาปรากฏขึ้นและอาบไล้ไปทั่วร่างกายของพวกมัน แล้วหลังจากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้ามาหาหลัวเลี่ยอย่างดุร้าย
ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการล้วนมีพลังอยู่ในระดับสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับที่สิบ!
พวกมันทั้งหมดมีพลังที่ไม่ธรรมดา จนถึงขั้นที่เทียบได้กับผู้ที่มีวรยุทธ์ระดับสูงในระดับผู้ฝึกตน นอกจากนี้พวกมันยังมีลักษณะพิเศษของอสูรเพิ่มขึ้นอีก ด้วยเหตุผลหลายประการจึงเป็เื่ยากหากจะมีใครสามารถต่อสู้กับมันได้เพียงลำพัง
“ไม่!”
อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดกรีดร้องด้วยความใ ภายในหัวของเขาว่างเปล่า เขาไม่ได้คาดคิดว่าหลัวเลี่ยจะเคลื่อนไหวทันทีที่เขาพูดออกไปว่า ‘พวกเราไม่ได้ขัดขวางเ้า’
เขาอยากจะพูดว่าหยุด แต่เขาก็กลัวมากจนพูดไม่ออก เพราะเขารู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังจะมาถึง
อัจฉริยะที่ปิดบังตัวตนหลายคนต่างกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พวกเขาพากันสาปแช่งหลัวเลี่ยที่เป็วีรบุรุษผู้ซึ่งรนหาที่ตาย และอย่าได้ห้ามพวกเขาไม่ให้ด่า เพราะรู้ว่าหากพวกเขาไม่ทำอะไรเลย พวกเขาก็คงจะต้องตายอยู่ที่แท่นบูชานี้อยู่ดี ตอนนี้นับว่าเป็่เวลาสุดท้ายของชีวิตแล้ว
ซ่านเหวินห้าวและผู้คนมากมายที่ยืนอยู่นอกแท่นบูชาต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน
มีเพียงบางคนเท่านั้นที่เห็นด้วยและเืร้อน และปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็คือการต่อสู้จนตัวตาย
“สู้!”
“เอาเลย ฆ่าพวกมันให้หมด พวกเราพร้อมอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’!”
พวกเขาะโขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
เื่ราวในตอนนี้ทำให้พวกเขานึกถึงฉากที่หลัวเลี่ยฆ่าเฟ้ยเชียนเพื่อช่วยพวกเขา และนึกถึงการกระทำต่างๆ ของหลัวเลี่ยที่ออกมาจากใจเพื่อช่วยเหลือพวกเขา เมื่อพวกเขาตกอยู่ในอันตรายที่สุด
เป็ไปไม่ได้ที่จะบอกว่าหลัวเลี่ยฆ่าเฟ้ยเชียนด้วยความชอบธรรม เพราะในตอนนั้นไม่มีใครรั้งเขาไว้ และไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขา ดังนั้นผู้คนมากมายจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า ส่วนตอนนี้มีคนจำนวนมากที่อยู่เคียงข้างเขา สิ่งนี้ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกโล่งใจมาก
หลัวเลี่ยหันกลับไปมองผู้คนแล้วยิ้มออกมา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะถูกปกคลุมด้วยหมอกจนทำให้ผู้คนมากมายเ่าั้มองไม่เห็น แต่ไอพลังที่คล้ายกับว่าเขาเป็ผู้ควบคุมทุกสรรพสิ่งในดินแดนนี้ ก็ทำให้ผู้คนมากมายหยุดชะงัก เขายิ้มและพูดว่า “ข้าไม่้าความช่วยเหลือจากทุกคนในการกำจัดผู้พิทักษ์ทั้งสิบตนจากยอดเขาแห่งคุกอนธการ เพราะข้าวางแผนที่จะใช้พวกมันเพื่อฝึกฝนพลังของข้า”
“แต่ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการคือ...” ซ่านเหวินห้าวเอ่ยขึ้น
แค่ก่อนที่คำพูดทั้งหมดจะถูกพูดออกไป เขาก็หยุดประโยคนั้นไว้กลางคัน
ทั้งผู้คนที่เป็กำลังใจให้หลัวเลี่ย และอัจฉริยะที่สาปแช่งหลัวเลี่ยต่างก็ตกอยู่ในความเงียบกันหมด
ในตอนนั้นหลัวเลี่ยแบมือ และยิงธนูออกไป
ธนูหมาป่า์กลืนจันทร์!
ลูกธนูที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังภายในของหลัวเลี่ยถูกยิงออกจากคันธนูอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า มันมีเสียงเหมือนฟ้าร้อง ทันทีที่ลูกธนูพุ่งผ่านแหวกอากาศไป มันก็พุ่งเข้าไปหาชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งห้าที่พุ่งเข้ามาหาหลัวเลี่ย จากนั้นผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการตนนั้นก็ถูกลูกธนูแทงจากทางด้านหลังศีรษะทะลุระหว่างคิ้ว ก่อนที่มันจะขยับเข้ามาถึงตัวหลัวเลี่ย
บูม!
จากนั้นผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการตนนั้นก็ะเิร่างตนเองกลายเป็เมฆหมอก และมีลำแสงอสูรลอยออกมาจากร่างนั้น
หลัวเลี่ยสังหารผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการได้ในพริบตา
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังใอยู่ หลัวเลี่ยก็ปล่อยลูกธนูออกจากคันธนูอีกสองครั้งติดต่อกัน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศออกไป ครั้งนี้ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสองตนเตรียมพร้อมรับมือแล้ว เหตุการณ์นี้เมื่อเทียบกับนักรบปีศาจทั้งหมดที่ผ่านมา ก็นับว่าความคิดและสติปัญญาของผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการนั้นไม่ธรรมดาเลย ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงชิงลงมือก่อนตลอด
เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า หลัวเลี่ยใช้พลังไปเพียงแปดในสิบเท่านั้น
สำหรับคนอื่นๆ แม้แต่ผู้ฝึกฝนเคล็ดฝึกตนทั้งสิบ ถึงจะใช้กำลังเต็มที่แล้ว แต่ก็อาจไม่สามารถทำร้ายผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการได้ แต่หลัวเลี่ยฝึกฝนเคล็ดวิชาั์
นอกจากนี้พลังวรยุทธ์ในเคล็ดวิชาั์ของหลัวเลี่ยก็ไปถึงผู้ฝึกตนระดับที่สิบแล้ว ซึ่งระดับนี้ก็จะมีลักษณะเฉพาะ: รองจากระดับหยินและหยางมีข้าเพียงคนเดียว!
รองจากระดับหยินและหยาง นั่นคือขอบเขตของการฝึกฝนร่างกายให้อยู่ยงคงกระพัน และทักษะนี้ก็มีเพียงหลัวเลี่ยคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจินตนาการได้ว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหน
ความแรงของลูกธนูที่หลัวเลี่ยออกแรงไปแปดในสิบส่วนพุ่งแหวกอากาศมาถึงตัวผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการ แม้ว่าผู้พิทักษ์ทั้งสองจะเตรียมตัวรับมือไว้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่คาดคิดว่าลูกธนูนี้จะทรงพลังมาก ดังนั้นพวกเขาจึงถูกลูกธนูปักเข้าที่กลางหว่างคิ้ว และล้มลงเช่นกัน
ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสองตน ตายแล้ว!
ทุกคนทำได้เพียงหายใจและเฝ้ามองไปยังหลัวเลี่ย ซึ่งทำลายผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการที่ไม่เคยมีใครสามารถเอาชนะได้โดยลำพัง พวกมันถูกหลัวเลี่ยฆ่าทิ้งทั้งสามครั้งติดต่อกันภายในเวลาชั่วพริบตา
“คนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับที่สิบของผู้ฝึกตน แล้วยังสามารถก้าวขึ้นไปบนยอดเขาแห่งคุกอนธการได้ นอกจากนี้เขายังสามารถต่อสู้กับผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการได้ด้วยตัวเองอีก ถือได้ว่าข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ” เย่เิหลงกล่าวอย่างตื่นเต้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเย่เิหลงก็อ้าปากค้าง และกล่าวขึ้นว่า “เ้า เ้าพูด เ้าพูดว่าอย่างไรนะ เขาเพิ่ง เพิ่งถึงระดับสิบของผู้ฝึกตนหรือ?”
เย่เิหลงจ้องมองที่ด้านหลังของหลัวเลี่ยด้วยแววตาที่งุนงง “แน่นอน ที่เขาบอกว่าเขาก้าวขึ้นไปบนขั้นที่เก้าสิบเจ็ดในตอนที่มีพลังอยู่ระดับเก้าของผู้ฝึกตนนั้น ข้าก็เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาของตัวเอง และเขาก็ทะลวงระดับพลังได้จากแก้วจิตัที่ข้าให้เขา”
“เป็ไปไม่ได้ คนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับที่สิบของผู้ฝึกตนเป็ครั้งแรก แต่กลับสามารถก้าวขึ้นไปบนยอดเขาแห่งคุกอนธการได้ และยังสังหารผู้พิทักษ์ยอดเขาได้ในพริบตาอีก พลังการต่อสู้ขนาดนี้ เป็ไปไม่ได้ ไม่ควร และฝ่าฝืนทุกกฎที่ข้าเคยรับรู้มาอย่างสิ้นเชิง” อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดกล่าวอย่างไม่เชื่อ
เย่เิหลงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คือความจริง คือเื่จริงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!” นางหันกลับไปมองอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเหยียดหยาม “เ้าคิดว่ามันเป็ไปไม่ได้ นั่นเป็เพราะเ้าเป็ขยะที่ไร้ประโยชน์ อย่างน้อยในสายตาของเขา เ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าขยะชิ้นหนึ่ง”
อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดหน้าขึ้นสีด้วยความละอายใจ แต่เขาก็มิอาจปฏิเสธได้ เพราะความแข็งแกร่งที่หลัวเลี่ยแสดงออกมา ทำให้เขารู้ว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะอยู่ในสายตาของหลัวเลี่ยด้วยซ้ำ
และคนที่นิ่งสงบที่สุดก็คือซ่านเหวินห้าว เขามองไปที่หลัวเลี่ยด้วยความงุนงง แน่นอนว่าเขาใ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็คิดทบทวนถึงเื่ราวที่จะเป็ไปได้ทั้งหมด เขาระงับความตื่นเต้นในใจ และพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าอัจฉริยะที่ฝึกฝนเคล็ดฝึกตนทั้งสิบเสียอีก ดังนั้นผู้ที่สามารถฆ่าพวกมันได้ในพริบตาก็ย่อมต้องมีพลังในระดับเดียวกันกับพวกมัน เว้นแต่ว่า...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้