เมื่อเฉินเซียงเห็นเขาเหม่อลอย นางจึงชงชาร้อนๆ วางไว้ข้างเขา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม คุณชายคิดถึงฮูหยินน้อยหรือ?”
“นิดหน่อย”
เหยียนชิงยังคงมองออกไปด้านนอกในขณะที่ตอบ แต่หูของเขากลับแดงเรื่อ เว่ยซูหานเป็คนที่เขาชอบ พอออกไปข้างนอกย่อมคิดถึงเป็ธรรมดา
“ฮูหยินน้อยก็คิดถึงท่านเช่นกัน”
เฉินเซียงพูดพลางมองออกไปนอกประตู เห็นไป๋เส่าเดินกลับมาพอดี จึงเอ่ยรายงานกับคนที่ตกอยู่ในห้วงความคิดถึงว่า
“คุณชาย ไป๋เส่ากลับมาแล้ว และถือจดหมายไว้ในมือด้วย”
เหยียนชิงได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เป็ประกายทันที แต่กลัวว่าจะถูกสาวใช้หัวเราะเยาะ จึงไม่ได้ขยับเขยื้อน
เฉินเซียงรู้พอรู้ถึงความคิดของเขา นางไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก รับจดหมายและวางลงบนโต๊ะก่อนจะถอยออกไปพร้อมกับไป๋เส่า
เมื่อเสียงประตูปิดลง เหยียนชิงหันกลับไปหยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้นมา จิตใจที่ว้าวุ่นกลับมาเป็สงบลงอีกครั้ง
พริบตาเดียวก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว ไม่ว่าจะเป็เว่ยซูหานที่อยู่ไกลๆ หรือเื่ในจวนต่างก็ล้วนราบรื่น ่กลางเดือนสิบเว่ยซูหานบอกในจดหมายว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงจุดหมาย เหยียนชิงใจเต้นระรัว ก่อนจะตอบจดหมายกลับอย่างละเอียด จากนั้นก็รอจดหมายตอบกลับของอีกฝ่าย
แต่ครึ่งเดือนต่อมาเว่ยซูหานกลับไม่ส่งจดหมายมาเลยฉบับ แม้จะรู้ว่าการเข้าด่านชายแดน การส่งจดหมายนั้นยุ่งยากกว่าพื้นที่อื่นๆ แต่เหยียนชิงก็ยังกังวลอยู่ดี
จนกระทั่งกลางเดือนสิบเอ็ด จดหมายจากเว่ยซูหานก็มาถึง แต่ไม่ได้อธิบายอะไรมากเกี่ยวกับ่ที่ขาดการติดต่อ พูดเพียงว่ามีเื่ให้เสียเวลาในเมืองชายแดนนิดหน่อย บอกว่าตอนนี้กำลังเดินทางกลับมาแล้ว
พอเห็นจดหมายของเขาที่บอกว่าราบรื่นดี เหยียนชิงก็โล่งใจ แต่สังเกตเห็นว่าลายมือบนตัวอักษรนั้นยุ่งเหยิงและไม่มั่นคง หลังจากถามความเห็นของอิ้งหลีและเฉินเซียง ทั้งสองอ่านแล้วก็เห็นพ้องต้องกันว่าเว่ยซูหานน่าจะได้รับาเ็ที่มือ จึงถือพู่กันไม่มั่นคง
“คุณชาย ท่านวางใจได้ ในเมื่อฮูหยินน้อยบอกว่าไม่เป็ไรก็คือไม่เป็ไร ท่านไม่ต้องเป็ห่วง”
อิ้งหลีปลอบใจ เขาขาดการติดต่อกับเว่ยซูหานมาเดือนกว่าแล้ว เหยียนชิงซูบผอมลงไปมาก ใบหน้าตอบ จิตใจก็อ่อนเพลีย หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ฝึกวิชายุทธ์และฝึกวิชากระบี่จนร่างกายแข็งแรง เกรงว่าคงล้มป่วยไปแล้ว
เหยียนชิงพับจดหมายแล้วถอนหายใจ
“อืม ข้ารู้ เขาบอกว่าเขาปลอดภัยข้าก็วางใจแล้ว พวกเ้าไปบอกฮูหยินทีว่าตอนบ่ายข้าจะไปกินข้าวกับนาง ่นี้ทำให้นางเป็ห่วงแล้ว”
เฉินเซียงที่อยู่ด้านข้างรับคำ “เ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”
เมื่อเฉินเซียงจากไป อิ้งหลีจึงปลอบใจเขาและเกลี้ยกล่อมเขาให้พักผ่อนมากๆ ก่อนจะถอยออกไป เหยียนชิงรู้สึกผ่อนคลายลงมาก เมื่อเขาเดินทางกลับมาแล้ว ตนก็จะรู้สึกโล่งใจ
ขณะเดียวกัน เว่ยซูหานที่เดินทางกลับมาจากทางเหนือ ก็ยอมให้ฮั่วหยางส่งคนมาคุ้มกันตนออกจากเมืองชายแดน
“หลานหาน บอกให้เ้าพักฟื้นแล้วค่อยเดินทางต่อ เ้ากลับไม่ยอม ดื้อรั้นจะเดินทางกลับเมืองฝูซังให้ได้ อาการาเ็ต้องรีบรักษาโดยด่วน ต่อให้อายุยังน้อย สุขภาพดีแต่จะทนทรมานเช่นนี้ไม่ได้”
ฮั่วหยางมีอายุราวๆ สี่สิบปี ผิวคล้ำใบหน้าดำคล้ำ ดูเด็ดเดี่ยวและสุขุม จริงใจและมั่นคง มองเว่ยซูหานก็อดนึกถึงแม่ทัพเว่ยไม่ได้ น้ำเสียงขาดความดุดันไม่เหมือนปกติ ทำให้คนแก่เช่นเขาหดหู่ใจอย่างอดไม่ได้
โดยเฉพาะเว่ยซูหานที่ช่วยเขาไว้ บวกกับผลงานในกองทัพ่นี้ ทำให้เขาอยากให้เว่ยซูหานอยู่ต่อ น่าเสียดาย ที่ฐานะของเว่ยซูหานในตอนนี้ไม่มีสิทธิ์เป็แม่ทัพ หากตี้จวินรู้ว่าเว่ยซูหานได้เข้าร่วมกองทัพเกรงว่าจะต้องถูกตำหนิแน่ ดังนั้น ต่อให้่นี้เว่ยซูหานช่วยพวกเขาสร้างผลงานก็ควรค่าแก่การเขียนบันทึก
เว่ยซูหานนอนห่มผ้าอยู่ในรถม้า ใบหน้าซีดเผือดอยู่หลายส่วน แต่จิตใจกลับไม่ได้ห่อเหี่ยว พอได้ยินเขาพูดจบก็หัวเราะขึ้นมา
“ขอบคุณท่านลุงฮั่วที่เป็ห่วง ข้าน้อยไม่ปิดบังท่านลุงแล้วกัน ข้าน้อยต้องรีบกลับไปก่อนวันที่แปดเดือนแปดน่ะขอรับ”
นับรวมวันแล้วหากพักฟื้นที่นี่สักพักก็กลับไปไม่ทันแล้ว
ฮั่วหยางขมวดคิ้ว “ทำไมรึ แล้วมันมีความสำคัญอย่างไร มันก็แค่เทศกาล”
เว่ยซูหานส่ายหน้า
“วันที่แปดเดือนแปดตรงกับเทศกาลล่าปา[1]พอดีเป็วันเกิดของชิงเอ๋อร์ ข้าไม่สนใจเทศกาลเหล่านี้อยู่แล้ว แต่วันเกิดของชิงเอ๋อร์ข้าต้องใส่ใจ”
ฮั่วหยางเบิกตากว้างอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “พวกเ้าจะรักกันมากเกินไปแล้ว...” อีกทั้งอีกฝ่ายยังเป็บุรุษอีกด้วย
เว่ยซูหานยิ้ม
“ลุงฮั่ว ท่านกับภรรยาก็เป็เช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ ท่านยังเคยสอนข้าว่า บุรุษเกิดมามีหนึ่งชีวิต เมื่อมีคนที่เรารักเราก็ต้องรักให้ดีที่สุด วันเกิดปีที่สิบแปดของชิงเอ๋อร์ ข้าไม่อาจพลาดได้”
การได้เห็นคนรักเติบโตขึ้นในแต่ละปีเป็เื่ที่น่ายินดี หากไม่ใช่เพราะอาการาเ็ของเขาไม่เอื้ออำนวยให้ขี่ม้า เขาคงอยากจะรีบเร่งเดินทางกลับแล้ว
แม้ว่าฮั่วหยางจะเป็คนใหญ่คนโต แต่กลับรักใคร่ฮูหยินของเขามาก เพราะอยู่ชายแดนมาหลายปี ฮูหยินฮั่วยอมห่างบุตรชายและบุตรสาวมาใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ ห่างจากเมืองชายแดนไปหลายสิบลี้ เพื่อจะได้เจอท่านแม่ทัพฮั่วบ่อยๆ เปลี่ยนจากฮูหยินของแม่ทัพกลายเป็เถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง สิบกว่าปีก็เหมือนวันเดียว
หลังจากฮั่วหยางตายในชาติที่แล้ว นางก็ไม่เคยออกไปจากที่นี่เลย
ฮั่วหยางสะอึกเพราะคำพูดของเขา แค่นเสียงเ็าสองทีจากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไร ครั้งนี้ที่เขาส่งเว่ยซูหานก็ได้ถือโอกาสไปเยี่ยมฮูหยินของเขาด้วย พอพูดถึงเื่รักๆ ใคร่ๆ ก็ไม่มีใครพูดถึงอีก
เว่ยซูหานเห็นท่าทางเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ชิงเอ๋อร์ปฏิบัติต่อข้าอย่างดี หากไม่มีชิงเอ๋อร์ ข้าจะมีโอกาสได้เจอผู้าุโได้อย่างไร การได้รับความไว้วางใจจากเขานับว่าโชคดีมากสำหรับข้า”
การเกิดใหม่คือความเมตตาที่์มอบให้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ์ให้เขาได้เหยียนชิงมา
ฮั่วหยางได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
“คุณชายเหยียนเป็คนที่มีน้ำใจและชอบธรรมจริงๆ ควรปฏิบัติต่อเขาอย่างดี หากท่านดีกับทหารเก่าของทัพเว่ยก็ยังสามารถพักผ่อนอย่างสงบได้ในิญญาของ์ หากวันหน้าไม่ได้รับความเป็ธรรมต้องรีบแจ้งพวกเราทันที”
เมื่อรู้ว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลเหยียนหนีการแต่งงาน ทหารเก่าของแม่ทัพเว่ยก็เป็ห่วงเว่ยซูหานมาก ภรรยาชายเดิมทีก็ไม่มีฐานะอยู่แล้ว บวกกับเื่วุ่นวายเช่นนี้ ชีวิตในวันข้างหน้าของเว่ยซูหานต้องไม่เป็สุขแน่นอน
แต่หลังจากที่เหยียนชิงแต่งงานกับเว่ยซูหานแทนพี่ชาย หลังจากเป็ฝ่ายส่งจดหมายมาแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน พวกเขาก็รู้ว่าเว่ยซูหานได้พบกับคนดีแล้ว ตอนนี้ยังเห็นเว่ยซูหานมาเยี่ยมพวกเขา นั่นจึงทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจต่อตระกูลเหยียนและเหยียนชิงจริงๆ
ตามที่เว่ยซูหานกล่าว ตอนนี้ตี้จวินมีเจตนาจะสนับสนุนตระกูลเหยียน เื่ในอนาคตก็จัดการได้ง่ายขึ้น
เว่ยซูหาน “ขอรับ ซูหานจะต้องล้างมลทินให้ตระกูลเพื่อิญญาของท่านพ่อและตระกูลที่อยู่บน์ให้ได้”
ออกจากเมืองชายแดนแล้วขึ้นไปยังถนนหลัก ฮั่วหยางหยุดส่งเพียงตรงนี้ และกำชับเว่ยซูหานให้ระมัดระวังอันตรายระหว่างทาง
เว่ยซูหานาเ็สาหัสยังไม่หายดีจึงขี่ม้าไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่ในรถม้าอย่างเงียบๆ หลินชวนกับสารถีบังคับรถม้าอยู่ด้านหน้า บางครั้งก็เข้ามาดูเขา เพื่อเตือนให้เขากินยาและเปลี่ยนผ้าพันแผล
[1] เทศกาลล่าปา คือเป็่สิ้นปีเเห่งการเก็บเกี่ยวพืชผลเกษตรกรรม ผู้คนจึงเข้าป่าล่าสัตว์มาบูชาบรรพบุรุษและเทพเ้า เพื่อขอโชคลาภ ขอให้ชีวิตยืนยาว ปราศจากภัยพิบัติและเสริมสิริมงคลให้เเก่ครอบครัว