เหยียนิฮ่วนมองมารดาของตนแว็บหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
“คนหนุ่มสาวมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ความรักก็ยังบริสุทธิ์ จะให้ชิงเอ๋อร์ได้สติขึ้นมาด้วยตนเองเกรงว่าจะเป็เื่ยาก”
เขาดื่มด่ำกับสายลมจันทรา[1] มานานหลายปี มองจากสายตาเพียงอย่างเดียว ก็รู้ว่าเหยียนชิงก็มีความรู้สึกที่จริงใจต่อเว่ยซูหาน ทุ่มเทให้เขาอย่างสุดหัวใจ ข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไปด้านนอกไม่รู้ว่ามีคนกี่มากน้อยที่อิจฉาตาร้อน
ฮูหยินถังอับจนหนทาง “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี จะให้เขากดขี่เ้าตลอดไม่ได้นะ ข้ากับท่านพ่อของเ้าก็รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อยเลย”
เหยียนิฮ่วนกระตุกมุมปากยกยิ้มเยาะ นิ้วเรียวยาวลูบถ้วยชาบนโต๊ะเบาๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำ
“ชิงเอ๋อร์คือคุณชายผู้เป็ทายาทสายตรง พวกเราไม่ควรพูดมาก แม้แต่ท่านป้าก็ยังตัดสินใจไม่ได้ พูดไปแล้วก็ใช่ว่าเขาจะรับฟัง แต่ปัญหานี้จะได้รับการแก้ไขหากไม่มีเว่ยซูหาน จะยังสามารถเป็ครอบครัวเดียวกันได้ พี่น้องยังมีความสามัคคีปรองดอง จะเป็เหมือนตอนนี้ได้อย่างไร?”
หากไม่มีเว่ยซูหานแล้ว ชีวิตความเป็อยู่ของเขาก็จะดีขึ้น อย่าว่าแต่ความกดดันในหน้าที่การงานเลย แค่กลิ่นอายสังหารของเว่ยซูหานที่มีต่อเขาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาประหม่า บางครั้งตอนกลางคืนก็นอนหลับไม่สนิท หนึ่งไม่มีความเกลียดชังจากการสังหารบิดา สองไม่มีความเกลียดชังจากการขโมยภรรยา[2] ไม่รู้จริงๆ ว่าเว่ยซูหานผู้นั้นเหตุใดจึงเกลียดเขามากมายขนาดนี้
“ไม่มีเว่ยซูหานแล้ว...” ฮูหยินถังครุ่นคิดอย่างหนัก หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากร้องอุทานออกมา “ฮ่วนเอ๋อร์ เ้าหมายถึง...”
พูดไปครึ่งทางก็รีบหยุดไว้ ดวงตากลมโตเบิกกว้างพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาทำท่าปาดคอ
“ท่านแม่ฉลาดยิ่งนัก” เหยียนิฮ่วนพยักหน้า “ตอนนี้เป็โอกาสที่หาได้ยากยิ่ง เขาเดินทางห่างออกไปหลายพันลี้ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ถือเป็เื่ปกติ”
ฮูหยินถังครุ่นคิด แววตาของนางเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นไม่นานนางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็จริงจังขึ้น
เหยียนิฮ่วนเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านแม่คิดอย่างไร?”
“ความคิดของลูกชายข้าดียิ่ง” ฮูหยินถังพยักหน้า ด้วยใบหน้าที่เฉียบแหลม แต่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
“เพียงแต่เว่ยซูหานผู้นี้มีวรยุทธ์ไม่น้อย การจะกำจัดด้วยวิธีของคนทั่วไปคงทำไม่ได้ ยิ่งหากทำไม่สำเร็จไม่แน่ว่าอาจถูกจับได้พวกเราคงได้ไม่คุ้มเสีย”
“ท่านแม่วางใจเถอะ” เหยียนิฮ่วนยิ้มอย่างมั่นใจ “ลูกมีแผนการแล้ว”
ฮูหยินถัง “แผนการอะไร?”
เหยียนิฮ่วนเผยแววตาลึกลับ
“เมื่อไม่นานมานี้ในยามที่ออกไปดื่มเหล้าข้าได้ไปสอบถามเื่นี้มา ได้ยินมาว่า ในยุทธภพมีกลุ่มนักล่าค่าหัวที่ทำงานให้กับผู้ที่ส่งมอบเงินให้ พวกเขามีฝีมือด้านวิทยายุทธ์สูงทั้งยังแข็งแกร่ง ไปมาไร้ร่องรอย ขอเพียงมีเงิน การจะเอาชีวิตคนคนหนึ่งก็ไม่ใช่เื่ยาก”
“กลุ่มนักล่าค่าหัวในยุทธภพ...” ฮูหยินถังขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า
“เช่นนี้จะอันตรายเกินไปหรือไม่ ยุทธภพมีอันตรายมากมาย เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนในยุทธภพ”
เหยียนิฮ่วนไม่สนใจ
“คนทั้งโลกล้วนมีจิตใจที่ชั่วร้าย แบ่งแยกคนในยุทธภพกับคนธรรมดาเพื่อเหตุใด ไม่ใช่ว่าท่านก็เคยบอกหรือ ว่าเมื่อครั้งที่ท่านลุงยังหนุ่มเคยติดตามพวกสำนักคุ้มกันภัย”
ฮูหยินถังถอนหายใจ
“เพียงเพราะตอนนั้นอายุยังน้อยจึงเข้าสู่ยุทธภพ ในท้ายที่สุดท่านลุงของเ้าก็ถอนตัวจากการต่อสู้ในยุทธภพด้วยแขนที่เหลือเพียงข้างเดียว เพื่อกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จึงสามารถกลับไปทำกิจการเดิมของตนเองได้”
ชายหนุ่มทุกคนล้วนมีความฝันอยากเป็วีรบุรุษในยุทธภพ ตอนนั้นพี่ชายของนางก็เป็เช่นนั้น แต่หลังจากกลับมาเพราะศัตรูในยุทธภพเริ่มออกอาละวาด สุดท้ายเขาก็ถูกตัดแขนไปข้างหนึ่งเื่นี้ถึงได้จบลง และด้วยเหตุนี้ นางและเหยียนเม่าจึงไม่ยอมให้เหยียนิฮ่วนฝึกฝนวิทยายุทธ์ั้แ่เด็ก เพราะกลัวว่าเขาอาจจะเดินทางผิด
ไม่ต้องมองไปที่ไหนไกล แค่มองเหยียนลั่วที่ตอนนี้ยังเดินเตร่อยู่ด้านนอกก็รู้แล้ว หากเหยียนิฮ่วนเป็เช่นนี้ นางคงกังวลไปตลอดชีวิต
เหยียนิฮ่วนรู้ถึงความกังวลของนาง คิดไปคิดมาก็เอ่ยปลอบใจขึ้นว่า
“วางใจเถอะท่านแม่ พวกเราไม่ใช่คนในยุทธภพ กับกลุ่มนักล่าค่าหัวก็เพียงแค่นำเงินไปใช้ในการกำจัดภัยเท่านั้น หลังจากสำเร็จแล้วก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก จะไม่สร้างปัญหาอะไรขึ้นแน่”
แม้ว่ายุทธภพจะอันตราย แต่คนในยุทธภพให้ความสำคัญกับการรักษาสัญญามากที่สุด ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องกังวลในเื่นี้
ฮูหยินถังขมวดคิ้ว ยังคงไม่วางใจ
เหยียนิฮ่วนลูบฝ่ามือมารดาเบาๆ
“ท่านแม่ ท่านลุงต้องรู้วิธีติดต่อกับกลุ่มนักล่าค่าหัวในยุทธภพแน่ ไม่จำเป็ต้องให้เขาออกหน้า ขอเพียงเขาบอกวิธีการแก่ข้าว่าควรมอบรางวัลอย่างไรก็พอ”
“เอ่อ... แม่ไม่สบายใจเลย” ฮูหยินถังส่ายหน้า “ฮ่วนเอ๋อร์ พวกเราคิดหาวิธีอื่นดีหรือไม่”
เหยียนิฮ่วนส่ายหน้า
“ไม่มีทางอื่นแล้ว นี่เป็วิธีที่ปลอดภัยที่สุดและเราจะไม่ถูกจับได้ พวกเราเพียงแค่จ่ายเงินเพื่อกำจัดเภทภัยเท่านั้น ท่านอย่าคิดมากไปนักเลย”
“แต่...”
เหยียนิฮ่วนขัดจังหวะนาง
“ท่านแม่ โอกาสนี้หาได้ยากยิ่ง เกรงว่าในภายภาคหน้าคงไม่มีโอกาสนี้อีก ใครจะรู้ว่าในวันหน้าเว่ยซูหานจะสามารถบดบังท้องฟ้าด้วยมือข้างเดียว[3]ได้หรือไม่ ถึงตอนนั้นหากคิดจะแตะต้องเขาอีกก็ไม่ใช่เื่ง่าย อย่าหวังว่าครอบครัวเราจะได้ลืมตาอ้าปากเลย”
ฮูหยินถัง “...”
เหยียนิฮ่วน “ท่านแม่ แค่ครั้งเดียวก็จบปัญหาทั้งหมดได้แล้ว ต่อไปพวกเราจะไม่ถูกคนนอกกดขี่อีก”
เขาทนรับสายตาดูถูกเหยียดหยามของเว่ยซูหานอีกไม่ได้แล้ว
ฮูหยินถังรู้สึกสับสน นางกัดริมฝีปากของนางซ้ำไปซ้ำมา นิ้วมือบิดผ้าเช็ดหน้าจนซีดเผือดไร้สีเื ผ่านไปครู่หนึ่งนางหลับตาลงและพยักหน้ากล่าวว่า
“ได้ ข้าจะส่งจดหมายไปบอกท่านลุงของเ้า ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ต่อไปอย่าพูดถึงเื่นี้อีก ในยุทธภพมันอันตราย แม่เป็ห่วงว่าจะมีเื่ยุ่งยากตามมา”
เหยียนิฮ่วนพยักหน้า “ขอรับ ลูกทราบแล้ว”
เขาเพียง้าให้เว่ยซูหานตายเท่านั้น
ฮูหยินถังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกำชับว่า “เื่นี้ไม่ควรบอกท่านพ่อของเ้า หากเขารู้ต้องไม่เห็นด้วยแน่”
ถึงแม้ปกติแล้วเหยียนเม่าจะวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตระกูลมากมาย และอยากจะช่วยลูกชายยึดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แต่กับเื่เช่นนี้เขาไม่มีทางเห็นด้วยแน่
เหยียนิฮ่วนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “อืม มีเพียงพวกเราสองแม่ลูกเท่านั้นที่รู้ ท่านก็กำชับท่านลุงว่าอย่าบอกใคร”
ฮูหยินถัง “ย่อมเป็เช่นนั้น”
สองแม่ลูกตบมือกัน นับว่าแผนนี้ได้ถูกตัดสินแล้ว
หลังจากเว่ยซูหานจากไปสองวัน เหยียนชิงที่ร่างกายอ่อนแรงก็กลับมาสดใสอีกครั้ง เขาเริ่มลงมือจัดการเื่ต่างๆ ในจวน เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของเหยียนิฮ่วนเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ถึงอย่างไรก็ต้องมีกำลังคน เป็ลูกหลานตระกูลเหยียนออกแรงช่วยงานหน่อยก็เป็เื่ปกติ หากต้องตัดสินใจเื่ใหญ่ๆ เหยียนชิงก็จะเข้าไปแทรกแซงต่อให้เหยียนิฮ่วนไม่พอใจก็ไม่กล้าออกปากออกเสียงอะไร
เว่ยซูหานออกจากบ้านได้ไม่กี่วัน ก็ส่งจดหมายตอบกลับมาว่าการเดินทางราบรื่นดี หลังจากนั้นในทุกๆ สองสามวันก็จะเขียนจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับ ไม่มีเหตุการณ์อะไรสำคัญเป็เพียงการพูดไปทางโน้นทีทางนี้ทีไม่มีแก่นสาร เหยียนชิงอ่านแล้วก็อารมณ์เสีย แต่กระนั้นเขาก็ยังตอบจดหมายทุกฉบับด้วยหัวใจ กระทั่งเคยชินกับการรอคอยจดหมายของเว่ยซูหานที่จะมาถึงในทุกๆ สองสามวัน
วันเวลาก็ผ่านไปเช่นนี้ หลังเทศกาลจงชิว[4] ก็เป็เทศกาลฉงหยาง [5] อากาศก็เย็นลงทุกวัน ต้องเริ่มจัดเตรียมสิ่งของสำหรับหนาวอีกครั้ง
“คุณชาย วันนี้คือเทศกาลฉงหยาง ฮูหยินจัดงานเลี้ยงที่เรือนและเชิญท่านไปรับประทานอาหารร่วมกันใน่บ่ายเ้าค่ะ”
เฉินเซียงเอ่ยเตือนคนที่เอนกายพิงเก้าอี้อยู่ริมหน้าต่างซึ่งกำลังอ่านหนังสืออย่างไม่มีสมาธิ นับวันดูแล้ววันนี้ควรเป็วันที่จดหมายของฮูหยินน้อยจะมาถึง ไป๋เส่าออกไปรออยู่นอกประตูแล้ว
เหยียนชิงเงยหน้ามองแล้วพยักหน้า “อื้อ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
พูดจบก็มองออกไปด้านนอกอีกครั้ง พื้นที่ในหอชิงเฟิงส่วนใหญ่เป็พืชพรรณเขียวชอุ่มตลอดปี ดังนั้น่ฤดูใบไม้ร่วงจึงไม่รู้สึกถึงบรรยากาศในฤดูนี้เท่าไรนัก มีเพียงต้นแปะก๊วยสีเหลืองทองสองต้นที่อยู่ด้านหลังเท่านั้น เมื่อลมพัดมาจากด้านหลังลานเรือนก็ดูคล้ายฤดูใบไม้ร่วงขึ้นมา
ที่นี่อากาศหนาวแล้ว เว่ยซูหานกำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือ ยามนี้คงหนาวมาก ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าที่พกติดตัวไปจะอุ่นพอหรือไม่ ต่อให้ร่างกายแข็งแรงดีก็ต้องระวังให้มาก...
เชิงอรรถ
[1] สายลมจันทรา อุปมาถึงเื่ของความรักระหว่างชายและหญิง
[2] หนึ่งไม่มีความเกลียดชังจากการสังหารบิดา สองไม่มีความเกลียดชังจากการขโมยภรรยา เป็ความเกลียดชังสองข้อจากความเกลียดชังที่สำคัญสี่ประการในชีวิตได้แก่ ความเกลียดชังจากการยึดครองประเทศ ความเกลียดชังจากการทำลายครอบครัว ความเกลียดชังจากการขโมยภรรยา และความเกลียดชังจากการสังหารบิดา
[3] การบดบังท้องฟ้าด้วยมือเดียว หมายถึง อาศัยอำนาจ เล่ห์อุบาย หลอกลวงมวลชน
[4] เทศกาลจงชิว คือเทศกาลไหว้พระจันทร์ เป็เทศกาลตามที่มีขึ้นกลางฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว จัดขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือน 8
[5] เทศกาลฉงหยางหรือเทศกาลเก้าคู่ เป็เทศกาลสำหรับให้ชาวจีนแสดงความรักและความห่วงใยต่อผู้สูงอายุ ลูกหลานที่งานยุ่งจะใช้เวลาทั้งวันเพื่อพบปะญาติผู้ใหญ่ภายในบ้าน จัดขึ้นในวันที่ 9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติจีน